ภาคที่ 4 บทที่ 228 หยิ่งในศักดิ์ศรี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 228 หยิ่งในศักดิ์ศรี

เขาหมื่นดาบตั้งอยู่ใกล้ทางตอนใต้ของอาณาจักรหลงซาง บริเวณจุดตัดระหว่างอาณาจักรเหลียวเย่และอาณาจักรภูผาสูญ

เขตเขาหมื่นดาบมีพื้นที่กว้างใหญ่ และพื้นที่เหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่ภายในเขตแดนของอาณาจักรหลงซาง แต่ก็มีบางส่วนที่ขยายไปถึงอาณาจักรเหลียวเย่กับอาณาจักรภูผาสูญ ถือได้ว่าเป็นกำแพงธรรมชาติที่แยกเขตแดนของทั้ง 3 อาณาจักรไว้ เขาแต่ละยอดสูงแหลมประหนึ่งปลายดาบเสียดแทงทะลุท้องฟ้า มันจึงได้ชื่อว่าเป็นเขาหมื่นดาบ

ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าสิ่งที่ซูเฉินต้องการจะเป็นเขาหมื่นดาบ

เมื่อได้ยินคำขอของชายหนุ่ม หลินเฉินหยวนก็รู้สึกโง่งมไปชั่วครู่

เขาหมื่นดาบมีค่าหรือไม่ ?

แน่นอนว่ามันมีค่า เพราะมันเป็นเขตแดนที่ค่อนข้างกว้างใหญ่

แล้วมันไร้ค่าหรือไม่ ? …จริง ๆ มันก็ไม่ได้คุ้มค่าขนาดนั้น

แม้ว่าอาณาเขตของมันจะกว้างใหญ่ แต่ทรัพยากรที่มีอยู่ก็ไม่ได้มากมายอะไร แม้แต่พลเมืองก็ไม่ค่อยมาอาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ที่นั้นคือสัตว์อสูร ถ้าสามารถกำจัดสัตว์อสูรเหล่านี้ทั้งหมดได้ก็ถือว่าคุ้มค่า อย่างไรก็ตามการจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมาก หากพิจารณาในด้านธุรกิจแล้ว นับว่าไม่คุ้มทุนยิ่ง !

อย่างไรก็ตาม ซูเฉินได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ดินแดนแห่งนี้

เขาต้องการที่ดินผืนนี้เพื่ออะไร ?

หลินเฉินหยวนไม่สามารถเข้าใจได้เลย

ปัญหาพื้นฐานของเขาหมื่นดาบไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของอำนาจ

ซูเฉินต้องการให้ทิวเขานี้เป็นดินแดนส่วนตัว เป็นบ้านของเขา !

อาณาเขตส่วนตัว !

นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงกว่ามาก

พื้นที่เขตเขาหมื่นดาบ เป็นอาณาเขตขนาดใหญ่มาก ไม่ว่าทรัพยากรที่นั่นจะแห้งแล้งแค่มากไหน แต่มันก็ยังคงมีขนาดหลายพันไร่ และไม่ว่าการพัฒนาภูมิภาคนั้นจะยากเพียงใด มันก็ยังคงเป็นอาณาเขตของอาณาจักรหลงซาง ไม่มีตระกูลสายเลือดชั้นสูงตระกูลไหนมีอาณาเขตมากมายขนาดนั้น

หากมีความทะเยอทะยานสักนิด แค่พื้นที่ของภูเขานี้เพียงอย่างเดียวก็มากเกินพอที่จะสร้างอาณาจักรเล็ก ๆ ขึ้นมาได้แล้ว

ทำไมซูเฉินถึงต้องการสถานที่แบบนั้น ?

ซูเฉินตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าต้องการก่อตั้งนิกายเพื่อส่งต่อวิชาบ่มเพาะของข้า !”

หลินเฉินหยวนนึกถึงคำพูดที่ซูเฉินเพิ่งพูดไปได้ทันที เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว “ท่านต้องการก่อตั้งนิกายที่นั่นเพื่อเริ่มรับศิษย์ ?”

“ถูกต้องแล้ว !”

