ภาคที่ 4 บทที่ 229 ฝุ่นคลุ้ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 229 ฝุ่นคลุ้ง

โถงพันหัตถ์

ที่นี่คือศาลาว่าการหลักของเมืองหลงซาง

ที่มันถูกเรียกว่าโถงพันหัตถ์นั้น ประการแรกก็เพราะมังกรตะขาบเป็นสัตว์อสูรที่มีอีกชื่อเรียกว่าอสูรพันขา ประการที่สองก็เพราะเหล่าคนที่ทำงานในโถงนี้ต้องจัดการกับเรื่องต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน จนจำต้องมีอย่างน้อยคนพันมือถึงจะแก้ไขทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เสมือนเป็นการบอกโดยนัยว่าการเป็นผู้ปกครองอาณาจักรนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกแต่เป็นเรื่องลำบากเสียมากกว่า

หลินเมิ่งเจ๋อเป็นผู้ปกครองที่ค่อนข้างขยัน เขาเป็นคนที่ตื่นเช้ามากและมักจะอยู่สะสางงานจนถึงดึกดื่น

ส่วนที่ว่าเรื่องนี้จะเป็นการพูดเกินจริงมากน้อยเพียงใดนั้นไม่มีใครทราบได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็ขยันจัดการกิจการงานของอาณาจักร

วันนี้เป็นวันที่ซูเฉินจะต้องเข้าเฝ้าจักรพรรดิ

ซูเฉินถูกตามตัวไปที่พระราชวังตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง เพื่อรอจักรพรรดิเรียกให้เข้าพบ

การรอครั้งนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม

จนกระทั่งประมาณเที่ยงวัน องครักษ์ก็ออกมาและเรียกซูเฉินเข้าไปในห้องโถง

ซูเฉินเดินเข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ใจกลางของห้อง ในที่สุดชายหนุ่มก็เจอกับหลินเมิ่งเจ๋อ จักรพรรดิผู้ปกครองอาณาจักรหลงซาง

แม้ว่าหลินเมิ่งเจ๋อจะอายุมากแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาของเขาก็ยังคงดูเป็นชายวัยกลางคน สายเลือดเทพอสูรช่างทรงพลังอย่างแท้จริง ซูเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามตั้งแต่แวบแรกที่มองมาจากระยะไกล แรงกดดันนี้ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าใจสีเลือดสักนิด หากจะกล่าวให้ถูกมันแกร่งยิ่งกว่าเสียอีก เพียงชั่วครู่ ซูเฉินก็ตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของหลินเมิ่งเจ๋อจะต้องเหนือกว่าใจสีเลือดอย่างแน่นอน

“ซูเฉินคารวะฝ่าบาท !”

ชายหนุ่มกล่าวทักทายพร้อมโค้งคำนับให้หลินเมิ่งเจ๋อด้วยความเคารพ

“เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” หลินเมิ่งเจ๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดยิ่งนัก ใครจะคิดว่าผู้ที่สร้างผลงานน่าประทับใจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้สำเร็จได้เพียงลำพังจะเป็นรุ่นเยาว์เช่นเจ้ากัน ?”

จักรพรรดิแห่งอาณาจักรหลงซางกล่าวอย่างสบาย ๆ โดยไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งแต่อย่างใด

เขาพูดต่อ “อย่างไรก็ตาม นอกจากความสำเร็จในการช่วยเหลือกองทัพกำลังสวรรค์แล้ว ข้ายังประทับใจมากกับวิชาบ่มเพาะโดยไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดที่เจ้าพัฒนาขึ้นมา และความจริงที่ว่าเจ้าไม่คิดหวงแหนเก็บมันเอาไว้คนเดียวแต่กลับเลือกแบ่งปันมันให้กับทุกคน”

