บทที่ 6 บทที่ 122 ทำไมถึงลังเล

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

เมื่อจุยเฟิงมองเห็นชีสดูเจ็บปวดเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างก็พูดขึ้นว่า “รีบเริ่มเถอะ ฉันไม่มีเวลารอนายอยู่ที่นี่…ฉันจะนับเวลาสามสิบวินาที เริ่มหรือไม่เริ่ม” 

 

ไหล่ของชีสสั่นเล็กน้อย…เขาไม่กล้าคิดเลยว่าในตอนที่เขาแพ้หนึ่งคะแนนนั้นจะเลือกยังไง 

 

เลือกคนสนิทคนหนึ่งให้ตายลงต่อหน้าตนเอง…นี่เป็นฝันร้ายที่เลวร้ายขนาดไหน 

 

 ‘ตอนนี้ไม่ใช่เวลาตะลึง…อย่าขยับ อย่าให้ใครรู้ว่าฉันกำลังพูด’ 

 

ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูของชีส ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมา 

 

 ‘ได้ยินที่ฉันพูดไหม ถ้าได้ยินให้เคาะบนพื้นเบาๆ จำไว้ว่า เบาๆ ฉันมองเห็น’ 

 

ชีสเคาะพื้นเบาๆ  

 

เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นต่อว่า ‘ฉันรู้ว่านายสงสัยว่าฉันเป็นใคร แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถาม ที่สำคัญก็คือ จะช่วยนายแก้ไขปัญหาในตอนนี้ยังไง ฉันไม่รู้ว่านายกับเจ้าคนตรงหน้านั้นมีความแค้นอะไรกัน แต่วิธีของเจ้านั่นต่ำช้าเกินไป เดิมทีฉันก็ไม่คิดจะยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่ครั้งนี้มันขัดตาเกินไปจริงๆ…นายพยายามถ่วงเวลาเขาเอาไว้ให้นานที่สุด ฉันจะคิดหาวิธีตามหาคนสนิทเหล่านั้นของนายว่าอยู่ที่ไหน…เข้าใจไหม’ 

 

ชีสไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีที่มายังไง เพราะเขาไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน…ทั้งยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะช่วยตนเองจริงๆ หรือเปล่า 

 

แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องคว้าฟางเส้นสุดท้ายนี้ไว้จึงรีบใช้นิ้วมือเคาะบนพื้น 

 

‘จำไว้ พยายามถ่วงเวลา ฉันจะไปแล้ว’ 

 

ชีสเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็มองไม่เห็นเงาร่างที่กำลังเคลื่อนไหวภายในสนามบาสเกตบอลเลย…ส่วนตอนนี้จุยเฟิงกลับพูดขึ้นว่า “ยังไง ตัดสินใจดีแล้วหรือยัง” 

 

ชีสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ยืนขึ้นมา…เขาคิดถึงคำพูดของผู้หญิงคนนั้นว่าให้พยายามถ่วงเวลา 

 

เขามองจุยเฟิงเงียบๆ ไม่พูดอะไร 

 

 “ทำไม ใช้ความเงียบมาต่อต้านฉันงั้นเหรอ” จุยเฟิงเยาะเย้ยและพูดว่า “ไม่มีประโยชน์ ฉันบอกว่าสามสิบวินาทีก็คือสามสิบวินาที” 

 

 “รอเดี๋ยว” 

 

ชีสพูดเสียงเข้มว่า “ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง พวกเขาล้วนแต่อยู่ในเงื้อมมือของนาย กฏนี้…ฉันจะเชื่อถือได้ยังไง ถ้าฉันชนะแล้วนายไม่ปล่อยคนล่ะ” 

 

จุยเฟิงยิ้มเยาะและพูดว่า “ฉันต้องการให้นายมาเชื่อฉันเหรอ นายชอบแข่งก็แข่ง…ฉันชอบฆ่าก็ฆ่า” 

 

ชีสสบถ “งั้นฉันก็ไม่แข่งแล้ว…ถ้ามีความสามารถก็ฆ่าทั้งหมดเลยสิ ฆ่าฉันไปด้วยเลย แบบนั้นทั้งชีวิตนี้ของนายก็อย่าคิดจะเอาชนะฉันได้…เพราะว่านายจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” 