หลังจากเข้าใจความคิดของซูเฉิน หลินเฉินหยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ไม่มีใครสามารถตำหนิความคิดที่เรียบง่ายขององค์ชายสามได้

ในอาณาจักรทั้ง 7 มีนิกายต่าง ๆ มากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ภายใต้ระบบสายเลือดในปัจจุบัน นิกายเหล่านี้มีโอกาสน้อยมากที่จะมีคนมาสืบทอดต่อ นิกายส่วนใหญ่มักจะรวมอยู่กันเป็นกลุ่มแถวย่านการค้าเหมือนพวกกลุ่มอันธพาล แต่ก็มีเป็นบางครั้งที่นิกายเหล่านั้นไปก่อตั้งในถิ่นทุรกันดารกลางป่ากลางเขา แต่ก็ไม่มีใครสนใจนิกายพวกนั้นเลย

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่ทุกคนจะดูถูกความสำคัญของนิกาย

มันก็เหมือนการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ธุรกิจที่ก่อตั้งมาอย่างดีจะไม่เชื่อว่าธุรกิจใหม่จะสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดได้ ไม่มีใครสนใจสัตว์ร้ายที่ยังไม่เติบใหญ่จนเก่งกล้าพอที่จะแยกเขี้ยว

ซูเฉินต้องการก่อตั้งนิกายในเขตเขาหมื่นดาบ ?

นับเป็นสิ่งที่ยอมรับ

เพียงแต่ว่าพื้นที่ที่เขาต้องการออกจะมีขนาดใหญ่มากเกินไปเสียหน่อย ทว่าเมื่อรวมจากผลงานที่ซูเฉินทำมาจนถึงตอนนี้ พร้อมกับการสนับสนุนจากหลินเฉินหยวน องค์ชายสามเชื่อว่าจักรพรรดิย่อมเห็นด้วยกับคำขอดังกล่าวอย่างแน่นอน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ ‘วิธีการสืบทอด’ ที่ซูเฉินสัญญาไว้ และเป็นสัญญาที่แม้แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็อาจจะเห็นด้วย เพราะหากพวกเขาเลือกที่จะไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการไปบังคับให้ซูเฉินเผยแพร่สิ่งที่เขาสร้างขึ้นต่อจากนี้ลงในแดนฝันต่อหรอกหรือ ?

เนื่องจากซูเฉินได้สร้างบันไดเอาไว้ให้แล้ว พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงบันไดเหล่านั้น อย่างน้อยที่สุดหลินเฉินหยวนก็เข้าใจหลักการนี้ดี

“ข้าจะช่วยสนับสนุนท่านในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่ปัญหาคือบางส่วนของเขาหมื่นดาบที่คาบอยู่ในเขตแดนของอาณาจักรเหลียวเย่กับภูผาสูญ … ”

“ข้าต้องการทั้งหมด !” ซูเฉินไม่ลังเลใจ

หากซูเฉินไม่ทำให้มันเป็นยากสักหน่อย พวกเขาอาจเชื่อว่ามันคงง่ายที่จะปฏิเสธเขา

เพราะศัตรูภายนอก ความสัมพันธ์ของทั้ง 7 อาณาจักรจึงยังคงอยู่ในจุดที่ดีต่อกันอยู่ เรื่องของเขาหมื่นดาบจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเจรจา ยังไงซะในโลกนี้ไม่มีแนวคิดแบบ ‘ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว’ อยู่ ดังนั้นการแลกเปลี่ยนดินแดนรกร้าง เพื่อสนับสนุนเหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงจึงเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย ไม่เช่นนั้นระบบการปกครองศักดินาจะเกิดมาจากไหน ? โลกนี้ยังไม่มีการแบ่งแยกดินแดนของชนชั้นสูงแต่ละกลุ่มอย่างเป็นสัดเป็นส่วนแบบชัดเจน แต่ในกรณีที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมพื้นที่นั้น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ การแจกอาณาเขตที่ไม่สำคัญให้แก่ชนชั้นสูงกลุ่มอื่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

แน่นอนว่านี่ยังไม่ใช่ปัญหาระดับอาณาจักร แต่ถ้าซูเฉินตัดสินใจที่จะลงมือทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง นั่นอาจจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านี้มาก

แต่ไม่ว่ายังไง ปัญหาก็เกิดขึ้นแล้ว ที่เหลืออยู่ก็แค่ต้องรอดูกันว่าหลินเฉินหยวนจะแก้ไขมันอย่างไร

เย็นวันนั้นหลินเฉินหยวนได้เตรียมอาหารเย็นมื้อใหญ่ไว้ให้กับซูเฉิน ซึ่งในงานเลี้ยงนั้นก็มีคนสำคัญได้รับเชิญมาบ้างสองสามคน

“ท่านซู ทางนี้คือท่านเจ้ากรมสาธารณูปโภคกัวซื่อหยาง”

