บทที่ 227 รางวัล
ท้องฟ้าเหนือเมืองฉางผาน มักปลอดโปร่งและมีแดดอยู่เสมอ
บุคคลที่มีอำนาจนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ หากพวกเขาต้องการให้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เมฆครึ้มย่อมไม่กล้าปกคลุม
หากวันไหนมีฝน นั่นก็เพราะบุคคลผู้มีอำนาจเหล่านี้ต้องการและกวักมือเรียกฝนมา
ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในที่แห่งนี้คือหลินเมิ่งเจ๋อ
องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรหลงซาง
ต่างจากเจ้าขยะอานู๋ปี่นั่น หลินเมิ่งเจ๋อไม่เพียงจะเป็นคนมีสถานะที่สูงสุด แต่ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย
เขามีสายเลือดของมังกรตะขาบ สายเลือดเทพอสูร ส่วนระดับการฝึกตนของเขานั้นอยู่ในด่านมหาราชันขั้นปลายสุด
เขาอาศัยความแข็งแกร่งของจักรพรรดิยุคแรก เพื่อขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรหลงซาง
นี่คือกฎที่เผ่ามนุษย์ใช้มาจนถึงทุกปัจจุบัน จากมุมนี้ อาจกล่าวได้ว่าแท้จริงแล้วมนุษย์มีความแข็งแกร่งมากกว่าพวกคนเถื่อนเสียอีก
หลินเมิ่งเจ๋อมีอายุเกือบ 800 ปี มีลูกชาย 3 คนและลูกสาว 2 คน
บางทีอาจเป็นคำสาปโดยกำเนิดของสายเลือดที่ทรงพลัง ที่บางคนก็คิดว่ามันเป็นความสมดุลตามธรรมชาติ ยิ่งสายเลือดมีพลังมากเท่าไร เจ้าของก็ยิ่งอยู่ได้ยาวนานขึ้นมากเท่านั้น หากพวกเขาสามารถอยู่ได้นานพอ แต่ตัวคนเพียงคนเดียวก็สามารถสร้างเผ่าพันธุ์ขึ้นได้
ความสมดุลตามธรรมชาติ ทำให้สายเลือดทรงพลังทั้งหลายมีคนสืบทอดน้อย เพราะปัญหาตั้งครรภ์ยาก แม้จะพยายามอย่างหนักมาหลายร้อยปี หลินเมิ่งเจ๋อก็มีลูกเพียง 5 คนเท่านั้น ซึ่งถือเป็นจำนวนที่เรียกได้ว่าเยอะแล้ว
หลินเหวินจวิ้นเป็นลูกคนที่ 2 และลูกชายคนแรกของหลินเมิ่งเจ๋อ ถึงจะดูเด็ก แต่จริง ๆ เขาอายุ 400 ปีแล้ว
หากมีใครถามหลินเหวินจวิ้นว่าการเป็นองค์รัชทายาทนานถึง 400 ปีเป็นอย่างไรบ้าง เขาก็คงจะตอบกลับมาว่ามีแต่ความทุกข์อย่างแน่นอน
ใช่ ความทุกข์
ด้านหนึ่ง เขาต้องเฝ้ารอพ่อของเขาสละราชสมบัติโดยไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะมาถึงเมื่อไหร่ ส่วนอีกด้านหนึ่ง เขาก็ต้องรับมือกับการแก่งแย่งจากน้องชายของตัวเอง
หลินเหวินจวิ้นมีน้องชายอยู่ 2 คน – ลูกคนที่ 3 หลินเฉินหยวน และลูกคนที่ 4 หลินอันกั่ว
แต่มีเพียงแค่หลินเฉินหยวนเท่านั้น ที่ทำให้เขารู้สึกกังวลใจ
หลินเฉินหยวนมีอายุน้อยกว่าหลินเหวินจวิ้นเพียง 3 ปี
หากมีอะไรในโลกนี้ที่ทำให้หลินเฉินหยวนรู้สึกเสียใจ ก็คงเป็นเรื่องที่เขาเกิดช้ากว่าพี่ชาย 3 ปี
สำหรับสายเลือดของราชวงศ์ที่มีช่วงชีวิตยาวนับพันปี ความแตกต่างของ 3 ปีนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ 30 วัน
นอกเหนือจากความจริงที่ว่าเขาอายุน้อยกว่า หลินเฉินหยวนกล้าพูดว่าเขาโดดเด่นกว่าพี่ชายของเขาในทุกด้าน
หลินเหวินจวิ้นยังคงอยู่เพียงด่านผลาญจิตวิญญาณ ขณะที่น้องชายของเขาห่างจากด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอยู่เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น
ทัศนคติขององค์รัชทายาทนั้นดื้อดึงและดื้อรั้น ส่วนองค์ชายสามนั้นทั้งสุภาพและมีการศึกษา
คนพี่มีความทะเยอทะยานสูงแต่ค่อนข้างไม่มีพรสวรรค์ แต่คนน้องมีทั้งวิสัยทัศน์รู้จักมองภาพรวมและยังขยันหมั่นเพียร
เขาโดดเด่นกว่าพี่ชายของเขาในทุกด้านยกเว้นอายุจริง ๆ
บางทีนี่อาจเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ ‘น้องชายผู้เป็นภัยคุกคาม’ ทุกคนควรมี หากหลินเฉินหยวนไม่อาจเอาชนะพี่ชายในทุกด้านได้ แล้วเขาจะมีสิทธิ์มากพอที่จะละโมบในตำแหน่งองค์รัชทายาทได้หรือ ?
