ภาคที่ 4 บทที่ 226 เข้าสู่เมืองหลวง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 226 เข้าสู่เมืองหลวง

เซี่ยงรุ่ยคือรองผู้บัญชาการของกองทหารภูผาคราม รวมถึงเป็นเพื่อนเก่าและผู้ช่วยที่ฉู่อิงหว่านไว้ใจ

หลังจากที่กองทัพกำลังสวรรค์ถูกยุบ เขาก็ถูกส่งไปประจำการที่กองทัพล่วงสวรรค์

เขายังคงดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการ แต่ไม่ใช่รองผู้บัญชาการของกลุ่มหัวกะทิอีกต่อไปแล้ว

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าหลงเกอที่ผู้บัญชาการของกองทัพล่วงสวรรค์นั้น เป็นคนที่ได้รับตำแหน่งโดยการแลกกับการสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อองค์รัชทายาท

เขาเป็นหนึ่งในสองแม่ทัพสนับสนุนรัชาทายาทอย่างเปิดเผย

และด้วยเหตุนี้ ต่อจากนี้ชีวิตของเซี่ยงรุ่ยคงจะไม่สงบนัก

แต่ไม่ว่าลำบากแค่ไหน ก็ไม่เหมือนกับการถูกจับ

เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่อิงหว่าน ฉือไคฮวงก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”

“พวกเขาบอกว่าเซี่ยงรุ่ยฆ่าใครบางคนไป”

“ฆ่าคน ?” ซูเฉินกับฉือไคฮวงตะโกนออกมาพร้อมกัน

————————————————

เซี่ยงรุ่ยไม่คิดว่าผู้ชายที่ถูกเขาฆ่าไปไม่สมควรตาย ชายคนนั้นเป็นคนเลวทราม อีกฝ่ายพยายามที่จะฉุดผู้หญิงกลางถนน ทุบตีคนชรา ทั้งยังทำตัวตามอำเภอใจตัวเองเป็นที่สุด

ทว่าปัญหาคือเซี่ยงรุ่ยไม่ได้เป็นคนฆ่าอีกฝ่าย !

เซี่ยงรุ่ยรู้ดีว่าพลังของฝ่ามือของตนมากแค่ไหน ฝ่ามือนั้นจะทำให้กระอักเลือดและได้รับบาดเจ็บไปบ้าง หรืออาจจะต้องนอนพักรักษาสักครึ่งเดือน แต่ไม่มีทางที่ฝ่ามือนี้จะถึงขั้นฆ่าอีกฝ่ายตายได้เลย !

เขาเป็นทหารผ่านศึกจากสนามรบเป็นนักรบที่มีเกียรติ เขาเคยหั่นศพมานับร้อยและมีประสบการณ์มากพอที่จะรู้ว่าต้องใช้แรงมากน้อยเพียงใดจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แม้ว่าเขาจะสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ ความเสียหายมันก็ไม่ควรมากขนาดนั้น

อย่างไรก็ตาม เซี่ยงรุ่ยได้คำนวณพลาดต่อหน้าทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

“มีคนหลายคน สามารถเป็นพยานได้ว่าเจ้าฆ่าเขา ?” ซูเฉินถามผ่านลูกกรงของห้องขัง

ที่อยู่ด้านข้างชายหนุ่มคือ หลี่ฉงซาน ฉู่อิงหว่าน จวินโม่เสีย หลินเฉ่าเซวียนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพกำลังสวรรค์อีกมากมาย ฉือไคฮวงยังคงถูกกักบริเวณอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมาด้วยได้

เซี่ยงรุ่ยถอนหายใจในขณะที่เขายอมรับ “ใช่”

“หลังจากที่เจ้าลงมือ มีใครได้แตะต้องเขาก่อนที่จะพิสูจน์ได้ว่าตายจริงแล้วหรือไม่ ?” ซูเฉินถามต่อ

“หลายคน ตอนนั้นมันวุ่นวายมาก” เซี่ยงรุ่ยตอบกลับ

สีหน้าของซูเฉินแย่ลงเล็กน้อย

เรื่องที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ไม่มีใครแตะต้องเหยื่อ แต่เป็นสถานการณ์ที่มีคนสัมผัสเหยื่อมากเกินไป

ความโกลาหลไม่เพียงแต่จะทำให้การหาตัวผู้กระทำความผิดที่แท้จริงยากขึ้น ทว่ายังอาจทำให้ที่เกิดเหตุเสียรูปได้