ชายชราผมหงอกผู้หนึ่งก้าวออกมาอยู่ข้าง ๆ ขณะที่หลินเฉินหยวนแนะนำตัวเขา

หลินเฉินหยวนเป็นเจ้าภาพ และซูเฉินเป็นแขกรับเชิญหลัก ดังนั้นองค์ชายสามจึงแนะนำเขาให้ทุกคนรู้จักทีละคน

“คำนับเจ้ากรมสาธารณูปโภคกัว” ซูเฉินโค้งคำนับอย่างสุภาพและกล่าวทักทายอีกฝ่าย

ชายชราที่อยู่เบื้องหน้าเคยเป็นหนึ่งในหมู่ชนชั้นสูงที่ต่อต้านซูเฉิน และยังเป็นผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกดดันหลินเหวินจวิ้น แต่ตอนนี้เขาได้มาอยู่ที่นี่แล้ว

อันที่จริง การจับมือเป็นพันธมิตรครั้งนี้ของซูเฉิน ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นกับสถานการณ์ภายในของอาณาจักรนี้เล็กน้อย บางคนที่หมดหวังในองค์รัชทายาทก็ได้เริ่มเปลี่ยนเป้าหมายการสนับสนุนของพวกเขา

แต่แน่นอนว่า มันยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าพวกเขาสนับสนุนองค์รัชทายาทเต็มร้อย ทุกการตัดสินใจนั่นขึ้นอยู่กับรายละเอียดต่าง ๆ ในอนาคต

รอยยิ้มที่ใจดีผุดขึ้นบนใบหน้าของกัวซื่อหยาง “คุณชายซู วีรบุรุษหนุ่มผู้ช่วยกองทัพกำลังสวรรค์เอาไว้ และยังเป็นผู้สร้างโทเทมโลหิตสลาย อีกทั้งวิชาบ่มเพาะที่น่าทึ่งอีกมากมาย ข้าประทับใจในความสามารถเหล่านั้นมาก”

“เด็กน้อยผู้นี้ยังไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเพียงใด เอาแต่เล่นตามใจไปเรื่อย ทำให้พวกท่านหัวเราะแล้ว” ซูเฉินกล่าว

ชายชราชำเลืองมองเขาก่อนจะพูดต่อ “หากเจ้าสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้จากการเล่นเรื่อยเปื่อย ก็นับว่าพรสวรรค์ของเจ้าควรค่าแก่การเคารพแล้ว ถึงแม้เจ้าจะยังขาดประสบการณ์อยู่บ้างก็ตาม ทว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ยังเด็กอยู่ ดังนั้นก็คงจะมองอะไรไม่ถี่ถ้วนเท่าที่ควรนัก”

“เช่นนั้นคงต้องรบกวน ท่านเจ้ากรมชี้แนะแล้ว ซูเฉินยินดีรับฟังคำแนะนำของท่าน” ซูเฉินกล่าวตอบ

“แม้มันอาจจะไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าคำแนะนำได้ แต่จากรับใช้สังคมมาหลายปี ข้าก็พอจะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้คืออะไร ?”

“ข้าไม่รู้”

“มันคือระเบียบของสังคม !” กัวซื่อหยางตอบ “ระเบียบเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของโลกนี้ เหตุผลที่มนุษย์เราเป็นมนุษย์ก็เพราะเรามีกฎเกณฑ์ทางสังคมและกฎหมายให้ปฏิบัติตาม เพื่อรักษาระเบียบนี้เอาไว้”

ซูเฉินตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง

กัวซื่อหยางกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม มันก็มีเรื่องมากมายที่มักจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นตามาเสมออยู่มากมาย แล้วเจ้าจะรักษาระเบียบนั่นอย่างไร ? เพราะเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องมีชนชั้นทางสังคม กลุ่มหนึ่งมีหน้าปกครอง กลุ่มหนึ่งมีหน้าที่ดูแลจัดการ และอีกกลุ่มหนึ่งหน้าที่ปฏิบัติตาม ด้วยลำดับชั้นที่ชัดเจนเช่นนี้ จึงจะยังคงรักษาความเป็นระเบียบไว้ได้”

ซูเฉินเข้าใจบ้างเล็กน้อย “แล้วจะแยกความแตกต่างระหว่างกลุ่มเหล่านี้ได้อย่างไร ? แน่นอนว่าสิ่งนั้นก็คือระบบสายเลือด ?”