 

จุยเฟิงหัวเราะฮ่าๆ และพูดว่า “ตลกจริง ก่อนหน้านี้ครึ่งปี นายก็เคยแพ้ฉันแล้วครั้งหนึ่ง ฉันชนะแล้ว” 

 

ชีสพูดเสียงเข้มว่า “ตอนนั้นฉันอ่อนข้อให้นาย ถึงยอมนายให้ชนะ…ถ้าแข่งอีกครั้งก็ไม่แน่ แต่ถ้านายยินดีจะใช้ชีวิตต่อไปด้วยชัยชนะแบบนั้นก็ลงมือเถอะ” 

 

ชีสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหลับตาลง ไม่ขยับพร้อมกับพูดอย่างโมโหว่า “ลงมือเถอะ” 

 

ชั่วขณะนั้นแววตาของจุยเฟิงก็เปลี่ยนเป็นเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงถอนหายใจและพูดเสียงเข้มว่า “นายต้องการอะไร แต่ถ้าจะให้ฉันปล่อยคนนั้น ไม่ได้แน่นอน” 

 

ชีสค่อยๆ พูดขึ้นว่า “ฉัน…ต้องการการแข่งขันที่ยุติธรรม ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว ถึงฉันจะแพ้ ฉันก็จะยอมรับทั้งกายและใจ” 

 

 “นายต้องการความยุติธรรมเหรอ” จุยเฟิงขมวดคิ้ว 

 

ชีสพูดว่า “ถูกต้อง ความยุติธรรมที่แท้จริง ร่างกายของนายแข็งแรงกว่าฉัน ดังนั้นครั้งนี้จะต้องเป็นเหมือนครั้งก่อน ห้ามใช้พลังปีศาจ ใช้ได้เพียงทักษะของตนเองเท่านั้น ถ้านายใช้พลังปีศาจจะถูกปรับแพ้และต้องปล่อยทุกคนไป” 

 

 “เอาชนะนายจำเป็นต้องใช้พลังปีศาจด้วยเหรอ” จุยเฟิงยิ้มเยาะ “เงื่อนไขนี้ฉันตกลง เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว มาเริ่มกันเถอะ” 

 

 “รอเดี๋ยว” ชีสพูดขึ้นอีก “ฉันยังมีอีกเงื่อนไขหนึ่ง” 

 

 “นายนี่น่ารำคาญจริงๆ” 

 

 “ถ้านายไม่ตกลงก็ฆ่าฉันเถอะ” 

 

 “นายพูดมา” จุยเฟิงพยายามอดกลั้นความโมโห 

 

ชีสมองนีนี่และพูดว่า “ถ้าผลการแข่งขันออกมาว่าคะแนนของฉันมากกว่านาย ฉันต้องการให้นายคลายการควบคุมนีนี่” 

 

 “ฉันตกลง” จุยเฟิงโบกมือและพูดเสียงดัง 

 

ความเร็วในการตกลงอยู่เหนือความคาดหมายของชีส ทำให้เขากลืนคำพูดที่คิดจะพูดกลับลงไปในท้อง 

 

 “เริ่มเถอะ” จุยเฟิงสบถ 

 

ชีสทำได้เพียงพูดว่า “รอเดี๋ยว” 

 

 “นายยังต้องการอะไรอีก ถ้านายกล้ามีเงื่อนไขอีก…ความอดทนของฉันจะหมดแล้วนะ” สีหน้าของจุยเฟิงดำคล้ำลงชั่วขณะ 

 

 “ฉัน…ฉันอยากวอร์มร่างกายก่อน” 

 

… 

 

 “ซ่อนคนไว้ที่ไหนกันแน่นะ…น่าตายนัก มีมนุษย์เยอะ กลิ่นอายสับสนยุ่งเหยิงเกินไป” 

 