ราชวงศ์เองก็ถือเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงตระกูลหนึ่งเช่นกัน หากวิธีการฝึกฝนของซูเฉินประสบความสำเร็จ สถานะของราชวงศ์ก็จะถูกคุกคามไม่ต่างไปจากตระกูลอื่น ๆ เลย แต่ความคิดของหลินเมิ่งเจ๋อกลับต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเขาจะเลือกสนับสนุนเส้นทางของชายหนุ่ม ซูเฉินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแสร้งทำ มีความทะเยอทะยานที่คล้ายคลึงกับตัวเขา หรือมั่นใจในสายเลือดเทพอสูรอย่างยิ่งกันแน่ ทว่าในเมื่อองค์จักรพรรดิพูดถึงขนาดนี้แล้ว ซูเฉินจึงทำได้เพียงตอบตามน้ำกลับไปอย่างเหมาะสมเท่านั้น

“ฝ่าบาททรงชมข้าน้อยเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงตัวข้าเองก็ยังคงมีความคิดเห็นแก่ตัวแฝงอยู่ และเพียงแค่ต้องการหาเงินทุนเท่านั้น สำหรับข้าแล้ว การที่สามารถทำการค้นคว้าวิจัยของตัวเองต่อได้อย่างสบายใจ นั้นก็นับว่าดีพอแล้ว ส่วนเรื่องที่จะไปได้ไกลเพียงใดนั้นมันไม่ได้สำคัญกับข้ามากนัก”

“นั่นคือเหตุผลที่เจ้าต้องการเขาหมื่นดาบ ?” หลินเมิ่งเจ๋อถาม

“พ่ะย่ะค่ะ ! ตราบใดที่ข้าได้มีอาณาเขตที่เป็นของตัวเอง ข้าก็ย่อมสามารถค้นคว้าได้อย่างสงบสุขและส่งต่อให้ศิษย์สักสองสามคน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จักชื่อข้าบ้างแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” ซูเฉินตอบ

ความฝันเช่นนี้ดูเหมือนเรียบง่าย แต่ในความจริงทั้งมันยิ่งใหญ่และเป็นฝันที่ยาวนาน แต่ถึงกระนั้นมันไม่ได้ทำให้จิตใจของจักรพรรดิสั่นคลอนเลย

หลินเมิ่งเจ๋อพยักหน้าขณะฟัง “ดีมาก หากเป็นเช่นนั้นข้าก็สามารถมอบเขาหมื่นดาบให้กับเจ้าได้ อย่างไรก็ตาม ดินแดนส่วนที่อยู่ในเขตของอาณาจักรภูผาสูญกับอาณาจักรเหลียวเย่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะพยักหน้าตกลงยกให้ง่าย ๆ ได้ อย่างน้อยที่สุดก็คงต้องให้ทั้ง 2 อาณาจักรตกลงที่จะมอบดินแดนมาเสียก่อน ไม่เช่นนั้น มันคงจะกลายเป็นสงครามแย่งชิงไป เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายอาณาจักรเช่นนี้ย่อมใช้เวลานานในการตัดสินใจ มันอาจต้องใช้เวลาสองสามปีหรือหลายสิบปี อีกทั้งการเจรจาจะสำเร็จหรือไม่จนกว่ามันจะจบลง”

“เป็นเช่นนั้น” ซูเฉินตอบพร้อมแสดงความผิดหวังอย่างสุดซึ้งบนใบหน้าของเขา

เมื่อเห็นชายหนุ่มเป็นเช่นนั้น หลินเมิ่งเจ๋อก็ถามขึ้น “จำเป็นจะต้องเป็นเขาหมื่นดาบทั้งหมดจริง ๆ หรือ ?”

“ข้ากำลังวางแผนที่จะปรับเปลี่ยนเขาหมื่นดาบเพื่อให้เหมาะกับความต้องการในการวิจัยของข้า หากข้าไม่ได้เป็นเจ้าของเขาทั้งหมด ในภายภาคหน้าข้าเกรงว่าอาจเกิดข้อพิพาทเรื่องพรมแดนและมีปัญหามากมายตามมา” ซูเฉินตอบ

ความเห็นของชายหนุ่มไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว ในอดีตเขาหมื่นดาบเป็นอาณาเขตที่ไม่มีผู้ใดครอบครอง แม้กระทั่งหลังจากมีการกำหนดเขตแดนแล้ว บางครั้งบางคราวก็มีคนบุกรุกเขตแดนเหล่านี้บ้างแต่ก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจมันมากนัก

ตอนนี้ ในเมื่อมันจะกลายมาเป็นอาณาเขตของซูเฉินแล้ว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมให้ใครมาเข้า ๆ ออก ๆ อาณาเขตของตนตามที่อีกฝ่ายพอใจ ดังนั้น หากพวกเขาไม่กำหนดขอบเขตให้มันชัดเจนตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดปัญหาตามมาภายหลัง

หลินเมิ่งเจ๋อกล่าวว่า “ข้าจะส่งคนไป … ”

จักรพรรดิหยุดตัวเองเอาไว้ก่อนที่เขาจะพูดจบ

เนื่องจากซูเฉินได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า เขาต้องการให้เขาหมื่นดาบเป็นอาณาเขต ‘ส่วนตัว’ ของเขา หากหลินเมิ่งเจ๋อเลือกที่จะส่งกองทหารไปประจำการอยู่ที่นั่น มันก็คงจะทำให้ดูเหมือนอาณาจักรหลงซางกำลังแฝงเจตนาไม่ดีเอาไว้เกินไป

เป็นดั่งที่จักรพรรดิคิด เพราะต่อมาซูเฉินก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องการจะปกป้องมันด้วยตัวข้าเอง”

หลังกล่าวจบเขาก็เหลือบมองไปทางหลินเฉินหยวน

องค์ชายสามก้าวออกมาและพูดขึ้น “เสด็จพ่อลูกพอมีความคิดอยู่”

“ลองพูดมาสิ” หลินเมิ่งเจ๋อกล่าว

“ซูเฉินแสดงความสามารถอันน่าทึ่งด้วยการช่วยกองทัพกำลังสวรรค์เอาไว้ ทว่าน่าเสียดายที่กองทัพที่รอดมาได้ กลับถูกท่านพี่ใหญ่ยุบทิ้งทันทีที่กลับมาถึง” หลินเฉินหยวนเอ่ยนำ

ประกายแสงแวบผ่านดวงตาของหลินเมิ่งเจ๋อไปอย่างรวดเร็ว “มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยงั้นหรือ ?”

เขาไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ

หลินเฉินหยวนพยักหน้า “ขอรับ กองทัพกำลังสวรรค์เก่าได้ถูกยุบและกระจายตัวไปยังกองทัพต่าง ๆ ส่วนกองทัพกำลังสวรรค์ที่ตั้งขึ้นใหม่นั้นมีห่าวเจี้ยนถังเป็นแม่ทัพผู้สั่งการ”

หลินเมิ่งเจ๋อตบที่เท้าแขน “ไร้สาระสิ้นดี !”

หลินเฉินหยวนอาศัยเรื่องนี้กับตัวตนของซูเฉินเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียนอย่างเปิดเผย การลงมือของเขากะเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก เรื่องที่ร้องเรียนเองก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ทั้งยังมีซูเฉินผู้อยู่ในฐานะพยานโดยตรงอยู่ที่นี่ด้วย ทำให้ไม่มีใครสามารถพูดโต้แย้งอะไรได้เลย

หลินเมิ่งเจ๋อกล่าวอย่างหัวเสีย “แล้วหงเฉียนจู้ก็นั่งเฉยปล่อยให้รัชทายาทแทนที่อดีตผู้บังคับบัญชาด้วยผู้ช่วยส่วนตัวของตัวเองงั้นหรือ ?”