ชายชราหัวเราะและพูดขึ้น “เห็นไหม ? เจ้าก็เข้าใจ วิชาบ่มเพาะแบบไร้สายเลือดทำให้ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ดี แต่มันกลับทำให้สิ่งต่าง ๆ กลับหัวกลับหาง ผู้คนสูญเสียความเคารพต่อสถานะ ทำให้เกิดความโกลาหลระหว่างชนชั้น แล้วชนชั้นล่างก็จะสามารถรุกรานผู้บังคับบัญชาของตนได้ตลอดเวลา เมื่อปราศจากกฎและระเบียบเหล่านั้นแล้ว อาณาจักรก็จะไม่ใช่อาณาจักรอีกต่อไป”

กระบวนการคิดของกัวซื่อหยางนั้นเรียบง่ายและยังดั้งเดิมมาก เขาเชื่อว่าหากวิชาบ่มเพาะเหล่านั้นเป็นที่แพร่หลายขึ้นมา มันจะทำลายระเบียบสังคมอย่างแน่นอน ทว่าเขาไม่ได้พูดถึงผลกระทบต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูงอย่างเฉพาะเจาะจง แต่เป็นผลกระทบต่อทั้งอาณาจักร เขามองจากมุมมองของผู้ที่มีอำนาจ และเชื่อว่าสิ่งนี้จะสร้างความโกลาหลให้แก่อาณาจักร และอาจทำลายความแข็งแกร่งของกฎเกณฑ์ที่พวกเขาวางไว้

หากมองในแง่นั้น มันก็ไม่ได้ถือว่าผิด

อาทิ ตานปาได้รับวิธีการฝึกฝนที่เหมาะกับคนเถื่อนไปแล้ว เขาก็มีความมั่นใจ และความทะเยอทะยานมากพอที่จะท้าทายเผ่าเพลิง ในทำนองเดียวกันด้วยวิชาบ่มเพาะนี้ มนุษย์ที่เคยถูกมองว่ามีสถานะต่ำก็จะได้รับโอกาสในการท้าทายผู้ปกครองของตนได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงช่วงเวลาแห่งความโกลาหล

ว่ากันว่ามีสถานการณ์ ‘โกลาหล’ เล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นมากมายทั่วอาณาเขตของมนุษย์ บางส่วนเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากผู้ที่ศึกษาฝึกฝนวิชาบ่มเพาะของซูเฉิน โชคยังดีที่จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มพัฒนาได้เพียงทักษะที่ใช้เข้าถึงด่านกลั่นโลหิต ที่ยังคงนับว่าอยู่ที่ระดับล่างเท่านั้น มันจึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูงมากนัก แต่สัญญาณของการกบฏเหล่านั้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

ไม่ว่ายังไงการจะหยุดยั้งการพัฒนาสิ่งใหม่เช่นนี้ อย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลพอ

เหมือนกับที่ระบบอัตโนมัติที่ทำให้คนงานบางคนตกงาน วิชาบ่มเพาะแบบใหม่นี้ก็จะทำให้ระเบียบสังคมในปัจจุบันถูกทำลาย ไม่มีสิ่งใดดีพร้อมไปหมด แม้แต่สิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมก็สามารถสร้างผลลัพธ์เชิงลบได้

วิชาบ่มเพาะที่ไม่ต้องพึ่งสายเลือดเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ทุกสิ่งที่กัวซื่อหยางกล่าวมาล้วนเป็นผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ

ไม่สำคัญว่าเขาจะกำลังพยายามหาข้อแก้ตัวให้แก่ตระกูลสายเลือดชั้นสูง หรือว่าเขาขาดสายตาที่กว้างไกล แต่อย่างน้อยในเวลานี้คำพูดของชายชราเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ว่าสิ่งที่ตนกล่าวไปทั้งหมดล้วนชอบธรรมและยุติธรรม

นี่คือคุณสมบัติที่ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนควรมี ไม่ว่าเขาจะกังวลเกี่ยวกับอาณาจักรและประชาชนหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยก็จำเป็นจะต้องวางตัวเหมือนว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ

หากซูเฉินเป็นเด็กหนุ่มผู้หุนหันพลันแล่นเฉกเช่นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เขาอาจจะพยายามโต้เถียงกับกัวซื่อหยางไปสักนิดสักหน่อย แล้วอธิบายว่าการพัฒนาวิชาบ่มเพาะที่ไม่ต้องพึ่งสายเลือดเหล่านี้จะมีความสำคัญกับอนาคตของมนุษยชาติมากเพียงใดบ้าง

แต่เขาก็ไม่ได้ทำ

เขารู้ดีว่าการโต้เถียงกับคนแบบนี้ไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร

ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจจริงหรือแกล้งทำ จะอาศัยเหตุผลเพียงอย่างเดียวเพื่อโน้มน้าวคนประเภทนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ไม่มีใครสามารถปลุกคนที่แกล้งหลับได้