นอกสนามบาสเกตบอลเงาร่างเล็กๆ กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว…กวาดสายตาของเธอไปทุกสถานที่ที่เคลื่อนตัวผ่าน พยายามที่จะวิเคราะห์ว่ามันตรงกับภาพในจอโน้ตบุ๊คหรือไม่ 

 

 “โธ่ ครั้งนี้ก็เข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองอีกแล้ว…” เธอถอนหายใจ เพราะเธอจำได้ว่าครั้งก่อนที่เธอยุ่งนั้นก็เกือบตาย 

 

 “ถ้า…พี่เริ่นหาฉันไม่เจอที่หลังเวทีคงไม่โมโหใช่ไหม” เธอถอนหายใจอีกครั้งอย่างหมดทางเลือก มองไปยังสีพระจันทร์ พระจันทร์ในวันนี้ดูสวยดี 

 

ทันใดนั้นเธอก็พึมพำออกมาว่า “อยากกินโรตีจัง…ใส่ซอสเยอะๆ ใส่แฮมเยอะๆ ใส่ไก่ทอดเยอะๆ ใส่ไข่เยอะๆ ใส่เนื้อแห้งเยอะๆ อา…อยากกินจัง อยากกินจัง อยากกินจัง”  

 

 “อา ต้องตั้งใจหน่อย รีบช่วยคนก่อนค่อยว่ากัน” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กระโดดไปบนยอดต้นไม้ด้านข้าง 

 

เธอหลับตาลงและค่อยๆ ยกมือขึ้นมาจากนั้นก็เป่ากลิ่นอายเย็นยะเยือกลงบนฝ่ามือ 

 

กลิ่นอายเย็นยะเยือกเคลื่อนไหวบนฝ่ามือของเธอและแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มอย่างรวดเร็ว หมุนวนไปมา กลิ่นอายเย็นยะเยือกสี่กลุ่มรวมตัวกัน จากนั้นก็กลายเป็นลูกบอลสีขาวสี่ลูก 

 

เธอยิ้มและเอ่ยว่า “จิตวิญญาณหิมะ ช่วยฉันที” 

 

เธอสะบัดมือ จิตวิญญาณหิมะทั้งสี่ลอยขึ้นไปกลางอากาศและแยกกันลอยออกไปคนละทิศทางอย่างรวดเร็ว 

 

… 

 

… 

 

ดูเหมือนคนและบรรดาปีศาจที่ไม่ได้สนใจการแข่งขัน…จะพากันวิ่งเพื่อเป้าหมายของตนเองทั้งนั้น 

 

อย่างเช่น เซอร์หม่าที่วิ่งไปถึงสถานที่ติดตั้งดอกไม้ไฟได้อย่างยากลำบาก 

 

เซอร์หม่าหอบหายใจ เอาป้ายตำรวจของตนเองออกมาโชว์พร้อมพูดว่า “ฉันหม่าโฮ่วเต๋อจากกรมตำรวจ นี่เป็นหลักฐานแสดงตัวตนของฉัน ที่นี่ใครเป็นคนรับผิดชอบ” 

 

 “ผม…ผมเอง” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาอย่างหวาดกลัว “เซอร์ท่านนี้ มีเรื่องอะไรเหรอครับ” 

 

หม่าโฮ่วเต๋อพูดตรงๆ ไปว่า “ตอนนี้ฉันขอสั่งให้พวกนายหยุดการติดตั้งดอกไม้ไฟทั้งหมด” 

 

 “นี่…เพราะอะไรกันครับ คุณตำรวจ ดูเหมือนคุณจะไม่มีอำนาจนี้นะครับ” ผู้ดูแลวัยกลางคนครุ่นคิดและพูดออกมาว่า “ถ้าไม่มีคำสั่งจากหัวหน้าสถานีแล้ว ผมไม่สามารถทำตามคำขอของคุณได้นะครับ คุณตำรวจ” 

 

 “นาย!” ชั่วขณะนั้นหม่าโฮ่วเต๋อก็โมโหขึ้นมา “ถึงเวลาไหนแล้ว ยังจะมาเล่นไม้นี้กับฉันอีก รอนายขออนุญาติขึ้นไปเบื้องบน ทุกอย่างก็คงสายไปแล้ว บอกนายตรงๆ ฉันสงสัยว่าภายในดอกไม้ไฟพวกนี้อาจจะถูกคนซ่อนระเบิดเอาไว้” 

 

 “ระเบิด!” 