ฟังจากการที่เขากล่าวคำว่า ‘ผู้ช่วยส่วนตัว’ ออกมาตรง ๆ แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่าจักรพรรดิกำลังโกรธจัดเพียงใด

องค์ชายสามกล่าวต่อ “กองทัพกำลังสวรรค์เก่าสามารถอยู่รอดในดินแดนคนเถื่อนได้นานกว่าหนึ่งปี ทหารเหล่านั้นทั้งหมดนับเป็นทหารชั้นยอดที่มีประสบการณ์ การสูญเสียพวกเขาเช่นนั้นจะเป็นเรื่องน่าเสียดายเกินไป ในเมื่อท่านพี่ใหญ่ไม่ต้องการพวกเขา ข้าจึงคิดว่าควรมอบพวกเขาให้กับท่านซูจะดีกว่า”

หลินเมิ่งเจ๋อเหลือบมองไปที่ลูกชายของเขา “เจ้ากำลังหมายความว่าให้ข้ามอบกองทัพกำลังสวรรค์เก่าให้กับซูเฉินงั้นหรือ ?”

สายตาของเขาดูมืดมนยิ่ง เหมือนกำลังสื่อว่าเขาไม่ชอบคำแนะนำนั้นเลย

กองทัพทหารผ่านศึกถึง 8,000 คนไม่ใช่กองกำลังเล็ก ๆ แม้แต่น้อย นั่นเป็นตัวเลขมากพอที่จะคุกคามจักรพรรดิอสูรได้เลย มอบอาณาเขตให้กับซูเฉินไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่หากเขามอบกำลังคนให้กับอีกฝ่ายด้วย มันจะไม่เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสร้างอาณาจักรของตัวเองหรอกหรือ ?

หลินเฉินหยวนยังคงกล่าวอย่างสงบ “เช่นนั้น ท่านก็มอบหมายให้เขาดูแลจัดการเหล่าตั๊กแตนไปด้วยสิขอรับ”

สายตาแข็งกร้าวขององค์จักรพรรดิอ่อนลงในทันใด “ตั๊กแตน ? โอ้ เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย”

ตั๊กแตนที่ว่าคือพวกมนุษย์นกหรือเผ่าปักษาที่บุกรุกมาจากทางอาณาจักรเหลียวเย่

ถึงแม้ว่าอาณาจักรใหญ่ ๆ ทั้งหมดจะทุ่มกำลังไปกับศัตรูหลัก แต่พวกเขาก็ยังคงต้องจัดการกับศัตรูรองอยู่ดี และด้วยพรมแดนที่ซับซ้อน จึงทำให้พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงจากกลุ่มศัตรูที่หลากหลายได้

ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรหลงซางคือเผ่าคนเถื่อน รองลงมาจึงเป็นเผ่าสัตว์อสูร ทว่าทางพรมแดนระหว่างหลงซางกับเหลียวเย่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็ยังคงมีปัญหาในการจัดการกับเผ่าปักษาที่บุกรุกเข้ามา

เผ่าปักษาไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายนัก แต่เนื่องจากพวกมันมีปีก แม้แต่พวกมนุษย์นกระดับต่ำที่สุดก็ยังสามารถบินได้ เพราะความคล่องตัวสูงและจึงยากที่จะฆ่า นั่นเป็นสาเหตุที่มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรหลงซางเรียกขานพวกมันว่าตั๊กแตน

แต่แม้พวกมันจะเป็นตั๊กแตนที่อ่อนแอ ทว่าการจะจัดการกับพวกมันก็ยังจำต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนหนึ่งอยู่ดี ซึ่งมันทั้งวุ่นวายและสร้างความน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง

หากมีคนช่วยหยุดยั้งการบุกรุกนี้ได้ นั่นไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไร

หลินเมิ่งเจ๋อมองไปทางชายหนุ่มตรงหน้า “ซูเฉิน ทหารทั้ง 8,000 คนของกองทัพกำลังสวรรค์ ก็นับว่าเป็นสหายร่วมรบผ่านความเป็นความตายกับเจ้ามาแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจะมอบพวกเขาให้กับเจ้า…”

ซูเฉินกล่าวเสียงดังทันที “ขอบพระทัยสำหรับความเมตตาของฝ่าบาท ข้ายินดีที่ยอมรับเงื่อนไขนี้ !”

