ภาคที่ 4 บทที่ 225 เปิดนิกาย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 225 เปิดนิกาย

คืนนั้นทั้งคืนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข

หลังจากจบงานเลี้ยง ซูเฉินก็กลับไปยังที่พักของเขา

ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกแล้ว โคมไฟหากไม่ถูกจุดไว้สลัว ๆ ก็ดับสนิท

ซูเฉินเดินอยู่เพียงลำพังในตรอกมืด ที่ว่างเปล่าและเงียบเหงา

หลังจากเดินแบบนี้ไปซักพัก ซูเฉินก็หยุดลง “ออกมาได้แล้ว”

เงาคนกลุ่มหนึ่งออกมาทยอยออกมาจากรอบ ๆ ตรอก และรวมตัวกันใกล้ ๆ ซูเฉิน

หลังจากพวกเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าซูเฉินแล้ว ทั้งหมดก็คุกเข่าลงอย่างมีระเบียบ “คำนับท่านผู้บัญชาการ !”

เป็นเล่อเฟิงกับคนอื่น ๆ

ทว่าคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดไม่ใช่เล่อเฟิง แต่เป็นชายที่มีร่างสูงใหญ่เป็นพิเศษ

กังเหยียน !

ในที่สุดเขาก็กลับมา พร้อมกับทหารทั้ง 73 คน

“นายท่าน !” กังเหยียนมองซูเฉิน และกล่าวด้วยเสียงสั่นครือจากความตื่นเต้น

ซูเฉินเดินไปกอดอีกฝ่าย “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ? เจ้าไม่ได้อยู่ดูแลเผ่าหินผาพายุคลั่งอยู่หรอกหรือ ?”

กังเหยียนเผยรอยยิ้มเขินอาย “เผ่าหินผาพายุคลั่งสามารถอยู่รอดต่อไปได้โดยไม่มีข้า แต่ข้าไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีนายท่าน”

ซูเฉินจ้องมองกังเหยียนก่อนจะพยักหน้า “ดี ดี ดีมาก !”

คำพูดที่เรียบง่ายของเขาทำให้ซูเฉินพอใจยิ่ง

หลังจากมองดูทุกคนแล้วเขาก็พูดว่า “เอาล่ะ ทุกคนลุกขึ้นได้แล้ว”

กลุ่มทหารทั้งหมดยืนขึ้น

ซูเฉินหันไปถามเล่อเฟิง “เหตุใดพวกท่านถึงไม่กลับไปยังจุดประจำการของตนเล่า ?”

เล่อเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “กลับไปยังจุดประจำการ ? พวกข้าได้ยินข่าวว่ากองทัพกำลังสวรรค์ถูกยุบตั้งแต่ยังไม่ทันไปถึงป้อมปราการเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้เรากลับไปที่ไหนกัน ? พวกเราพี่น้องไม่มีบ้านให้กลับไปอีกแล้ว !”

ซูเฉินจ้องมองทุกคนด้วยความตกตะลึง

ทหาร 73 คนยืนอยู่ในความมืดสงัดกลางดึกอย่างเงียบ ๆ

พวกเขาไม่ได้พูดอะไร แต่ความเงียบเหล่านั้นก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเศร้าโศก และความไม่พอใจอย่างสุดซึ้งออกมาอย่างชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขา

เขาพยักหน้าเบา ๆ “แล้วหลังจากนี้พวกท่านจะทำอย่างไรต่อ ?”

เล่อเฟิงกล่าว “คุณชายซู นับตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพชีวิตของเราก็เป็นของอาณาจักรหลงซางมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เราไม่ได้เป็นหนี้อาณาจักรหลงซางอีกต่อไปแล้ว เจ้าเป็นคนช่วยเหลือพวกข้า ดังนั้นจึงอยากจะติดตามเจ้าไป”

คำตอบนี้ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจแต่อย่างใด เขาคาดเดาไว้บ้างแล้วว่าเรื่องแบบนี้อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเขารู้ว่าเล่อเฟิงกับคนอื่นๆ กลับมาแล้ว แต่กลับยังไม่กลับไปที่จุดประจำการของพวกเขา ประโยคนี้เป็นเพียงสิ่งยืนยันการคาดการณ์ของซูเฉิน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตอบว่า “เส้นทางที่ข้าเลือกเดินนั้นทั้งอันตรายและเสี่ยงอย่างยิ่ง ผลลัพธ์ในอนาคตเองก็เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ พวกท่านแน่ใจนะว่า … ”

เล่อเฟิงหัวเราะ “ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน มันจะอันตรายยิ่งกว่าการติดอยู่ในดินแดนคนเถื่อนเชี่ยวงั้นหรือ ? มันจะอันตรายกว่าการถูกพวกคนเถื่อนล้อมไว้หรือเปล่า ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเฉินก็พยักหน้าเล็กน้อย “เอาล่ะ ในเมื่อพวกท่านคิดอย่างนั้น ข้าก็ยินดี”

“เยี่ยม !” ทหารทั้ง 73 คนดูตื่นเต้นอย่างมาก

“อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องถูกเก็บเป็นความลับ ตอนนี้เราไม่สามารถให้กองทัพรู้เรื่องได้” ซูเฉินกล่าว

“นายท่านไม่ต้องกังวลไป พวกเราเข้าใจดี พรุ่งนี้เราจะออกจากป้อมปราการและรอคำสั่งของท่านอยู่นอกเมือง” เล่อเฟิงกล่าวด้วยความตื่นเต้น

“นายท่าน ?” ซูเฉินชะงักเล็กน้อย

“ใช่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณชายซูคือนายท่านของเรา มีอะไรผิดไปงั้นหรือ ?” เล่อเฟิงกล่าวอย่างแปลกใจ

ซูเฉินหัวเราะและส่ายหัว “ไม่ ไม่ ข้าไม่เคยคิดจะเป็นนายของท่าน พวกท่านควรเป็นอิสระและไม่ต้องขึ้นตรงต่อใคร”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็มีท่าทีสับสน

ถ้าพวกเขาไม่เรียกอีกฝ่ายว่านายท่าน เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาคืออะไร ?

พวกเขาไม่อาจเรียกอีกฝ่ายว่านายพลซูหรือแม่ทัพซูได้จริงไหม ? ไม่งั้นมันก็คงไม่ต่างกับการก่ออาชญากรรมด้วยชื่อของเขา

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ามีความคิดที่จะแจกจ่ายวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์เพื่อให้มนุษย์ได้เริ่มฝึกฝน แต่ครั้งนี้ข้าไม่ได้วางแผนที่จะขายมันผ่านแดนฝัน”

พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ซูเฉินถึงพูดแบบนั้น ทุกคนจึงนิ่งเงียบและตั้งใจฟัง

ซูเฉินกล่าวต่อ “การขายความรู้ผ่านทางแดนฝัน แม้ว่ามันจะช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งทำเงินได้อย่างมากมาย แต่ประสบการณ์ได้สอนข้ามาก่อนแล้ว การทำเช่นนั้นโดยสุ่มสี่สุ่มห้า มีแค่จะเปลี่ยนบุญคุณให้กลายเป็นความเกลียดชัง”

“คำเตือนของอาจารย์ข้าเมื่อหลายปีก่อนไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เผ่ามนุษย์ที่ข้าพยายามช่วยให้แข็งแกร่งขึ้น กลับเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการบรรลุฝันอันยิ่งใหญ่ของข้า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บางทีมันคงเป็นการดีที่สุด หากข้าจะเห็นแก่ตัวมากกว่านี้อีกสักหน่อย”

ขณะที่พูด เขาหันไปมองเล่อเฟิงและคนอื่น ๆ “ข้ากำลังวางแผนที่จะก่อตั้งนิกายขึ้น นับแต่นี้ต่อไปทักษะวิชาต่าง ๆ ที่ข้าสร้างขึ้นสร้างขึ้นจะไม่เผยแพร่ผ่านแดนฝันอีก กลับกันข้าจะเผยแพร่มันผ่านนิกายนี้แทน วิชาลับจะถูกจำกัดการเข้าถึงห้ามมิให้เผยแพร่ จากนี้ไป ผู้ที่ต้องการทะลวงสู่ด่านที่สูงกว่าจะต้องเข้าร่วมนิกายของข้าก่อน พวกเขาถึงจะได้รับการอนุญาตให้ฝึกฝนทักษะวิชาเหล่านี้ ส่วนพวกท่านทุกคน ข้าคิดว่าพวกท่านสามารถเป็นศิษย์รุ่นแรกของนิกายข้าได้”

เล่อเฟิงและคนอื่น ๆ มีความสุขอย่างมาก พวกเขาถามว่า “ท่านจะตั้งชื่อนิกายนี้ว่าอย่างไร ?”

ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “โลกในยามนี้ มีสายเลือดอยู่มากมาย ทุกหนทุกแห่งและเป็นที่เคารพยกย่อง เฉพาะนิกายที่ข้าสร้างขึ้นนี้เท่านั้น จะพึ่งพาเพียงความพยายามของมนุษย์เราเพื่อแสวงหาจุดสูงสุดความแข็งแกร่ง ข้าจะตั้งชื่อว่า นิกายไร้ขอบเขต และพวกท่านคือศิษย์รุ่นแรกทั้ง 73 คนของนิกายนี้”

“ขอรับท่าน !” เล่อเฟิงและคนอื่น ๆ ขานตอบพร้อมกัน

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ‘นิกายไร้ขอบเขต’ ก็ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ

การก่อตั้งของนิกายไร้ขอบเขตนั้นเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบมาก ไม่มีกฎเกณฑ์ หลักการคำสอน หรือแม้กระทั่งเขตแดนของนิกาย มีเพียงอุดมคติอันสูงส่งที่ทะเยอทะยานของซูเฉินเอง

หากดูจากอุดมคติของซูเฉินเพียงอย่างเดียว เกรงว่ามันคงทำให้ฟังดูเหมือนเขาเป็นนักต้มตุ๋นตัวยง

อย่างไรก็ตาม นั่นคือความจริง หากยังไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้แค่นักต้มตุ๋น แต่เมื่ออุดมคตินั้นประสบความสำเร็จ เขาก็จะได้รับการยกย่องว่ามีวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา

ซูเฉินไม่เพียงมีวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา แต่ยังมีความสามารถมากพอที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นจริง

วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์จะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

ซูเฉินเชื่อว่าในอนาคตเขาจะสามารถสร้างวิชาบ่มเพาะกับทักษะต่อสู้อื่น ๆ ขึ้นมาอีก และทั้ง 2 สิ่งนี้จะได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ภายในนิกายไร้ขอบเขตนี้เท่านั้น

ซูเฉินไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลต่อระบบสายเลือดอย่างไรบ้าง แต่ที่เขามั่นใจคือมันจะต้องส่งผลกระทบอย่างแน่นอน

ตอนนี้ ผีเสื้อได้กางปีกออกแล้ว

พายุก็เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย (1)

——————————————————

เล่อเฟิงและคนอื่น ๆ รีบจากไปในคืนนั้นทันที ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็หายตัวไปจากปราการลุ่มน้ำทองอย่างถาวร ตัดสัมพันธ์ทุกอย่างในอดีตทั้งหมด

กังเหยียนยังคงอยู่ ในฐานะผู้ส่วนร่วมสำคัญในการสร้างเส้นทางหลบหนีให้กับกองทัพกำลังสวรรค์ เขามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะอยู่ต่อ

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูเฉินได้รับคำเชิญ

จากองค์รัชทายาท

ซูเฉินกล่าวกับกังเหยียนขณะที่เขาตรวจสอบคำเชิญขององค์รัชทายาท “กังเหยียน เจ้าคิดว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงต้องการพบข้าในเวลานี้ ?”

“ข้าคิดว่าอาจเป็นเพราะเขาต้องการพูดคุยเกี่ยวกับการทะลวงเข้าสู่ด่านการบ่มเพาะที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือด”

“เขาคงไม่รู้ว่าข้าอยู่ด่านสู่พิสดารแล้ว”

“แต่ก็คงจะรู้ในไม่ช้าก็เร็ว”

“ถูกต้อง” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง เขาฉีกคำเชิญและโยนมันทิ้ง

“ท่านจะไม่ไปเหรอ ?” กังเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ทำไมข้าต้องไปด้วย ? ในเมื่อข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการจะคุยกับข้าเรื่องอะไร และรู้แล้วว่าคำตอบของข้าจะเป็นอย่างไร ผลลัพธ์เองก็ชัดเจนอยู่แล้ว… เราคงจะไม่ได้จากลากันดี ๆ สักเท่าไหร่เป็นแน่” ซูเฉินพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

“เห็นไหม ไม่ว่าข้าจะไปหรือไม่ ข้าก็ต้องมีเรื่องขัดแย้งกับทางนั้นอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ไปเพื่อหลีกเลี่ยงการหาเรื่องยุ่งยากให้มากความไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม ?”

“……” กังเหยียนรู้สึกว่านายท่านของเขาพูดถูก

“ดังนั้น แทนที่จะไปเสียเวลากับองค์รัชทายาท ข้าเอาเวลาไปเยี่ยมอาจารย์ของข้าดีกว่า”

ขณะที่ซูเฉินพูด เขาก็ก้าวออกจากประตูหน้าเพื่อไปหาฉือไคฮวง

ฉือไคฮวงถูกกักตัวไว้ภายในลานเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในปราการลุ่มน้ำทอง ในสวนลานบ้านมีภูเขาหินจำลองงดงามพร้อมกับน้ำตกเล็ก ๆ พร้อมทั้งสาวใช้ผู้สง่างามคอยอยู่ดูแล ให้ฉือไคฮวงได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย

เนื่องจากเขาถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน จึงไม่มีเรื่องวุ่นวายใด ๆ ให้พูดถึง ฉือไคฮวงได้รับคำเชิญให้มาพักผ่อนให้ฟื้นตัวอยู่ที่นี้เพียงแค่ฉากหน้า แท้จริงนั้นก็เพื่อกันไม่ให้เขาเดินเตร่ไปมาหากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน มียาม 2-3 คนประจำการอยู่ที่นี่เพื่อคอยจับตาดูเขา

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฉือไคฮวงมีอิสระที่จะทำตามใจ ตราบเท่าที่เขาไม่ได้ทำงานค้นคว้าวิจัย

เป้าหมายหลักของการกักตัวอีกฝ่ายเอาไว้ในบ้านหลังนี้คือ เพื่อป้องกันไม่ให้ฉือไคฮวงพัฒนาวิธีที่ใช้ทะลวงสู่ด่านถัดไปโดยไร้สายเลือดของเขาไปไกลเกินกว่านี้

เมื่อซูเฉินมาถึง ชายหนุ่มก็เห็นอาจารย์ของตนกำลังนอนเล่นและตกปลาด้วยเบ็ดไร้ตะขออยู่ริมทะเลสาบ โดยมีฉู่อิงหว่านกำลังรินชาให้อยู่ข้าง ๆ

ซูเฉินเดินเข้าไปหาฉือไคฮวงและกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์ ท่านแม่ทัพฉู่”

“เจ้ากลับมาแล้ว” ฉือไคฮวงยิ้มขึ้น “เล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคนเถื่อนบ้าง อย่าได้คิดที่จะใช้คำพูดมาหลอกลวงข้า เหมือนอย่างที่ทำกับคนพวกนั้นเมื่อวานนี้ ข้าอยากฟังเรื่องที่น่าสนใจที่สุด”

“เรื่องที่น่าสนใจที่สุด… หากท่านได้ฟังแล้ว ข้าเกรงว่าท่านจะต้องตบบ้องหูข้าเป็นแน่” ซูเฉินตอบ

“โอ้ ? ทำไมล่ะ ?” ฉือไคฮวงประหลาดใจ

ซูเฉินยักไหล่ “เพราะข้ามอบของบางอย่างให้พวกนั้นไป”

“ให้อะไร ?”

“ข้าได้เจรจาแลกเปลี่ยนกับตานปา… ” ซูเฉินเริ่มเล่าถึงธุรกิจระหว่างเขากับตานปา เรื่องราวนี้ทำเอาฉู่อิงหว่านที่นั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับตกตะลึง

“ไม่ว่ายังไง การช่วยให้คนเถื่อนควบคุมพลังต้นกำเนิดได้มันก็ออกจะเกินไปหน่อยจริง ๆ” ฉู่อิงหว่านกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว

ตรงกันข้าม ฉือไคฮวงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลับพูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิดอย่างแผ่วเบา “ดีที่แล้วที่เจ้ามีความทะเยอทะยานอยู่มาก ข้าแค่กังวลว่าหากเจ้าเอาแต่มองสิ่งที่อยู่ไกลเกินไป เจ้าอาจจะสะดุดล้มก่อนจะไปถึงจุดนั้น เพราะไม่ได้ระวังใต้เท้าให้ดีก่อนจะก้าวเท้าของเจ้าออกไป”

“อันที่จริงทุกอย่างในตอนนี้ยังคงเรียบร้อยดี นี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ข้าสามารถทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารได้สำเร็จ”

“หืม ? ไหนว่ามาสิ”

ซูเฉินค่อย ๆ อธิบายทุกอย่างที่เขาทำในปราการกู่หลานทีละอย่าง

ชายหนุ่มอธิบายว่าเขาทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดารด้วยความช่วยเหลือของอารามพลังต้นกำเนิดได้อย่างไร เรื่องที่กลาบเป็นคนสนิทของอานู๋ปี่ เรื่องที่ช่วยทั้งทหาร 73 คน เรื่องการยุยงให้อานู๋ปี่นำกองทัพเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง และสังหารใจสีเลือด ดวงตาของทั้งฉือไคฮวงและฉู่อิงหว่านต่างก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