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ได้อธิบายอะไร ทำเพียงแค่พยักหน้าและแสร้งทำเป็นเห็นด้วย

กัวซื่อหยางยิ้มและลูบเคราของเขาอย่างสบายอารมณ์เมื่อเห็นท่าทีของซูเฉิน เขาพึงพอใจกับความสามารถในการสั่งสอนอีกฝ่ายของตนมาก

คนอื่น ๆ ที่เดินอยู่รอบ ๆ ทั้งหลายต่างก็เข้ามากล่าวคำเยินยอและแสดงความยินดีให้แก่เขา

ซูเฉินพบว่าการสร้างความสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโตนั้นช่างง่ายดาย

เขาแค่ต้องพยักหน้าแล้วพูดว่า ‘ใช่ ข้าเห็นด้วย’ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ตาม

ซูเฉินเป็นผู้ฟังที่ดีและอดทนอย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มจึงสามารถวางตัวอย่างเหมาะสมได้ ในขณะที่บรรลุสิ่งที่เขาต้องการไปด้วยได้

ตราบเท่าที่เขาไม่หุนหันพลันแล่น มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าไปคลุกคลีกับพวกเขา

แน่นอนว่าเรื่องนี้ดูง่ายมากสำหรับซูเฉินคนเดียวเท่านั้น แต่สำหรับคนอื่น ๆ การที่จะควบคุมตัวเองได้ถึงระดับนี้ และมีความมั่นใจในตนเองแต่ไม่หยิ่งผยอง หรือไม่เอาแต่พึ่งพาพรสวรรค์ที่มีถือว่าเป็นเรื่องยากมาก แล้วไหนจะคุณสมบัติหายากอื่น ๆ ของเขาที่ยังไม่ถูกนับรวมในนี้อีก

แต่ไม่ว่ายังไงโดยรวมแล้ว งานเลี้ยงนี้ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ซูเฉินสามารถเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูงอย่างราบรื่นกว่าที่เขาคาดไว้เยอะ

คงพูดได้เพียงว่า เมื่อเขาเปิดหน้าต่างสู่โลก โลกก็เปิดประตูให้เขาเช่นกัน

ในวันเดียวกันนั้น ข่าวของงานเลี้ยงนี้ได้แพร่กระจายไปจนถึงปราการลุ่มน้ำทอง

หลินเหวินจวิ้นตัวสั่นด้วยความโกรธขณะที่เขาจ้องรายงานข่าวสารในมือเขม็ง

“บัดซบ ! มันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ? ซูเฉินตกลง มันตกลงที่จะไม่แจกจ่ายวิชาของมันผ่านแดนฝัน แต่จะเปลี่ยนไปส่งต่อให้ผู้สืบทอดแทน ? ทำไม ? เพราะเหตุใดมันถึงปฏิเสธที่จะตกลงเรื่องนี้กับข้ากัน ? ข้าพยายามสุดความสามารถเพื่อกดดันมัน แต่มันกลับ… ”

ชิวชิงจื้อถอนหายใจ “ชายผู้นี้ดื้อดึงกว่าที่เราคาดไว้มาก แม้ว่าเบื้องหน้าจะดูไม่เย่อหยิ่ง แต่เขากลับมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีฝังลึกอยู่ในกระดูก !”

ซูเฉินไม่ได้พยายามที่จะโต้แย้งเรื่องไร้สาระของกัวซื่อหยางอย่างหยิ่งผยอง แต่เขาปฏิเสธที่จะถอยกลับ เมื่อต้องเผชิญกับพยายามกดดันทุกย่างก้าวของหลินเหวินจวิ้น

เขายอมที่จะเงียบ แต่เขาไม่มีทางที่จะยอมก้มหัวให้ศัตรู และไม่มีวันยอมให้คนที่ทำร้ายอาจารย์ของเขา หรือทหารนับพันที่เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพกำลังสวรรค์มากดหัวอย่างเขาเด็ดขาด

นั่นคือความหยิ่งในศักดิ์ศรีของซูเฉิน

ความผิดพลาดเดียวของหลินเหวินจวิ้น คือการที่เขาตัดสินใจวางตัวเป็นศัตรูกับซูเฉินตั้งแต่เริ่ม หากก่อนหน้านี้เขาเลือกที่จะเปลี่ยนวิธีการแล้วล่ะก็ เรื่องราวมันก็อาจจะไม่กลายเป็นเช่นนี้

ช่างน่าเสียดาย ที่ตอนนี้มันสายเกินกว่าที่หลินเหวินจวิ้นจะแก้ไขได้ทันแล้ว !