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่องค์ชายสามเหนือกว่าพี่ชายของเขา
หลินเฉินหยวนเคารพนับถือผู้มีอุดมการณ์มากกว่าพี่ชายของเขา
ซูเฉินเข้าใจส่วนนี้เป็นอย่างดี
เพราะเขาเคยเจอกับอีกฝ่ายมาก่อนแล้ว
ที่หน้าประตูเมืองฉางผาน หลินเฉินหยวนยืนอยู่ตรงหน้าซูเฉินพร้อมรอยยิ้ม “ท่านซู ลำบากท่านเดินทางมาไกลแล้ว”
ซูเฉินรีบกล่าว “ข้าจะกล้าขอให้ท่านออกมารับข้าเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร ?”
บัณฑิตผู้ยืนอยู่ด้านข้างหลินเฉินหยวนกล่าวเสริมขึ้น “ไม่เพียงแค่ออกมาทักทายเป็นการส่วนตัวเท่านั้น นับตั้งแต่ท่านได้รับจดหมายของเจ้า ท่านก็ไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นของตัวเองได้เลย ทันทีที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างก็รีบร้อนออกมารออยู่ที่นี่แล้ว จนตอนนี้ก็ร่วมหนึ่งชั่วยาม !”
บุคคลสำคัญทุกคนจำเป็นต้องมีคนสนิทที่เหมาะสม ที่ทำหน้าที่ค่อยพูดสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม
ข้างกายของหลินเหวินจวิ้นมีชิวชิงจื้อ ขณะที่หลินเฉินหยวนมีคนผู้นี้เขามีนามว่าจินชูเหวิน
คำพูดของจินชูเหวินเมื่อครู่ เหมาะเจาะและถูกเวลาอย่างสมบูรณ์แบบ มันแสดงให้เห็นถึงมารยาทที่สุภาพและความเคารพในปัญญาชนของหลินเฉินหยวนได้อย่างดี และยังเอื้อโอกาสให้ซูเฉินได้ใช้ประโยชน์จากมัน ตอบโต้กลับมาว่า ‘เขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการต้อนรับเช่นนี้’ ด้วยวิธีนี้ทั้ง 2 ฝ่ายก็จะสามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้แก่กัน
ใช่แล้ว ซูเฉินจงใจมาหาหลินเฉินหยวนก่อน
ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทหลินเหวินจวิ้น กับองค์ชายผู้รอบรู้หลินเฉินหยวน มันไม่เคยเป็นความลับ
ตั้งแต่ที่องค์รัชทายาทหมายหัวเขา แน่นอนว่าซูเฉินเองก็ต้องเลือกร่วมมือกับใครสักคนที่สามารถให้ที่ซ่อนตัวแก่เขาได้
และไม่มีตัวเลือกใด จะดีไปกว่าองค์ชายผู้รอบรู้ผู้นี้อีกแล้ว
สำหรับหลินเฉินหยวนแล้ว ซูเฉินก็เป็นเป้าหมายที่ควรค่าแก่การดึงตัวมาเป็นพวกเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่ความจริงที่ว่าเขาได้ช่วยกองทัพกำลังสวรรค์ทั้งหมดไว้ได้เพียงลำพัง ก็ทำให้เขามีชื่อเสียงกระจายไปทั่วอาณาจักรหลงซาง ไม่สิ ทั่วทั้งเผ่ามนุษย์แล้ว
ด้วยแดนฝันที่ทำให้การกระจายข่าวสารเป็นเรื่องง่าย ตราบใดที่เป็นข้อมูลนั้นที่มีคุณค่า มันก็จะถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับไฟป่าที่ลามไปทั่วทั้งหุบเขาในชั่วข้ามคืน
ในยุคนี้ ชื่อเสียงถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญและหาได้ยากยิ่ง
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงมากทีเดียว !
ในฐานะผู้มีชื่อเสียง ตัวเขาก็ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญ นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของตัวซูเฉินเอง ก็ยังทำให้เขาเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเป็นพันธมิตรด้วยมากขึ้นไปอีก
ดังนั้น ทันทีที่ซูเฉินเสนอเรื่องพันธมิตรขึ้น หลินเฉินหยวนจึงรีบออกมาแสดงความจริงใจของเขาอย่างชัดเจน
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแสร้งเล่นเล่ห์ทำหรือเคารพซูเฉินจริง ๆ อย่างน้อยเขาก็ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความประทับใจแรกพบ
ด้วยเหตุนี้ จุดแวะพักแรกในเมืองฉางผานที่ซูเฉินมุ่งหน้าไป จึงไม่ใช่สถานกงสุลเมืองหลงซางแต่เป็นวังขององค์ชายหลินเฉินหยวน
——————————
ณ วังขององค์ชายผู้รอบรู้
หลินเฉินหยวนยิ้มขณะที่รินสุราจอกหนึ่งส่งให้ซูเฉิน
“การบุกเข้าสู่อาณาจักรเหล็กเลือดเพียงลำพังและช่วยเหลือกองทัพกำลังสวรรค์ออกมาได้ ทำให้ชื่อเสียงของท่านซูขยายออกไปอย่างกว้างขวางแล้ว ทว่าท่านกลับถูกจับและสอบปากคำทันทีที่กลับมาถึงพร้อมความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ? ช่างเป็นการตัดสิ้นที่เย็นชาสิ้นดี เมื่อข้าได้ทราบเรื่องนี้ ข้าอยากจะเดินทางไปที่ปราการลุ่มน้ำทองเพื่อถามแม่ทัพเหล่านั้นว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่จริง ๆ”
ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “อันที่จริง ไม่ว่าเหล่าแม่ทัพคิดจะคิดอย่างไรก็คงสำคัญ ไม่เท่ากับองค์รัชทายาทจะคิดอย่างไร จริงหรือไม่ ?”
หลินเฉินหยวนส่ายหัว “หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากแม่ทัพ องค์รัชทายาทคงไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น”
ซูเฉินเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี “มีไม่กี่คนเท่านั้นที่สนับสนุนเขา หนึ่งคือหลงเกอแม่ทัพของกองทัพล่วงสวรรค์ กับอีกคนหนึ่งคือห่าวเจี้ยนถังแม่ทัพของกองทัพกำลังสวรรค์ใหม่”
หลินเฉินหยวนพึมพำ “ห่าวเจี้ยนถังเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ภายใต้องค์รัชทายาทมาแต่แรกแล้ว ดูจากการเลือกที่รักมักที่ชังของหลินเหวินจวิ้นครานี้ เขาคงจะไม่สนใจแม้กระทั่งการรักษาชื่อเสียงแล้ว”
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่หลินเหวินจวิ้นยุบกองทัพกำลังสวรรค์ก็เพื่อที่จะมอบตำแหน่งแม่ทัพผู้ดูแลกองทัพใหม่ ให้กับคนของตนที่ไว้ใจได้ ยังไงซะการจะผูกมัดใครสักคน ก็จำเป็นจะต้องมีการสนับสนุนที่มากพอเสมอ
จินชูเหวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง ๆ เองก็กล่าวขึ้น “หลินเหวินจวิ้นคงจะกระวนกระวายใจอยู่พอควร เขาไปอยู่ที่ปราการลุ่มน้ำทองมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้หงเฉียนจู้จะดูเป็นชายชราผู้เรียบง่าย ทว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก แม่ทัพเหล่านี้คือทหารผ่านศึกที่เคยผ่านการต่อสู้นองเลือดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว พวกเขาไม่สามารถอยู่รอดได้โดยอาศัยแค่สถานะเพียงอย่างเดียว เฉพาะบุคคลที่มีความสามารถเช่นท่านเท่านั้นที่จะได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา”