เพราะซูเฉินกลับมาอย่างรวดเร็ว ข่าวเหล่านี้ส่วนใหญ่จึงยังถูกส่งมาไม่ถึงปราการลุ่มน้ำทอง ฉือไคฮวงกับฉู่อิงหว่านจึงตกตะลึงกับเรื่องเล่าการเสาะหาผลประโยชน์ครั้งนี้ของซูเฉินเป็นอย่างยิ่ง

“ทำได้ดีมากเจ้าเด็กน้อย ! เจ้านี้มันมีกึ๋นดีจริง ๆ!” ฉือไคฮวงกล่าวพลางเริ่มลูบเคราของเขาด้วยความตื่นเต้น “เจ้าจัดการทิ้งคนเถื่อนหลายแสนคนลงไปในหลุมกับดักได้ในพริบตาเลยอย่างนั้นหรือ ?”

“ไม่เพียงเท่านั้น กำลังพลของชนเผ่าเพลิงยังได้รับความเสียหายอย่างมาก ในขณะที่เผ่าชนเผ่ากิ้งก่ากรวดได้รับวิธีการลับที่ช่วยให้สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ดีขึ้นไป ทำให้ทั้งความแข็งแกร่งและอิทธิพลของพวกมันเพิ่มมากขึ้น ตานปาผู้นั้นย่อมต้องใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อรวมอาณาเขตทางใต้เป็นแน่ ต่อจากนั้นมันก็คงหันความสนใจไปหาอาณาเขตทางเหนือเป็นหลัก เมื่อเหนือและใต้ขัดแย้งกัน อาณาจักรเหล็กเลือดอาจจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในไม่ช้า” ฉู่อิงหว่านกล่าววิเคราะห์

เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น อาจต้องใช้เวลาเป็นร้อย ๆ ปีในการตัดสินผู้ชนะ

ในช่วงเวลานั้น อาณาจักรหลงซางสามารถเติบโตพัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นไปได้เรื่อย ๆ โดยปราศจากอุปสรรคและไม่ต้องสูญเสียสิ่งใดเลย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ชนะสงครามกลางเมือง พวกนั้นก็คงไม่อาจเป็นภัยคุกคามต่ออาณาจักรหลงซางได้มากนัก

นี่คือผลงานที่ซูเฉินทำเพื่ออาณาจักรหลงซาง

น่าเสียดายที่ผลงานเหล่านี้ไม่อาจที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินกับตานปา มิฉะนั้น ความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูอาจจะมีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ให้เหล่าชนชั้นสูงที่ไม่ชอบหน้าซูเฉินนำมาให้กล่าวโทษชายหนุ่มได้ เพราะไม่ว่าแรงจูงใจหรือเหตุผลสำหรับการสมรู้ร่วมคิดครั้งนี้ของเขาจะเป็นอะไร ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คนพวกนั้นจะไม่สนใจมัน

“ช่างมันไปเถอะ แค่ผลงานจากการช่วยเหลือกองทัพกำลังสวรรค์กลับมาก็น่าประทับใจมากพอแล้ว อีกไม่นานเจ้าก็คงต้องกลับไปรับรางวัลที่เมืองฉางผาน เจ้าเด็กน้อยคิดไว้หรือยังว่าอยากจะได้รางวัลอะไร ? ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยสนใจรางวัลอะไรพวกนี้เป็นพิเศษ แต่บางครั้งเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปมองหาประโยชน์ จากของที่คนอื่นเต็มใจจะให้นักหรอก” ฉือไคฮวงกล่าว

ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “อย่างที่อาจารย์พูด อันที่จริงแล้ว ศิษย์ของท่านมีความต้องการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ราชวงศ์สามารถตอบสนองได้อยู่ ข้าเชื่อว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรงของอาณาจักรหลงซางมากนัก”

“ความต้องการอะไร ?”

ขณะที่ซูเฉินกำลังจะตอบ จู่ ๆ ฉู่อิงหว่านก็ตะโกนร้องด้วยความตกใจ ก่อนนางจะดึงเอาแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมา มันคือแผ่นสื่อสาร

ทันทีที่นางมองไปที่แผ่นสื่อสาร การแสดงออกของฉู่อิงหว่านก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “ไม่ดีแล้ว พวกมันกำลังหันไปลงมือกับเซี่ยงรุ่ย !”

*****

(1) กล่าวอ้างถึง ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (The Butterfly Effect) ที่ว่า “เพียงผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ” หรือ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ที่มีความหมายโดยนัยเช่นเดียวกัน