การปลอมแปลงสถานที่เกิดเหตุ เป็นโอกาสชั้นดีสำหรับเหล่าผู้มีอิทธิพล

แม้ว่าซูเฉินจะหาตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงได้ ผู้มีอิทธิพลก็สามารถใช้ความโกลาหลนี้เพื่อหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธข้อกล่าวหาได้

ใช่ ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่ามันจะเป็นเช่นนี้แต่แรกแล้ว

การจับกุมเซี่ยงรุ่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ของกองทัพกำลังสวรรค์ เรื่องนั้นได้รับการตัดสินจบไปแล้ว แต่การไม่สามารถคิดบัญชีด้วยข้ออ้างเก่าได้ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถสร้างข้ออ้างใหม่ขึ้นมากล่าวหาได้

แค่การใส่ร้ายแบบธรรมดา ๆ ก็เพียงพอแล้ว

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความเรียบง่ายของกลอุบาย แต่อยู่ที่ประสิทธิภาพ

แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่เริ่มวางแผนตอบโต้หลังจากฝ่ายตรงข้ามถอนตัวออกไปแล้วเท่านั้น

ยามนี้เซี่ยงรุ่ยได้ถูกคุมขังแล้ว หลินเหวินจวิ้นกำลังบอกซูเฉินผ่านเหตุการณ์นี้ ว่าถึงตนจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่ก็ยังมีกองทัพกำลังสวรรค์ให้เล่นงานอยู่

เรื่องของเซี่ยงรุ่ยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ตราบใดที่หลินเหวินจวิ้นต้องการ เขายังสามารถสร้างข้อกล่าวหาใหม่และใส่ร้ายอดีตสมาชิกของกองทัพกำลังสวรรค์ได้ไม่ยากเย็น

ซูเฉินได้ข้อสรุปนี้อย่างรวดเร็ว คนอื่น ๆ ก็เข้าใจเช่นกัน

หลังจากถามเซี่ยงรุ่ยอีกสองสามคำถาม ซูเฉินก็กล่าวว่า “ตอนนี้รออยู่ในคุกไปก่อน ข้าได้ดูแลคนที่นี่แล้ว ดังนั้นอย่างน้อยเมื่ออยู่ที่นี่เจ้าก็จะไม่ถูกรบกวน ไม่ต้องกังวลไป ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”

เซี่ยงรุ่ยกล่าวว่า “คุณชายซู หากท่านไม่อาจแก้ไขมันได้ก็โปรดอย่าฝืนตัวเองเลย เพราะคราวนี้ … ”

เขาไม่ได้พูดต่อจนจบประโยค แต่ทุกคนรู้ดีว่าคำพูดต่อไปของเขาคืออะไร ชื่อของคนที่สร้างเรื่องยากนี้ให้พวกเขา หลินเหวินจวิ้น เซี่ยงรุ่ยหวังว่าซูเฉินจะระมัดระวังให้มาก และไม่ลงมือทำอะไรเกินตัว

เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ซูเฉินก็ยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะรับมือยากกว่าพวกคนเถื่อนหรอกนะ”

การแสดงออกของเซี่ยงรุ่ยเต็มไปด้วยความกังวล “ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ยังมีสถานะที่สูงมากอยู่ดี”

“นั่นคือส่วนที่น่าสนใจที่สุด คนที่ต่อสู้อยู่ในสนามรบ ผู้ไม่กลัวศัตรูหรือความตาย จำเป็นต้องกลัวตัวตนระดับสูงด้วยหรือ ?”

เมื่อเขาพูดเช่นนั้นทุกคนก็เงียบไป แต่ดวงตาของพวกเขากลับเปล่งประกายเจิดจ้า

ทำไมทหารมักจะเป็นคนแรกที่สร้างปัญหาเสมอ ?

เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในสนามรบและคุ้นเคยกับความตายเป็นอย่างดี

ในเมื่อพวกเขาไม่กลัวความตายแล้วทำไมพวกเขาถึงต้องกลัวคนระดับสูง ? คำพูดของซูเฉินเป็นแรงกระตุ้นความเย่อหยิ่งและความเด็ดเดี่ยวของทหารที่ดีที่สุด

มิฉะนั้น แม่ทัพในปราการลุ่มน้ำทองกว่าครึ่ง ก็คงจะเต็มใจก้มหัวให้กับหลินเหวินจวิ้นกันไปหมดแล้ว

ปัจจุบัน อดีตทหารของกองทัพกำลังสวรรค์คนหนึ่งถูกจับได้ ก็เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่ถ้าวันหนึ่งองค์รัชทายาทผลักดันสิ่งต่าง ๆ จนล้ำเส้นมากเกินไป… เขาจะต้องไม่ถูกใจผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างแน่นอน