“เพราะอย่างนั้นองค์รัชทายาทจึงไม่ชอบข้า” ซูเฉินกล่าว
หลินเฉินหยวนกล่าวต่อ “นั่นคงไม่ใช่เหตุผลเดียว แรงกดดันจากด้านหลังของเขาก็คงมากพอสมควร”
ซูเฉินพยักหน้าเข้าใจ “พวกชนชั้นสูงไม่ชอบงานวิจัยที่อาจารย์กับข้ากำลังทำอยู่ ข้าอยากจะรู้ว่าองค์ชายคิดอย่างไรเกี่ยวกับ … ”
หลินเฉินหยวนยิ้ม “ช่วงเวลาพันปีนั้นยาวเกินไป ข้าต่อสู้เพื่อวันและคืนตรงหน้าเท่านั้น”
การเปลี่ยนแปลงและอิทธิพลของซูเฉินเป็นเรื่องของอนาคตอีกยาวไกล
สิ่งที่พวกชนชั้นสูงคิดว่าไม่สำคัญ สำหรับหลินเฉินหยวนแล้วปัจจุบันคือสิ่งสำคัญที่สุด
ด้วยเหตุนี้ งานค้นคว้าวิจัยของซูเฉินจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสนับสนุนการวิจัยของซูเฉินแน่ ๆ
หลินเฉินหยวนกล่าวต่อ “แน่นอนว่า หากท่านซูสามารถผ่อนปรนให้ข้าได้สักนิด ข้าจะรู้สึกขอบคุณยิ่ง”
เขายังคงต้องการการสนับสนุนจากเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงอยู่
และตราบเท่าที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังคงเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงอยู่ พวกเขาย่อมไม่ต้องการให้ซูเฉินสานต่องานค้นคว้าของเขาเป็นแน่
ถ้าหลินเฉินหยวนสามารถทำในสิ่งที่พี่ชายของเขาไม่อาจทำได้ได้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วประชาชนทั่วไปจะคิดอย่างไร ?
เกรงว่าหลายคนก็คงคิดว่า หลินเหวินจวิ้นไม่ดีเท่าหลินเฉินหยวน
ใช่ นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่องค์ชายผู้รอบรู้ให้ความสำคัญกับซูเฉิน
ณ จุดนี้ องค์ชายผู้รอบรู้ก็เหมือนกับองค์รัชทายาท เป้าหมายของพวกเขาเหมือนกัน แต่วิธีการที่จะใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นต่างกัน หลินเหวินจวิ้นไม่ต้องการจ่ายค่างวดแพงเกินไป เพราะเขามองว่าไม่ว่าคู่ต่อสู้จะยอมจำนนหรือตาย มันก็จะมีแต่เสียอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาอะไรมากไปเกินกว่านี้
อย่างไรก็ตาม หลินเฉินหยวนกลับมองว่าซูเฉินและอาจารย์ของเขา เป็นชิ้นส่วนที่จะช่วยให้ตนได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางและชนชั้นสูง และยังเป็นตัวตนที่สามารถใช้ต่อรองกับพี่ชายของเขาได้ในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ชีวิตของซูเฉินจึงมีความสำคัญสูงสุดสำหรับเขา และจดหมายที่ซูเฉินเขียนถึงองค์ชายสามก็ได้ชี้ให้เห็นว่าประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่สามารถเจรจากันได้ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหลินเฉินหยวนถึงยอมจ่ายในราคาที่สูงเป็นพิเศษเช่นนี้
หลังจากที่องค์ชายสามพูดจบ เขาก็โบกมือและคนของตนยกหีบที่ด้านในเต็มไปด้วยหินพลังต้นกำเนิดและวัตถุดิบล้ำค่าออกมา
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินไม่ได้มองแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่ว่าจะร่ำรวยมากแค่ไหน แต่มีหรือจะร่ำรวยมากกว่าเขา ?