“ทว่าเจ้าจะต้องช่วยข้าดูแลป้องกันน่านฟ้าทางตะวันตกเฉียงใต้ให้แน่นหนาด้วย ข้าไม่ต้องการที่จะได้ยินข่าวเกี่ยวกับตั๊กแตน ที่แทรกซึมเข้ามาและสร้างความวุ่นวายในอาณาจักรของเราอีกต่อไป”

“ข้าจะกวาดล้างและเฝ้าระวังน่านฟ้าทางตะวันตกเฉียงใต้ให้ฝ่าบาทอย่างแน่นอน !” ซูเฉินตอบด้วยความมั่นใจ

ในที่สุด ฝุ่นที่คลุ้งอยู่ก็เริ่มจางลง ทั้งซูเฉินและหลินเฉินหยวนต่างก็รู้สึกสบายใจขึ้น

ใช่แล้ว นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของซูเฉิน

ชายหนุ่มเลือกที่จะรุกด้วยการล่าถอย ใช้ปัญหาเรื่องเขาหมื่นดาบที่อยู่นอกแดนหลงซาง เป็นตัวต่อรองราคาเพื่อเอากองทัพกำลังสวรรค์กลับมา นับเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีอย่างเหลือเชื่อ ส่วนทางของหลินเฉินหยวนนั้น เขาไม่เพียงแต่จะได้รับความโปรดปรานจากกลุ่มตระกูลสสายเลือดชั้นสูงจำนวนมาก แต่ยังสบโอกาสที่จะจัดการกับหลินเหวินจวิ้นและฉุดรั้งอำนาจของอีกฝ่ายลงมาอีกด้วย เขาเองก็ได้สิ่งที่ต้องการกลับไปมากพอ ๆ กับซูเฉิน

การต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์นั้นเป็นอะไรที่อันตรายอย่างยิ่ง เพียงล้มเหลวแค่ครั้งเดียวก็มีสิทธิ์ที่จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในทันที

หลินเฉินหยวนรู้เรื่องนี้ดี เขารู้ว่าเขาสูญเสียโอกาสที่จะถอยหลังหนีไปนานแล้ว ทั้งหมดที่เขาทำได้คือพยายามพลิกทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้ เพื่อให้มันกลายเป็นผลประโยชน์แก่เขา

และคราวนี้ ชัยชนะของเขาก็ได้พลิกตาชั่งแห่งผลประโยชน์ให้กลับมาทางฝั่งเขาได้อีกครา

และดูเหมือนว่าจะเอียนเอียงมาทางเขาเยอะมากเสียด้วย

นั่นเป็นเพราะในวินาทีต่อมาหลินเฉินหยวนได้ยินหลินเมิ่งเจ๋อกล่าวขึ้นว่า “ดูเหมือนว่ารัชทายาทจะยังด้อยประสบการณ์และหุนหันพลันแล่นอยู่บ้าง จึงขาดความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เอาล่ะ ข้าจะย้ายเขาออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองกำลังกวาดล้างเผ่าคนเถื่อน และให้เขาไปประจำการเป็นผู้บัญชาการกองทหารคลื่นไร้เกลียวทางตะวันตกเฉียงเหนือแทน”

การถูกโยกย้ายจากรองผู้บัญชาการกองกำลังหลัก ไปเป็นแม่ทัพของกองทหารทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นการลงโทษลดขั้นที่นับค่อนข้างรุนแรง มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหลินเมิ่งเจ๋อไม่พอใจกับการกระทำของหลินเหวินจวิ้นอย่างมาก

ความไม่พอใจนี้ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ครานี้เพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากผ่านความขัดแย้งและการแย่งชิงอย่างต่อเนื่องมานับหลายร้อยปี หลินเมิ่งเจ๋อก็ทนดูรัชทายาทไม่ไหวอีกต่อไป

นี่ถือเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ของการต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ แม้แต่หลินเมิ่งเจ๋อก็รู้ดีว่าลูกชายทั้ง 2 ของเขากำลังต่อสู้กันเองอยู่

แต่แล้วยังไงล่ะ ?

สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นสถานการณ์ปกติของทุกราชวงศ์ !

