บุรุษและสตรีผู้นั้นคงเป็นองค์ชายและองค์หญิงที่อาอวี่กล่าวถึง
หลายครั้งที่องค์ชายและองค์หญิงหลบหลีกการโจมตีจากเสือและงู ทั้งยังเกือบถูกงูหลามรัดและเขมือบลงท้อง ทำให้ทุกคนแทบกลั้นหายใจ
บางคนถึงกับหยิบอาวุธปรี่เข้าไปต่อสู้ช่วยเหลือองค์ชายและองค์หญิง
อาอวี่อ้อนวอนซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นอีกครั้ง “แม่นาง คุณชาย นั่นคือองค์ชายองค์หญิงของพวกเรา พวกท่านได้โปรดช่วยพวกเขาโดยเร็วเถิด! ”
ตามที่อาอวี่พูดก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีสรุปได้ว่า เสือดาว เสือ และงูเหล่านั้น ต้องมาจากดินแดนปีศาจในโลกเขตแดนเป็นแน่ ดูได้จากรูปร่างและพลังโจมตีที่แข็งแกร่งของพวกมัน
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อรับปากคนเผ่าอวิ๋นหุนว่าจะช่วยองค์ชายและองค์หญิงของพวกเขา ซูจิ่นซีพูดแล้วไม่คืนคำ
ซูจิ่นซีเหลือบมองอวิ๋นจิ่น ขณะที่นางกำลังจะลงมือ ทันใดนั้น ด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียงแหลมคม ดัง ‘จี๊ด จี๊ด จี๊ด’
เสียงนี้ สำหรับซูจิ่นซีแล้ว เป็นเสียงที่คุ้นเคยอย่างมาก
นางมองไปยังทิศทางของเสียง ก่อนจะพบว่าเป็นเจ้าจิ้งจอกน้อยน่ารักของจิ่วหรงจริงๆ มันวิ่งลงมาจากกิ่งก้านของเถาวัลย์ และมุดเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นจิ่น
“จี๊ด จี๊ด จี๊ด”
จิ้งจอกน้อยน่ารักถูไถตัวเองกับเสื้อผ้าของอวิ๋นจิ่น มันน้ำตาคลอเบ้าและส่งเสียงออดอ้อนไม่หยุด ทว่ากลับแสดงออกอย่างพอดี ไม่ทำให้เสื้อผ้าของอวิ๋นจิ่นเกิดรอยยับย่น
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุก พลางมองอวิ๋นจิ่นด้วยสายตาซับซ้อน แววตาของนางยิ่งล้ำลึกมากขึ้น
เพียงเหลือบมองจากหางตา อวิ๋นจิ่นก็สามารถเห็นท่าทางแปลกประหลาดของซูจิ่นซีได้อย่างชัดเจน ทว่าเขาแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ และลูบไล้ขนเส้นยาวอันแสนอ่อนนุ่มบนตัวของจิ้งจอกน้อยอย่างเอาใจ
“หลายวันมานี้ ไปที่ใดมา? ”
“จี๊ด จี๊ด จี๊ด! ” จิ้งจอกน้อยไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร มันชี้ไปยังทิศทางที่ตนเองมา และกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่ครู่หนึ่ง
มีเพียงอวิ๋นจิ่นที่เข้าใจภาษาของสัตว์ หน้าผากของเขายับย่นเล็กน้อย ทั้งยังมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ “ต่อไปห้ามวิ่งเล่นวุ่นวายอีก!”
“จี๊ด… จี๊ด… จี๊ด”
จิ้งจอกน้อยเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงออดอ้อนอย่างอ่อนโยน มันติดหนึบอยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋น ไม่ยอมลงมา
“สัตว์เทพจิ้งจอกเก้าหางชิงชิว? ” อาจูมองจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนของอวิ๋นจิ่น ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“สัตว์เทพจิ้งจอกเก้าหางชิงชิว? ”
“จิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนตัวนี้ คือเทพจิ้งจอกเก้าหางชิงชิวหรือ? ”
ทุกคนต่างประหลาดใจ!