ซูเฉินที่เพิ่งเสร็จสิ้นการปล้นสะดมเหล่าคนเถื่อนกับสัตว์อสูรมาหมาด ๆ ไม่ได้สนใจทรัพยากรเหล่านี้สักนิด บางทีแม้แต่คลังของจักรพรรดิก็ยังมั่งคั่งไม่เท่าคลังของเขา
ผู้ที่มีหินพลังต้นกำเนิดนับร้อยล้าน ย่อมไม่สามารถรับหินพลังต้นกำเนิดไม่กี่หมื่นเป็นของขวัญอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงส่ายหัว “ขอบพระคุณองค์ชายสำหรับความเมตตาของท่าน ทว่าข้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้”
หลินเฉินหยวนตกตะลึง “แต่ท่านซู ท่านกล่าวในจดหมายว่า… ”
ซูเฉินยิ้ม “โปรดอย่าได้กังวลไป ข้าไม่ได้คิดที่จะกลับคำ แต่ข้าเพียงแค่ไม่ต้องการของขวัญเหล่านี้”
องค์ชายพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าเขาเข้าใจ “อ่า วิชาบ่มเพาะของท่านซูได้กระจายไปทั่วแล้ว ดังนั้นของขวัญชิ้นเล็กชิ้นน้อยเช่นนี้ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงจริง ๆ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการแสดงความจริงใจของข้า โปรดรับมันเอาไว้เถิด สำหรับความต้องการของอื่น ๆ ที่ท่านปรารถนา ขอให้ท่านได้บอกกล่าวหากไม่เกินขอบเขตอำนาจของข้า ข้ายินดีที่จะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบสนองคำขอของท่าน”
ในเมื่อหลินเฉินหยวนกล่าวมาถึงขนาดนี้ ครั้นซูเฉินจะยังไม่ยอมรับของขวัญ มันก็ออกจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป ดังนั้นเขาจึงรับของขวัญมาและเก็บมันไว้ในแหวนต้นกำเนิดก่อนจะพูดต่อ “ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสาม หากท่านเห็นด้วย ซูเฉินก็เต็มใจที่จะสัญญากับท่านว่า ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นทักษะวิชาไร้สายเลือดที่ข้าได้พัฒนาขึ้นไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม พวกมันจะไม่ถูกเผยแพร่ไปทั่วแดนฝันหรือขายในราคาต่ำ แต่จะถูกส่งต่อสู่ผู้ที่ถูกพิจารณาคัดเลือกให้สืบทอดอย่างรอบคอบ”
ซูเฉินไม่ได้สัญญาว่าเขาจะหยุดการค้นคว้าวิจัยของเขา เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้
ทว่าอย่างน้อย เขาก็ยินดีตกลงที่จะไม่เผยแพร่งานวิจัยของเขาในราคาที่ต่ำเหมือนอย่างที่เคยทำมา
ถึงตระกูลสายเลือดชั้นสูงอาจจะไม่ได้พอใจกับผลลัพธ์นี้มากนัก แต่มันถือเป็นอะไรที่ยอมรับได้ง่ายกว่าสถานการณ์ก่อนนี้มาก
ที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงต่อต้านซูเฉินนั้นไม่ใช่เพียงเพราะงานวิจัยของเขา แต่เพราะชายหนุ่มการเผยแพร่พวกมันออกไปทั่วและทำให้ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ต่างหากที่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา เพราะมันทำให้มูลค่าของสายเลือดลดลง และทำให้สถานะของตระกูลสายเลือดชั้นสูงมีความสำคัญน้อยลงเรื่อย ๆ ทว่าหากผู้สร้างทักษะวิชาปกป้องพวกมันเอาไว้และไม่ปล่อยออกไปทั่วตามใจชอบ มันก็เปรียบเสมือนว่าพวกเขาเป็นกลุ่มตระกูลสายเลือดชั้นสูงกลุ่มใหม่ที่ผุดขึ้นมา และย่อมไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับผู้คนจำนวนมาก หรือสถานะของพวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่มีอยู่เลย ดังนั้นสถานการณ์แบบนี้จึงง่ายที่จะยอมรับมากกว่า
ยังไงซะก่อนซูเฉิน ก็มีคนประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีฝึกฝนที่ทำให้ทะลวงผ่านด่านกลั่นโลหิตโดยมิต้องพึ่งพาสายเลือดอยู่แล้ว แต่เพราะข้อจำกัดที่เข้มงวด จึงไม่ได้กระจายออกไป ดังนั้นตระกูลสายเลือดชั้นสูงจึงไม่เคยรู้สึกว่าถูกคุกคามจากพวกเขา
แน่นอนว่าถ้าพวกเขารู้ถึงวิถีการสืบทอดที่ซูเฉินวางแผนเอาไว้ พวกเขาคงจะคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง
แต่อย่างน้อยในตอนนี้ คำสัญญาของซูเฉินนั้นไม่ต่างจากยาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลต่อความคิดและอารมณ์ของหลินเฉินหยวน
หลังได้ฟังที่ซูเฉินพูด องค์ชายสามก็หัวเราะเสียงดัง “เยี่ยม ! ตราบใดที่ท่านซูเต็มใจให้คำมั่นสัญญา ข้าก็ยินดีที่จะตอบทุกคำขอที่ท่านต้องการจากข้า”
การกล่าวว่า ‘ข้าจะยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดของเจ้า’ ของหลินเฉินหยวนเป็นการบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคำสัญญาของซูเฉินมีความสำคัญกับเขาเพียงใด
ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “อันที่จริง สิ่งที่ข้าต้องการนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก… ข้าต้องการเขาหมื่นดาบ”