 

ชั่วขณะนั้นคนงานไม่กี่คนที่อยู่ที่นี่ก็มองมาที่หม่าโฮ่วเต๋อด้วยสีหน้าที่ดูหวาดกลัว ผู้ดูแลวัยกลางคนพูดอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “คุณตำรวจ เรื่องนี้จะเอามาล้อเล่นไม่ได้นะ…นี่เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ” 

 

 “ฉันเจอรถดับเพลิงที่ควรจะมาคอยสนับสนุนอยู่ที่นี่จอดอยู่บริเวณหนึ่งกิโลเมตรห่างออกไป” หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างรวดเร็วว่า “พนักงานดับเพลิงบนรถดับเพลิงถูกทำให้สลบหมดทุกคน นายคิดว่ายังไง” 

 

 “หา” ผู้ดูแลวัยกลางคนตกใจ แต่ก็ยังพูดอย่างสงบว่า “แต่…คุณตำรวจ ถึงจะเจอเรื่องแบบนั้นก็ใช่ว่าจะแน่ใจได้นี่ครับ” 

 

 “แม่นายสิ!” หม่าโฮ่วเต๋อจับคอเสื้อของอีกฝ่ายด้วยมือเดียว หิ้วคอของอีกฝ่ายไว้ “ถึงจะเป็นโอกาสเพียงหนึ่งส่วนร้อย นายก็จะปล่อยไปงั้นเหรอ ในสนามกีฬาแห่งนี้มีคนอยู่หกเจ็ดหมื่นคน ชีวิตคนตั้งหลายหมื่น นายจะรับผิดชอบงั้นเหรอ ฉันจะจัดการนาย!” 

 

 “หยุด หยุด หยุดเถอะ! บอกให้ทุกคนหยุด!” ชายวัยกลางคนรีบสั่งออกไปอย่างหวาดกลัว 

 

ชั่วขณะนั้นคนงานหลายคนก็เริ่มแยกกันเคลื่อนไหวและวิ่งออกไป 

 

เซอร์หม่าถึงได้วางอีกฝ่ายลงและรีบพูดว่า “ฉันเรียกกำลังเสริมและหน่วยกู้ระเบิดแล้ว พวกเขากำลังมา ตอนนี้นายบอกฉันมาว่าติดตั้งดอกไม้ไฟไปแล้วเท่าไหร่และติดตั้งเอาไว้ที่ไหน” 

 

 “คุณตำรวจ…หรือคุณเองก็ไม่รู้ว่าระเบิดถูกติดตั้งไว้ที่ไหน” 

 

 “ถ้าฉันรู้ฉันก็คงไปแล้ว จะมาหานายอีกทำไม นัดกันไว้เหรอ” 

 

เซอร์หม่าผู้เดือดดาล เริ่มเดือดขึ้นมาจริงๆ คำด่าติดปากอะไรก็ด่าออกมาจนหมด…ชายวัยกลางคนตื่นตกใจจนเคร่งเครียดรีบพยักหน้า 

 

 “แต่คุณตำรวจ จุดติดตั้งดอกไม้ไฟมีทั้งหมดสิบแปดจุด อยู่รอบสนามกีฬาทั้งสี่ทิศ…” 

 

 “เอาแผนที่ติดตั้งมาให้ฉันก่อน…” หม่าโฮ่วเต๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้น “สิบแปดจุดใช่ไหม พวกเราเริ่มจากที่นี่…จุดแรก ยังมีอีกอย่าง นายรีบเรียกผู้ดูแลสูงสุดของพวกนายมาให้ฉัน ฉันต้องการยกเลิกรายการในคืนวันนี้…ไม่ถูก ไม่ได้” 

 

หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วขึ้นมาในทันใด 

 

 “คุณตำรวจ มี มีอะไรอีก” 

 

สีหน้าของหม่าโฮ่วเต๋อเปลี่ยนเป็นแย่ขึ้นมา “ถ้าเป็นตามที่ฉันคาดการณ์ว่าที่นี่มีระเบิดอยู่จริงๆ อย่างนั้นคนที่วางระเบิดก็ต้องไม่มีเจตนาดีแน่ ถ้ากิจกรรมหยุดลงแล้ว ยังไม่พูดถึงว่าสถานการณ์จะวุ่นวายขนาดไหน แต่เกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นให้คนร้ายโมโห…ถ้าว่าเขาจุดระเบิดขึ้นอย่างกะทันหันล่ะ…น่าตายนัก” 

 

 “คุณตำรวจ…แล้วจะทำยังไงดี” 

 

 “รอเดี๋ยว ใจเย็น…ใจเย็น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการคาดการณ์” หม่าโฮ่วเต๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำให้ตนเองสงบลงมา “ตามกำหนดแล้วจะต้องจุดดอกไม้ไฟเมื่อไหร่” 

 

ผู้ดูแลวัยกลางคนดูนาฬิกาข้อมือและพูดอย่างแตกตื่นว่า “ถ้าทำตามแผนการเดิมแล้วก็ยังเหลือ…ยังเหลือเวลาอีกสี่สิบนาที” 

 

 “คนของฉันจะมาถึงเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลายี่สิบนาที…ไม่ทันแล้วงั้นเหรอ” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วแน่น 

 

ไม่สามารถอพยพผู้คนได้ในทันที…ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้ตื่นตระหนกขนาดไหน ทำให้ไม่อาจทำการอพยพอย่างเต็มรูปแบบในเวลาอันสั้นได้ กลับกันมันอาจจะเป็นการกระตุ้นให้คนร้ายโกรธ 

 

เรื่องนี้แปลกประหลาดมาก หัวใจของหม่าโฮ่วเต๋อเต้นแรง นี่คงไม่ใช่การโจมตีจากผู้ก่อการร้ายที่เป็นมีจิตวิปริตหรอกนะ เพราะการโจมตีแบบนั้นจะไม่มีการเตือนการล่วงหน้า เมื่อระเบิดขึ้นมาแล้วล้วนแต่จะต้องมีคนจำนวนมากที่สูญเสียชีวิต 

 

แม่ง 

 

เซอร์หม่าเกาหัวของตนเองอย่างแรง 

 

แต่ในตอนนี้เอง เขาก็รู้สึกว่าหัวหนักขึ้นอย่างฉับพลัน จากนั้น…ก็ล้มลงไปกับพื้น 

 

เห็นเพียงผู้ดูแลชายวัยกลางคนยกวิทยุสื่อสารในมือของเขาขึ้นสูง แต่ดวงตากลับว่างเปล่าและพึมพำว่า “จะให้นายทำลายแผนการของเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันได้ยังไง…” 

 

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปพูดกับวิทยุสื่อสารอย่างรวดเร็วว่า “กลับมาเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องหยุด เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น…จริงๆ เลย ตำรวจพวกนี้ ทำให้ที่นี่วุ่นวายไปหมด ไม่รู้จักสืบให้ชัดเจนก่อน” 

 

พูดแล้ว ชายวัยกลางคนก็มองดูหม่าโฮ่วเต๋อที่ล้มอยู่บนพื้นอีกครั้ง ดวงตาฉายแววดุร้าย…เขาหยิบเชือกที่วางอยู่ข้างๆ มารัดรอบคอของเซอร์หม่าจากนั้นก็ออกแรงดึงให้แน่นขึ้น 

 

แต่ในตอนที่เขาออกแรงอย่างเต็มที่นั้น เชือกก็ขาดออกอย่างกะทันหัน…เขายังไม่ทันได้ตะลึงก็รู้สึกว่าร่างกายถูกอะไรหิ้วขึ้นมาในพริบตาและก็พุ่งเข้าชนกำแพงด้านข้าง  

 

พลั่ก! 