จิ้งจอกน้อยรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันตราย มันร้อง “จี๊ด” และมุดเข้าไปในแขนเสื้อกว้างของอวิ๋นจิ่น
เวลานี้ ซูจิ่นซีมีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย เรื่องเกี่ยวกับชิงชิว ซูจิ่นซีเคยเห็นผ่านๆ ในหนังสือประวัติศาสตร์ นางทราบเพียงว่า ที่นั่นเป็นสถานที่งดงามและมหัศจรรย์ยิ่งนัก
เผ่าจิ้งจอกชิงชิวแตกต่างจากเผ่าจิ้งจอกทั่วไป ตำนานกล่าวว่า จิ้งจอกเก้าหาง สัตว์เทพพาหนะของเทพีหนี่ว์วาถูกเนรเทศไปอยู่ชิงชิว เนื่องจากทำร้ายมนุษย์โลก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชิงชิวจึงกลายเป็นสถานที่กำเนิดประชากรจิ้งจอกเก้าหาง ดังนั้น จิ้งจอกเก้าหางชิงชิวจึงเป็นจิ้งจอกเทพทั้งหมด
นางรู้เพียงว่า เทพธิดาและจิ่วหรงได้จิ้งจอกน้อยมาจากดินแดนสือฮวงจิ่ว แต่กลับไม่รู้ว่าจิ้งจอกน้อยมาจากเผ่าเทพจิ้งจอกชิงชิว
ดินแดนสือฮวงจิ่วมีสัตว์ร้ายเพียงสองชนิด ชนิดแรกคือ สัตว์ที่เกิดและโตในดินแดนสือฮวงจิ่ว นับเป็นผู้นำ และอีกชนิดหนึ่งคือ สัตว์ที่ทำความผิดใหญ่หลวงในสามโลกเจ็ดดินแดน จึงถูกลงโทษโดยการส่งตัวมาที่นี่
ทว่าชิงชิวอยู่ด้านนอกสามโลกเจ็ดดินแดน ตามกฎแล้ว ต่อให้จิ้งจอกเก้าหางในเผ่าทำผิดร้ายแรงเพียงใด ต้องจัดการในเผ่ากันเอง ไม่ว่าอย่างไร พวกมันไม่สามารถถูกเนรเทศไปยังดินแดนสือฮวงจิ่วได้
จิ้งจอกน้อยอยู่ในดินแดนสือฮวงจิ่วได้อย่างไร? มันมีสถานะอย่างไรที่ชิงชิว? หรือผ่านเหตุการณ์อันใดมา?
จิ้งจอกน้อยซ่อนตัวอยู่ในแขนเสื้อของอวิ๋นจิ่น ไม่ยอมออกมา ซูจิ่นซีมองไม่เห็นมัน นางจึงมองไปยังอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาต่อความประหลาดใจ และการตั้งคำถามของผู้คนแม้แต่น้อย เขาเพียงลูบไล้จิ้งจอกน้อยแผ่วเบา ผ่านแขนเสื้ออ่อนนุ่มของตนเอง
อวิ๋นจิ่นรู้ตัวตนของจิ้งจอกน้อยอยู่ก่อนแล้ว ใช่หรือไม่?
ใช่!
จิ้งจอกน้อยอยู่กับเขามานาน ตัวตนของมัน… เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?
ซูจิ่นซีที่กำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงสัตว์เทพกิเลนในอาคมกำไลปี่อั้นที่เริ่มกระสับกระส่าย มันขึ้นมายืนบนแท่นบูชาอาคมกำไลปี่อั้น แทบรอไม่ไหวที่จะกลายร่างเป็นตัวมหึมา ทั้งยังคำรามไม่หยุดเพราะต้องการออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น
ซูจิ่นซีเหลือบมององค์ชายและองค์หญิงที่กำลังต่อสู้กับสัตว์ร้าย ก่อนจะยกมือขึ้น และเรียกสัตว์เทพกิเลนออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น
สัตว์เทพกิเลนนับว่าฉลาดอย่างมาก มันสัมผัสได้ถึงคำสั่งของเจ้านาย และกลายร่างเป็นสัตว์ตัวเล็กน่ารักทันที ดังนั้น ตอนที่ออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น มันจึงมีขนาดตัวเพียงหนึ่งฝ่ามือ
“โฮก… ”
สัตว์เทพกิเลนคำรามอย่างตื่นเต้นไปทางแขนเสื้อของอวิ๋นจิ่น
“จี๊ด จี๊ด… ”
ดูเหมือนจิ้งจอกน้อยจะไม่กลัวอันใด มันกระโดดออกมาจากแขนเสื้อของอวิ๋นจิ่น หลังจากตกลงบนพื้น จิ้งจอกน้อยและสัตว์เทพกิเลนก็กอดกันอย่างกระตือรือร้น
สัตว์ตัวเล็กทั้งสองไม่เพียงไม่สนใจผู้คนเท่านั้น แม้แต่เจ้านายของมันก็ถูกละเลย