คำพูดของซูเฉินทำให้เปลวเพลิงก่อตัวขึ้นซ่อนอยู่ลึกในหัวใจของเหล่าทหารผ่านศึกเป็นอย่างดี

หลี่ฉงซานกล่าวว่า “ซูเฉิน ลงมือทำในสิ่งที่เจ้าต้องทำเสีย ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ข้า หลี่ฉงซาน และพี่น้องของข้าจะแบกรับมันเอง”

นี่คือคำมั่นสัญญาของทหารกล้า

เขายอมถูกไล่ออกจากตำแหน่ง แต่เขาจะไม่ให้พี่น้องของเขาถูกใส่ร้ายอย่างแน่

ซูเฉินพยักหน้า “ถ้าท่านแม่ทัพพูดมาถึงขนาดนั้น ข้าก็ไม่กังวลแล้ว”

ระหว่างทางกลับฉู่อิงหว่านกก็ถามขึ้น “ซูเฉิน เจ้าคิดจะทำอย่างไร ?”

“หากหลินเหวินจวิ้นสามารถจับเซี่ยงรุ่ยมาขังได้ เขาก็สามารถกักขังคนอื่นได้เช่นกัน กองทัพกำลังสวรรค์มีพี่น้องทั้งหมด 8,000 คนหรือเท่ากับ 8,000 เป้าหมายซึ่งมากเกินไป ถึงอย่างนั้นพวกเขาทั้งหมดอยู่ภายใต้เขตอำนาจของทางนั้นอยู่ดี กล่าวก็คือตัวประกันทั้ง 8,000 อยู่ในมือรัชทายาท ดังนั้นเราจึงไม่สามารถมุ่งความสนใจไปที่การช่วยเหลือเพื่อนของเราเพียงอย่างเดียวได้”

จวินโม่เสียกล่าวต่อ “ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเราจะสามารถช่วยได้หนึ่งแต่ก็ยังมีเป้าหมายให้ลงมืออยู่อีกเป็นสิบ 8,000 เป้าหมายและยังสุ่มเลือกได้ตามใจ หมายความว่าเราจะเป็นฝ่ายที่ต้องรับมืออยู่เสมอ”

“นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหานี้ที่ต้นเหตุ การช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุมขังเป็นเพียงการป้องกันตัว เรายังคงต้องโจมตีกลับด้วย โชคไม่ดีนักที่ก่อนจะถึงตอนนั้นพวกท่านทุกคน อาจต้องกลายเป็นเหยื่อที่ถูกบีบบังคับ”

ตอนนี้มีเพียงเซี่ยงรุ่ยเท่านั้นที่ถูกจับกุม แต่ซูเฉินกลับใช้คำว่า “พวกเขา”

เบื้องหลังการเลือกคำของเขานั้นมีความหมายโดยนัย

จวินโม่เสีย หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ หันมองหน้ากันแล้วพยักหน้า “พวกข้าจะพยายามรักษาสถานการณ์ให้คงที่เอาไว้”

ถึงหลี่ฉงซานจะถูกลดตำแหน่ง แต่จวินโม่เสียกับหลินเฉ่าเซวียนยังคงอยู่ในตำแหน่ง และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอิทธิพลของพวกเขาในหมู่ทหารที่ประจำการอยู่ในปราการลุ่มน้ำทองนับว่ามากอยู่ ดังนั้นการกระทำของพวกเขาย่อมเกิดผลกระทบวงกว้างอย่างแน่นอน

และเป้าหมายของหลินเหวินจวิ้นก็ไม่ใช่การฆ่า ดังนั้นทุกคนจึงมั่นใจว่าอย่างน้อย เป้าหมายทั้งหมดจะยังคงรักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ได้

“ดี ถ้าเช่นนั้น ข้าจะได้ไปเมืองหลวงได้อย่างไม่ต้องกังวล”

“เมืองหลวง ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็เข้าใจในทันทีว่าซูเฉินกำลังวางแผนจะทำอะไร

เขากำลังจะตีโต้กลับ !