 

การโจมตีนี้รุนแรงเกินไปสำหรับเขา ทำให้เขาสลบลงไปในพริบตา 

 

ที่นี่มีคนล้มลงไปสองคนแล้ว 

 

แต่กลับมีเงาร่างคนสายหนึ่งขมวดคิ้วเดินออกมา เขาสวมชุดพนักงานดับเพลิงที่ไม่เข้าตัว 

 

 “ระเบิดเหรอ…” เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้น 

 

พนักงานดับเพลิงคนนี้สูดหายใจเข้า…มั่วเสี่ยวเฟยมองไปยังดอกไม้ไฟชิ้นหนึ่งที่ถูกติดตั้งอยู่ที่นี่ 

 

ดวงตาของเขาเปล่งประกายสว่างไสว…แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องข่มอาการปวดหัว เขากำลังมองทุกอย่างที่นี่ 

 

 “ดูเหมือนที่นี่จะไม่มี…ยังมีอีกสิบเจ็ดที่ กองกำลังสนับสนุนของตำรวจคงไม่มาถึงเร็วขนาดนี้ ขณะเดียวกันก็บอกผู้คนไม่ได้เพราะจะทำให้แตกตื่นวุ่นวาย…แต่อย่างน้อยฉันก็ต้องทำอะไรบ้าง” 

 

ดวงตาของเขาดูเด็ดเดี่ยวมาก 

 

เขารีบมัดตัวชายวัยกลางคนคนนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลองปลุกหม่าโฮ่วเต๋อให้ตื่น แต่ก็ทำไม่ได้…ดูเหมือนความสามารถพิเศษของเขาจะไม่รวมถึงความสามารถในการปลุกคนที่สลบให้ตื่นขึ้นได้ 

 

เขาหมดทางเลือก ทำได้แต่ย้ายเซอร์หม่าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย จากนั้นก็ใส่หน้ากากป้องกันพิษ นี่เป็นของที่เขาแอบเอามาจากพนักงานดับเพลิงบนรถดับเพลิง 

 

มั่วเสี่ยวเฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ 

 

เขาจำสิ่งที่เขาพูดกับเจ้าของสมาคมก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นเขาจึงอดทนกับอาการปวดหัวที่รุนแรงอย่างเงียบๆ และทำให้ร่างกายของเขา…บินขึ้นมา 

 

 “หวังว่าจะไปทันนะ” 

 

… 

 

… 

 

แสงแฟลชและผู้คนรวมตัวกันอยู่หลังเวที หงก้วนกำลังพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อผ่อนคลาย รอนักร้องเก่าคนนี้ร้องเสร็จลงจากเวทีก็จะเป็นตาเขาขึ้นเวที…ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว 

 

ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียว 

 

 “ผู้อำนวยการเฉิง…อี้หรานยังไม่ถึงอีกเหรอครับ” หงก้วนมองเฉิงอวิ๋นที่อยู่เป็นเพื่อนแล้วเอ่ยถามขึ้น 

 

เฉิงอวิ๋นส่ายหน้า “เมื่อครู่ฉันเพิ่งโทรคุยกับคนขับรถ เขาบอกว่าเฉิงอี้หรานลงจากรถไปแล้วยังไม่ได้กลับมา โธ่ ฉันก็คิดไม่ออกว่าเขาไปไหนแล้ว” 

 

 “งั้น…” หงก้วนถอนหายใจ ดวงตาฉายแววสับสนวุ่นวาย 

 

 “นายก็อย่าคิดมากเลย เขาโตแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก” เฉิงอวิ๋นปลอบ “ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ขึ้นไปร้องเพลงให้ดีเถอะ จำไว้ว่านายเป็นคนสุดท้าย” 

 

ถึงจะพูดเช่นนี้…แต่เฉิงอวิ๋นก็คิดไม่ออกว่าทำไมคุณชายรองถึงให้หงก้วนเป็นคนสุดท้าย มีนักร้องเก่าแสดงก่อนหน้าจำนวนมาก แข่งกันมาเรื่อยๆ หงก้วนนั้นไม่ใช่เฉิงอี้หรานสักหน่อย จะทำได้เหรอ…กลัวแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกน่ะสิ 

 

เฮ้อ…ไม่เข้าใจจริงๆ