หากต้องการเป็นจักรพรรดิที่ดีสามารถปกครองอาณาจักรอย่างเป็นธรรม และมีตำแหน่งที่มั่นคง เช่นนั้นอย่างน้อยก็ควรต้องมีประสบการณ์ในเรื่องข้อพิพาททางการเมือง มีความสามารถในการบริหาร และต้องรู้จักการมองการณ์ไกลเพื่อคอยระวังศัตรู ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรมาแย่งชิงบัลลังก์ ?

หากทำผิดก็แปลว่าผิด หากพ่ายแพ้ก็แปลว่าพ่ายแพ้ ไม่มีที่ว่างใดให้แก้ตัว

เช่นเดียวกับครั้งนี้ หลินเฉินหยวนกำลังใช้ประโยชน์จากโอกาสเพื่อใส่ร้ายพี่ชายของเขา หลินเมิ่งเจ๋อตระหนักดีถึงข้อเท็จจริงนี้ดี

แต่แล้วยังไง ?

เห็นได้ชัดว่าหลินเหวินจวิ้นนั้นทำผิดพลาด ส่วนหลินเฉินหยวนกลับสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งชักชวนซูเฉิน รักษาเสถียรภาพภายในและทำให้ความโกรธของทหารสงบลง แล้วจะให้หลินเมิ่งเจ๋อเลือกลงโทษองค์ชายสาม เพราะความล้มเหลวของรัชทายาทหรือ ?

หลินเมิ่งเจ๋อเยือกเย็นยิ่ง แต่เขาจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจของตนเพราะเหตุแค่นี้

หากหลินเหวินจวิ้นต้องการจะตำหนิใครซักคน เขาก็ทำได้แค่ตำหนิตัวเองที่โง่และพ่ายแพ้โดยคู่ต่อสู้

แค่องค์จักรพรรดิยังไม่ริบตำแหน่งรัชทายาทไปจากเขา ก็นับว่าเป็นการให้โอกาสอย่างมากแล้ว

หลังจากที่ได้รับรางวัลแล้ว ซูเฉินก็กลับออกมา

หลินเมิ่งเจ๋อมีเรื่องมากมายให้ดูแลตลอดทั้งวัน เขาไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาคุยเล่นสบาย ๆ กับซูเฉินอยู่แล้ว

ซูเฉินเดินห้องโถงใหญ่ไปพร้อมกับทหารที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า เพื่อรับแถบเหรียญตรา ราชโองการและตราประทับจักรพรรดิ จากนี้ไปเขาคือเจ้าของเขาหมื่นดาบแล้ว นอกจากนี้เขายังได้รับมอบหมายให้ปกป้องเขาหมื่นดาบ ซึ่งมีความหมายเทียบเท่ากับตำแหน่งอย่างเป็นทางการจากองค์จักรพรรดิ ทว่ามันก็ไม่ได้หมายความว่าเขามีอำนาจแต่อย่างใด

นอกจากนี้ เพราะเขาหมื่นดาบนั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร มีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่นน้อยมาก ทำให้ที่นั่นไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่หรือทหารที่รับผิดชอบในการดูแลอาณาเขต

แต่ไม่ใช่กับเรื่องในอนาคต

หลังจากดูแลจัดการเรื่องนี้แล้ว ซูเฉินรอข่าวเพิ่มเติมอยู่ที่เมืองฉางผาน

เขากำลังรอข่าวเกี่ยวกับหลินเหวินจวิ้นและกองทัพกำลังสวรรค์

3 วันต่อมา ซูเฉินก็ได้รับข่าวว่าหลินเหวินจวิ้นถูกปลดออกจากตำแหน่งและออกจากปราการลุ่มน้ำทองไปแล้ว ในวันเดียวกันนั้นเซี่ยงรุ่ยก็ได้รับการปล่อยตัว ฉือไคฮวงเองก็ได้รับการปล่อยตัวจากการถูกกักบริเวณเช่นกัน

7 วันต่อมา ทหารจำนวน 8,000 นายได้ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองฉางผานออกไปประมาณ 70 ลี้

ซูเฉินมองดูพวกเขาและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับกลับมา กองทัพกำลังสวรรค์ !”