พวกมันกอดและซุกไซ้กันไม่หยุด ท่าทางช่างเหมือนมนุษย์ยิ่งนัก หางทั้งสองค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรูปดาว ก่อนจะผูกกันเป็นโบหนึ่งอัน
อวิ๋นจิ่นมองซูจิ่นซีด้วยแววตาลึกซึ้ง ซูจิ่นซีที่กำลังมองสัตว์ตัวเล็กทั้งสอง รับรู้ได้ถึงแววตาของอวิ๋นจิ่น นางไม่ได้หันไปมอง ทว่าแก้มกลับร้อนผ่าวจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
แค่ก แค่ก…
นางเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ แม้พวกมันจะเป็นสัตว์ ทว่ามันทั้งสองไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกัน แม้จะตกหลุมรักกันก็ไม่เกิดผลดีอันใด
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่นอย่างช่วยไม่ได้ ท่าทางดูเป็นกังวล
เดิมที ซูจิ่นซีคิดว่าการที่นางทำเป็นไม่สนใจ ไม่รับรู้อันใด รอจนสัตว์ตัวเล็กทั้งสองกอดจูบกันเรียบร้อย เรื่องนี้ก็จะจบลง อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่าอวิ๋นจิ่นจะเดินมายังข้างกายของนางอย่างเชื่องช้า เขาเอื้อมนิ้วมือเรียวยาวมาทัดผมของนางไปที่หลังใบหู
อวิ๋นจิ่นก้มตัวลงเล็กน้อย และกระซิบข้างหูของนางว่า “พระชายา กระหม่อมเห็นว่าแก้มของพระองค์ร้อนผ่าวเล็กน้อย ไม่สบายที่ใดหรือ? ต้องการ… ให้กระหม่อมตรวจดูให้พระองค์หรือไม่? ”
ร่างกายซูจิ่นซีราวกับถูกไฟช็อต แก้มที่ร้อนผ่าวอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีกอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่ลำคอก็กลายเป็นสีแดง
นางกัดริมฝีปากแน่น พลางขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นจึงหันศีรษะไปทางอวิ๋นจิ่นอย่างเชื่องช้า แม้ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นจะประดับไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นรอยยิ้มสำหรับนาง ทว่ารอยยิ้มนั้น มองอย่างไรก็รู้สึก… แย่
มุมปากของซูจิ่นซีกระตุกอย่างแรง นางจงใจใช้สายตาเย็นชา และน้ำเสียงเย็นชาจนไร้ความรู้สึก
นางกัดฟันพูดว่า “หมอหลวงอวิ๋น รักษาสถานะและหน้าที่ของเจ้าให้ดี เจ้า… ล้ำเส้นแล้ว! ”
อวิ๋นจิ่นยังคงแย้มยิ้มเช่นเดิม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ปกป้องพระชายา ดูแลพระวรกายของพระชายา คือหน้าที่รับผิดชอบของกระหม่อม จะถือว่ากระหม่อมล้ำเส้นได้อย่างไร? ”
ขณะที่พูด อวิ๋นจิ่นจงใจเน้นคำว่า ‘ดูแลพระวรกายของพระชายา’ เพื่อแสดงความหมายคลุมเครือ
มุมปากของซูจิ่นซีกระตุกอีกครั้ง แววตายิ่งทวีความเย็นชา ทั้งน้ำเสียงยังไร้อารมณ์ “หมอหลวงอวิ๋น ข้าพบว่าอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าของเจ้าก็ผิดปกติเช่นกัน หน้าผากดำคล้ำ อาจเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เช่นนั้น… ให้พระชายาอย่างข้าตรวจดูสักหน่อย ดีหรือไม่? ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ก็เกิดเสียงดัง ‘ฉึก’ เข็มเงินปรากฏอยู่ระหว่างนิ้วมือของซูจิ่นซี ทั้งฉับไว ดุดัน และแม่นยำ นางแทงเข็มเงินไปที่ดวงตาของอวิ๋นจิ่นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย