ตอนที่ 383 ติดตามข้ามีเนื้อให้กิน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูจุนเค้นเสียงออกมา “เขาติดเชื้อผีดิบเข้า….เขายอมตายแต่ไม่ยอมกลายเป็นศพที่เดินได้ เขาร้องขออย่างหนักแน่นยอมตายในมือข้า เขาคือผู้กล้าที่ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ส่วนเจ้า….เจ้ามันไม่สมควรจะเกิดเป็นคนตระกูลฉางซุน!”

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ ตู๋กูจุนไม่เคยเอ่ยถึงสาเหตุการตายของฉางซุนซู่กับใครมาก่อน…..

 

 

ทั้งยังยอมให้องค์หญิงใหญ่เข้าใจผิดมาหลายปี

 

 

ตอนนี้พอได้ระบายออกมาในครั้งเดียว ความอัดอั้นที่ทับถมอยู่ในใจทั้งหมดค่อยคลายออก

 

 

ฉางซุนซิ่วอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกไปในทันที

 

 

เขามิได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ได้แต่ทำตาตก ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

 

 

“ทูลฝ่าบาท ที่ด้านนอกของเมืองหลวงพวกผีดิบกำลังรวมตัวจะบุกเข้ามาในเมืองแล้วพะยะค่ะ” ในตอนนั้นเองนายทหารผู้หนึ่งรีบรุดเข้ามารายงาน

 

 

สายพระเนตรของจีเฉวียนมืดครึ้มลงไป ขณะเดียวกันก็ได้ยินทหารอีกคนกราบทูลว่า “ฝ่าบาท กองกำลังสิบหมื่นของแคว้นเหยียนก็ไม่ยอมแพ้ คิดขัดขืนจนตัวตาย กำลังพลของเราไม่เพียงพอ พละกำลังของกองทัพใกล้จะถึงขีดสุดแล้วพะยะค่ะ”

 

 

นี่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง

 

 

เมื่ออยู่ระหว่างกองทัพสิบหมื่นและกองทัพผีดิบ ด้านหนึ่งเป็นสุนัขป่าด้านหนึ่งเป็นเสือ สองทางล้วนไม่มีอะไรที่ดีทั้งสิ้น

 

 

สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทรงฉวยกระบี่เหมันต์ขึ้นมาไว้นพระหัตถ์ เตรียมจะรุดออกไป แต่ฉางซุนอิงกลับถลันมารั้งเอาไว้ “เฉวียน ท่านอาจารย์เซียนของข้าเป็นผู้สูงส่ง ถึงแม้ว่าไม่อาจจะรักษาเหล่าคนที่เป็นผีดิบไปแล้ว แต่ว่ายังมียาที่สามารถป้องกันมิให้คนเป็นกลายเป็นผีดิบอยู่ ที่ข้ารีบรุดมาในครั้งนี้ ก็เพื่อนำยามามอบให้กับท่าน”

 

 

ฉางซุนอิงพูดพลางก็ล้วงเอาห่อยาออกมาจากในอกเสื้อ “เหนือสุสานคนตายมีดอกหวางหลิงฮวาผลิบาน สามารถใช้กลีบดอกของมันเป็นยาได้ หากโรยลงไปบนร่างสามารถป้องกันเชื้อผีดิบ”

 

 

ว่าแล้ว นางก็พยักหน้าให้กับพระองค์อย่างหนักแน่น “ท่าโปรดเชื่อข้าเถอะ ข้าไม่เคยทำร้ายท่านมาก่อน”

 

 

วิญญาณทมิฬอยากจะปรมมือให้นางจริงๆ ดูท่าทีของนางที่ในสายตามีแต่ฮ่องเต้ผู้นั้นแต่เพียงผู้เดียวสินะ พี่ชายของตนเองขาขาดไปแล้วยังไม่คิดจะหันไปเหลือบดูสักหน่อยหรือ?

 

 

พอหันมามองดูหลันหลันของฝ่ายตนเอง ตลอดทางรีบร้อนเดินทางมาอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างทางถึงกลับยอมใช้ยันต์โลหิตไปไม่น้อย เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากังวลห่วงใยอย่างยิ่ง ทุ่มเทไปเสียขนาดนี้แล้ว แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกไปสักคำ

 

 

นี่เรียกว่าอะไรดี? เด็กที่รู้จักร้องไห้ย่อมมีน้ำตาลกิน!

 

 

มันรีบหันไปส่งสายตาให้กับตู๋กูซิงหลันในทันที อาหลัน…..