————————————————

2 วันต่อมา ราชโองการก็มาถึง

ซูเฉินถูกเรียกตัวไปที่เมืองหลวง

หลินเหวินจวิ้นสามารถผลักความรับผิดชอบเรื่องกองทัพกำลังสวรรค์ไปให้หลี่ฉงซาน โดยอ้างว่าอีกฝ่ายปฏิเสธที่จะฟังคำสั่งของตน และลงมือโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้แผนการทหารเกิดความผิดพลาดส่งผลให้พวกเขาติดอยู่ในอาณาเขตของคนเถื่อน อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถตำหนิซูเฉินผู้ที่ช่วยกองทัพเอาไว้ได้ ดังนั้นเมื่อซูเฉินกลับมาหลินเหวินจวิ้นจึงทำได้แค่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างอารามนิรันดร์กับชายหนุ่ม แต่หลังจากล้มเหลวเพราะไม่อาจพิสูจน์ได้ เขาก็ทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น

ผลงานครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก !

เมื่อมีผลงาน ก็ต้องได้รับรางวัล

ราชโองการนี้ถูกส่งมาเพื่อเรียกตัวซูเฉินไปยังเมืองหลวง และรับรางวัลของเขา

เมื่อพระราชโองการมาถึง หลินเหวินจวิ้นโกรธมากจนหน้าเปลี่ยนสี

เพราะในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ซูเฉินไม่เคยมาหาเขาหรือคนของเขาเลยสักครั้ง และไม่ใช่แค่ซูเฉินเท่านั้น แม้แต่หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ เองก็ไม่โผล่มาเลยเช่นกัน

นอกเหนือจากการไปเยี่ยมเซี่ยงรุ่ยคุกแล้ว ก็ไม่มีใครเคลื่อนไหวอะไรอีกเลย

ปัญหาคือเป้าหมายที่หลินเหวินจวิ้นจับตัวเซี่ยงรุ่ยมา นั่นก็เพื่อหลอกล่อให้ซูเฉินมาหาเขาเอง อย่างไรก็ตามฝ่ายตรงข้ามกลับเมินเฉย และไม่เคยมาตกลงหารือกับเขาเลยสักครั้ง นี่ทำให้เขาประหลาดใจมาก

นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน ? พวกเจ้าไม่ใช่สหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันหรอกหรือ ? เต็มใจปล่อยให้พี่น้องของตนต้องนั่งแช่อยู่ในคุกโดยไม่สนใจอะไรเลย ?

ใช่ นั่นคือสิ่งที่ซูเฉินเลือกทำ

ก่อนหน้านี้ ซูเฉินได้ระบุประเด็นสำคัญในประโยคเดียว

พี่น้อง 8,000 คน หรือก็คือ 8,000 เป้าหมาย

เป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จะช่วยทั้งหมด

ไม่ว่าพวกเขาจะทุ่มเทความพยายามช่วยออกมามากแค่ไหน ฝ่ายตรงข้ามก็สามารถเปลี่ยนเป้าหมาย และส่งกลุ่มอื่นเข้าคุกได้โดยแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายาม

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจลงไปสู้ในสนามรบที่ศัตรูเป็นฝ่ายได้เปรียบได้

นี่คือเหตุผลที่ซูเฉินเลือกที่จะจากไปและตรงไปที่เมืองหลวง

หลินเหวินจวิ้นไม่รู้ว่าซูเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สัญชาตญาณได้บอกกับเขาว่าสถานการณ์นี้ดูน่าเป็นกังวลอยู่

“ถ้าเขาไปถึงเมืองหลวง สิ่งต่าง ๆ คงจะควบคุมได้ยากขึ้น” หลินเหวินจวิ้นกล่าว

ชิวชิงจื้อก็คิดเช่นเดียวกัน “ข้าไปพบเขาเมื่อวานนี้ แต่เขาปฏิเสธที่จะพบกับข้า ดูเหมือนว่าทางนั้นจะตัดสินใจแล้วว่าจะต่อต้านฝ่าบาท”

หลินเหวินจวิ้นกำหมัดของเขาแน่นด้วยความไม่สบายใจ “ข้าให้โอกาสแล้ว แต่มันก็ยังปฏิเสธ !”

กิ่งมะกอกที่หยิบยื่นออกไปถูกปัดทิ้ง หลุมกับดักที่วางไว้ก็ถูกกลบ หลินเหวินจวิ้นรู้ดีว่าเขาเสียโอกาสไปแล้ว

“ส่งจดหมายไปบอกพวกเฒ่านั่นว่าข้าสอนบทเรียนให้ซูเฉินได้สำเร็จแล้ว แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายดื้อรั้นไม่ยอมถอย ไม่เคยสำนึกผิด และทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้เขากำลังวางแผนที่จะกลับไปที่ฉวงผาน ซึ่งเทียบไม่ต่างจากการโยนตัวเองเข้าไปในกับดัก ขอเชิญจัดการกันตามสบาย”

ในฐานะองค์รัชทายาท เขาไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรมากนัก ทว่าความสามารถในการมอบหมายความรับผิดชอบของเขานั้นหาตัวจับยาก

พวกเจ้าอยากจัดการกับซูเฉินและหยุดเขากับอาจารย์ของเขา ไม่ให้พัฒนาทักษะไร้สายเลือดของพวกเขาให้ดียิ่งขึ้นไปอีกมิใช่หรือ ? ข้าได้พยายามสอนบทเรียนให้เขาไปแล้ว และตอนนี้ข้าก็กำลังส่งเขาไปหาพวกเจ้า

ดังนั้นเชิญลุกออกมาลงมือได้เลย !

แม้ว่าจะเป็นวิธีไร้ยางอาย แต่ก็ยังมีประสิทธิภาพ

หากแม้แต่กลุ่มชนชั้นสูงของอาณาจักรเองก็ยังไม่สามารถจัดการกับซูเฉินได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะมาชี้นิ้วใส่คนอื่น

และหากพวกเขาสามารถจัดการกับชายหนุ่มได้… แล้วยังจะต้องมาเปลืองน้ำลายมาต่อว่าเขาอีกหรือ ? พวกเขาพอใจกับการใช้ให้รัชทายาททำงานแทนนักหรือ ?

ชิวชิงจื้อเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามจะกล่าวและพยักหน้ายืนยัน แล้วก็ถามขึ้นว่า “แล้วเซี่ยงรุ่ย… ”

หลินเหวินจวิ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “โยนทหารอีกสักสองสามคนเข้าคุกไปเสีย ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้กองทัพกำลังสวรรค์หยิ่งผยองเกินไป แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครคิดจะโผล่หัวมาหาข้า เช่นนั้นก็ส่งพวกเขาไปที่คุกเพิ่มซะ !”

หากไม่คิดที่จะมาตกลงหารือกับเขาก็นับเป็นพวกอวดดีแล้ว

ทว่านั่นเป็นเพียงวิธีที่องค์รัชทายาทคิด

สิ่งใดที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของเขา ก็เท่ากับเป็นการต่อต้าน !

แต่ถึงแม้เขาจะตัดสินประหารชีวิตพวกนั้นทุกคน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรจากความตายเหล่านั้น

หากจะประหาร ก็ต้องประหารหลังใบไม้ร่วง(1)

พูดอีกอย่างก็คือ ไม่ว่าจะพยายามเร่งความเร็วแค่ไหน เขาก็ยังต้องรอจนถึงสิ้นฤดูใบไม้ร่วงเพื่อฆ่าพวกมัน

และตอนนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ผลิ ยังมีเวลาอีกครึ่งปีกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วง

ในช่วงครึ่งปีนี้จะไม่มีใครกล้าฆ่าพวกเขา นี่เป็นข้อจำกัดของกฎธรรมชาติที่แม้แต่องค์รัชทายาทก็ไม่อาจฝ่าฝืนได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ซูเฉินไม่จำเป็นต้องกังวล ตราบเท่าที่เขาสามารถโจมตีสวนกลับได้สำเร็จก่อนถึงตอนนั้น

เห็นได้ชัดว่าการตอบโต้องค์รัชทายาทไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แต่ไม่ว่าอย่างไร หลี่ฉงซาน ฉู่อิงหว่าน และคนอื่นๆ ต่างก็เชื่อมั่นในตัวของชายหนุ่ม

พวกเขาเชื่อว่าเขาจะต้องชนะอย่างแน่นอน

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูเฉินและเจ้าหน้าที่ผู้ส่งมอบราชโองการก็ได้ออกเดินทางตรงไปยังเมืองฉางผาน

*****

(1) 秋后问斩 “ประหารหลังใบไม้ร่วง”

เพราะชาวจีนถือว่าฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเพราะพืชพรรณกำลังผลิบานและสัตว์ต่างๆขยายพันธุ์ ส่วนฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาการลงโทษเช่นเดียวกับต้นไม้ที่ใบค่อยๆร่วงโรยและเหล่าสัตว์เข้าสู่ช่วงจำศีล การตกรางวัลและการลงโทษจึงควรสอดคล้องกับสิ่งที่ฟ้ากำหนดมา

ทางด้านสุขอนามัยการประหารในช่วงเวลาดังกล่าวนับว่าง่ายต่อการจัดการศพ เพราะอากาศเริ่มเย็น จึงสามารถป้องกันการแพร่เชื้อและจัดการกับศพได้ง่ายกว่าฤดูอื่น