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจมันเลยสักนิด สองขาของนางเจ็บปวดอย่างยิ่ง นางได้แต่ต้องหันไปขี่หลังติ๊งต๊อง

 

 

ติ๊งต๊องส่งเสียงร้องกะต๊ากๆ ก็รีบพานางออกไปด้านนอกในทันที

 

 

ภายในสวน ราชาสุนัขป่านั่งอยู่อย่างสง่างาม หลังจากที่มันได้ตดออกไปหลายต่อหลายครั้ง ก็รมเหล่าทหารต้าเหยียนจนอ้วกแตกไปมากมาย

 

 

“ไปที่กำแพงเมือง” ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็ย้ายไปขี่หลังของราชาสุนัขป่า

 

 

ตู๋กูจุนไม่พูดพร่ำทำเพลง ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ขาของน้องเล็กยังไม่หายดี เขาจะวางใจปล่อยนางไปคนเดียวได้อย่างไร

 

 

จีเฉวียนเองก็ติดตามมาเช่นกัน แต่ว่ากลับถูกฉางซุนอิงรั้งเอาไว้ นางโอบพระศอของพระองค์เอาไว้ กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจังว่า “เฉวียน ท่านอย่าได้ไปที่แนวหน้ามากเกินไป ข้าเป็นห่วงท่าน….”

 

 

เนื่องเพราะว่ามีหน้ากากปิดอยู่นางจึงมองสีพระพักตร์ของจีเฉวียนไม่ออก เห็นแต่ว่าพระองค์ปัดมือของตนออกไป

 

 

“เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ เราย่อมต้องกลับมา”

 

 

ตรัสแล้ว พระองค์ก็รับสั่งเรียกหลงเซียวให้เขามาคอยเฝ้าฉางซุนซิ่วกับนาง

 

 

หลงเซียวอยู่ๆ ก็ต้องมารับมอบงานนี้ ในใจของเขารู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง….

 

 

เขาขวางอยู่ด้านหน้าฉางซุนอิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอมองดูสาวน้อยที่มีรูปโฉมบริสุทธิ์ผุดผ่องผู้นี้ ในใจก็แอบครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงมีรสนิยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

 

 

จะมองซ้ายมองขวา ….. มองอย่างไรไทเฮาน้อยก็ยังทรงงดงามกว่ามาก

 

 

เหยียนหยุนที่คอยดูอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันปรากฏตัวขึ้นมา สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่นาง

 

 

เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ชาตินี้จะมีโอกาสได้พบกับนางอีก

 

 

นับตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแคว้นเซอปี่ซือคราวนั้น เขาส่งคนไปตามหานางที่ต้าโจว แต่กลับไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่า ที่แท้แล้วนางก็คือไทเฮาแห่งต้าโจว!

 

 

เขาเข้าใจผิดมาตลอดว่า นางคือสนมคนโปรดของจีเฉวียน….

 

 

สถานการณ์ด้านนอกกำลังวุ่นวาย ขณะที่ด้านในตำหนักบรรทม หลงเซียวไม่ได้ใส่ใจกับตัวเขา

 

 

เหยียนหยุนเก็บตราราชลัญจกรหยกที่แตกหักขึ้นมาจากบนพื้น อาศัยไม้เท้าค้ำยันไล่ตามออกไปที่ด้านนอกบ้าง

 

 

บนกำแพงเมือง สายลมกรรโชกแรง

 

 

ตู๋กูซิงหลันขี่ราชาสุนัขป่ามาถึง นางสะพายคันธนูเอาไว้บนแผ่นหลัง นางเขวี้ยงยันต์สีเหลืองออกไป

 

 

เกิดเสียงระเบิด ‘บรึม’ ดังสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าในทันที

 

 

คนที่กำลังต่อสู้เอาเป็นเอาตายต่างก็พากันตกใจ หยุดมือและมองขึ้นมาบนกำแพงเมือง

 

 

เห็นบนทำแพงเมืองมีสาวน้อยผู้หนึ่งขี่หลังสุนัขป่าตัวใหญ่พ่วงพี นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอมดำ ดวงตาเปล่งประกายสุกสกาว เส้นผมสยายปลิวออกไป มือข้างหนึ่งถือคันธนูด้วยท่วงท่าองอาจงามสง่า ประหนึ่งขุนพลหญิง

 

 

“เราคือไทเฮาแห่งต้าโจว!” ตู๋กูซิงหลันกล่าวด้วยเสียงทุ้มกังวาน

 

 

นางใช้ยันต์ส่งสำเนียงที่ทำให้ทุกมุมในเมืองหวงตูล้วนสามารถได้ยินเสียงของนาง

 

 

เหล่าทหารและประชาชนธรรมดาในแคว้นต้าเหยียนต่างก็ต้องพากันประหลาดใจ พวกเขารู้แต่ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าโจวเสด็จมาแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าไทเฮาน้อยที่เล่าลือกันก็เสด็จมาด้วย

 

 

ยิ่งคิดไม่ถึงว่าไทเฮาน้อยจะเป็นสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้

 

 

ความงามเช่นนี้….แม้จะได้มองจากไกลๆ ก็ยังรู้สึกว่าเหนือธรรมดา

 

 

ทั้งๆ ที่รูปร่างก็เล็กบาง แต่กลับให้ความรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ ในร่างของนางคล้ายกับว่ามีขุมพลังบางอย่างที่ดึงดูดผู้คนเข้าไป

 

 

“ตอนนี้แคว้นเหยียนเหลือเพียงเมืองหลวงหวงตูเท่านั้นที่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัย เมื่อฮ่องเต้แคว้นเหยียนสิ้นพระชนม์ แคว้นเหยียนย่อมล่มสลายตามกฎของธรรมชาติ ที่พวกเจ้าควรปกป้องคือราษฎร์แคว้นเหยียน มิใช่เหล่าเชื้อพระวงค์แซ่เหยียนที่เหลวไหลเลอะเทอะ!”

 

 

“พวกเจ้าล้วนก็เป็นคนเหมือนกัน ต่างก็เป็นสามี และบิดา สิ่งที่แบกอยู่บนบ่ามิใช่เพียงแว่นแคว้น แต่ยิ่งกว่านั้นคือคนในครอบครัว! มีแต่คุ้มครองครอบครัวของตนเองจึงจะสำคัญที่สุด!”

 

 

ถ้อยคำของนางสะกดใจของเหล่าทหารแคว้นเหยียนอย่างลึกซึ้ง

 

 

เมื่อตนเป็นทหารของแคว้นเหยียนพวกเขาสมควรต่อสู้จนถึงคนสุดท้าย

 

 

ถึงฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ว่าแคว้นยังอยู่

 

 

แต่ที่นางกล่าวออกมานั้นก็ถูกต้อง พวกเขาล้วนมีญาติพี่น้อง ญาติพี่น้องที่ปราศจากอาวุธยิ่งสมควรจะต้องปกป้อง

 

 

“ตอนนี้ผีดิบกำลังบุกโจมตีกำแพงเมืองด้านนอก ทุกคนสมควรใช้เหตุผล รวมใจกันเป็นหนึ่ง ปกป้องญาติพี่น้องและผืนแผ่นดินสุดท้ายเอาไว้!”

 

 

นี่ไม่อาจโทษว่าตู๋กูซิงหลันที่ฉวยโอกาสนี้กระทำตนเป็นวีรสตรี ที่จริงแล้วสำนักหุบเขาภูติเร้นลับมีกฎมากมายที่ทำให้คนกลายเป็นวีรษุรุษวีรสตรีอยู่แล้ว

 

 

เมื่อพบเห็นภัยพิบัติพึงให้ความช่วยเหลือ นางไม่อาจอยู่เฉยๆ

 

 

“ปกป้องได้แล้วจะได้อะไร ยังไงแคว้นต้าเหยียนก็ต้องถูกต้าโจวทำลายล้าง…..พวกเราก็ต้องตายอยู่ดี!” นายทหารแคว้นต้าเหยียนถลันออกมา ไม่ยอมแพ้โดยง่าย

 

 

“เราขอสาบานในฐานะไทเฮาแห่งแคว้นต้าโจว หากชาวเหยียนยอมอ่อนน้อมต่อต้าโจว จะไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”

 

 

“เจ้าเป็นแค่สตรีนางหนึ่ง สักแต่พูดจะใช้ได้อย่างไร ใครจะไปเชื่อเจ้ากัน?”

 

 

“จริงด้วย…..พวกเรามีกองทัพสิบหมื่น ยังจะสู้พวกเจ้าต้าโจวที่มีอยู่ไม่ถึงพันไม่ได้หรือไง?”

 

 

เหล่าทหารมิใช่คนโง่ คิดจะใช้กลยุทธไม้อ่อนมาสยบแข็ง โป้ปดผู้คนหรืออย่างไร? พวกเขาล้วนมิใช่เด็กสามขวบนะ

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลง “กองกำลังสนับสนุนของต้าโจวกำลังจะมาถึงแล้ว หากว่าพวกเจ้าอยากจะกลายเป็นเนื้อบด และทำให้แคว้นเหยียนกลายเป็นขุมนรกตลอดกาล เช่นนั้นก็เชิญต่อต้านกันต่อไป”

 

 

“น่าสงสารก็แต่เหล่าภรรยา คนชรา และเด็ก คนทั้งครอบครัวล้วนต้องติดตามพวกเจ้าไปยังปรโลก!”

 

 

“ความเป็นความตายล้วนอยู่ในมือของพวกเจ้าเอง เราจะปกป้องแต่คนที่ติดตามเราเท่านั้น หากติดตามต้าโจวพวกเจ้าจะไม่ตาย และมีเนื้อกิน!”

 

 

 

 

……………………………….

 

 

ตอนต่อไป “ฮ่องเต้ทรงทรยศน้องเล็ก พวกเราขอกบฏแล้ว!