จ้าวดินแดนมีดสวรรค์รู้สึกร้อนรุ่มในใจความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคย มันคือความรู้สึกที่เขาเคยรู้สึก สัญชาตญาณสั่งให้เขามองไปยังท้องนภา
เขาเห็นเนตรดวงยักษ์แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้ากว้างใหญ่
คนที่ยืนอยู่ใต้เนตรดวงนี้มิอาจเห็นจุดจบอันลึกล้ำในดวงเนตรเนตรนั้นกว้างใหญ่ไปถึงขอบฟ้า
“นี่มัน…บัญชาสวรรค์รึ?”
ซือหยูถูกดินแดนมีดสวรรค์ตามล่าเขาถูกบังคับให้ต้องใช้พลังอันลึกล้ำเช่นนี้ ในวันนั้น จ้าวดินแดนมีดสวรรค์นั่งอยู่ในเมืองโดยไม่รู้เลยว่าซือหยูอยู่ไกลจากเขาเพียงใด แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงเนตรดวงยักษ์ดวงนี้
ต่อมาเขาก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินจ้าวดินแดนอีกหลายคนที่หนีจากสงครามมาได้พูดเรื่องเดียวกัน
เมื่อได้เห็นวันนี้กับตาตัวเองซือหยูนั้นคือที่มาของพลังอันน่าตกใจที่เขาสัมผัสได้ในวันนั้น
“มันคือฎีกาสวรรค์ที่ผสมกับพลังอื่นพวกเจ้าเคยเห็นเรื่องแบบนี้หรือไม่?”
อดีตจ้าวดินแดนทั้งสามแปลกใจที่ได้เห็นวิชาของวิถีเทพและมันคือฎีกาสวรรค์ในจุดสูงสุด!
ท่ามกลางคนรุ่นหลังในยุคสมัยนี้ซือหยูเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถกำจัดกู้ไทซูได้
“เจ้าเข้าใจไม่ผิดหรอกมันคือฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ขั้นสุดยอดที่ผสานกับวิชาอื่น มันแปลกประหลาดมิอาจคาดเดา ต่อให้ไม่ดีเท่ากู้ไทซู ข้าก็เคยเห็นมันกับตาตัวเอง มันมีพลังกลืนกินพื้นที่อันแข็งแกร่งและพาคนไปยังแดนห่างไกล แต่พลังของมันไม่ได้มีอันตราย แรงปะทะกับพวกเราแทบจะเป็นศูนย์”
จ้าวดินแดนมีดสวรรค์จับมือในชายเสื้อและยิ้มที่มุมปาก
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ซือหยูน่าจะหมดแรงและไม้ตายไปแล้ว
“ยากที่จะได้เห็นคนมีพรสวรรค์ในฎีกาสวรรค์อย่างเขาแต่ก็น่าเสียดายที่มันมาจากต่างแดน มันต้องตาย”
อดีตจ้าวดินแดนทั้งสามพูดเบาๆ
พวกเขาไม่ลงมือทันทีเพราะหวาดกลัวต่อซือหยูพวกเขาเพียงแค่รอให้ซือหยูหมดพลังจะต่อสู้เสียก่อน แล้วจึงค่อยโต้กลับเพื่อสังหาร
เนตรยักษ์บนท้องนภากำลังก่อตัวเมืองเขตกลางเต็มไปด้วยผู้คนที่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ สายตาทุกคู่แหงนขึ้นมองเนตรนภาดวงนี้
คนที่ไม่ตกใจมีเพียงเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ในระยะร้อยศอกพวกเขาดูใจเย็น ดวงตาลุกโชนไปด้วยมุมมองของการทำลายล้าง
จ้าวดินแดนมีดสวรรค์ที่รอลงมือเป็นคนสุดท้ายขมวดคิ้วขึ้นอย่างประหลาดเพราะเนตรที่เขาเห็นในวันก่อนนั้นมีพลังที่แข็งแกร่ง
จากคำอธิบายของคนที่หนีมาได้เนตรดวงนั้นมีพลังมิติและมีสีแดงฉาน
แต่สิ่งที่เขาเห็นเนตรสีซีดดวงนี้เปล่งพลังแบบอื่นออกมา
“พวกท่านทั้งสามมีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
จ้าวดินแดนมีดสวรรค์คลายมือที่ผสานกันออกใบหน้าเขาดูสง่างาม
เขาลังเลว่าจะเตือนให้คนในเขตกลางหนีไปดีหรือไม่พลังเนตรกำลังจะมาถึงแล้ว
เนตรที่เต็มไปด้วยคลื่นและการหมุนวนนี้สามารถขับดวงวิญญาณออกมาได้
จู่ๆ คลื่นในเนตรได้หันทิศมาหาพวกเขา พวกมันรวมตัวกันเป็นวงกลมราวกับก้นบึ้งที่กำลังจมลึกลงไป
ปั้ง!
ชายแก่ที่เป็นแค่ภูติระดับเก้าล้มลง สีหน้าของเขาขาดสีสัน
ไม่นานก็มีภูติระดับเก้าอีกหลายคนที่ล้มลงสู่พื้น
ต่อมาก็เป็นจ้าวเทวะระดับหนึ่งระดับสอง ระดับสาม ระดับสี่…
ผู้คนในระยะร้อยศอกล้มลงไปตามระดับพลัง
อสูรเนรมิตรทั้งสี่ได้แต่มองที่ราบที่มีคนค่อยๆ ล้มลงไป
ดวงวิญญาณที่มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าขัดขืนหวาดกลัว ร้องคำราม พวกมันกำลังถูกเนตรบนท้องนภาดูดกลืนขึ้นไป
ใบหน้าของทั้งสี่เปลีย่นไปทันที!
ดวงวิญญาณของทุกคนกำลังถูกเนตรกลืนเข้าไป!
ในโลกวันนี้ไม่มีพลังวิเศษใดที่สามารถช่วงชิงดวงวิญญาณออกจากร่างกายไปได้นอกจากเจ้าของดวงวิญญาณจะทำด้วยตัวเอง แต่เนตรแห่งการเวียนว่ายดวงนี้มีพลังที่เหนือกว่าพวกมันสามารถดูดดวงวิญญาณออกจากร่างได้ คนเหล่านั้นเหลือเพียงแต่กายหยาบ!
“ทุกคนออกมาเดี๋ยวนี้!”
ผู้นำชายแก่ทั้งสามตะโกนเสียงดัง
อดีตจ้าวดินแดนทั้งสามมิอาจจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นแต่มันก็เป็นอย่างที่ซือหยูพูด ทุกคนในระยะร้อยศอกตายแล้ว!
มันน่าขนลุกขนพองยิ่งนักเมื่อเห็นคนรอบกายล้มลงไปทีละคนอย่างมิอาจควบคุมได้และจากนั้นดวงวิญญาณโปร่งใสของพวกเขาก็ต่อต้านด้วยความกลัวขณะที่ถูกเนตรบนท้องนภาดูดกลืนขึ้นไป
ความกลัวเริ่มบดบังความโลภของพวกเขาราวกับถูกบดบังด้วยเงาทมิฬขนาดยักษ์พวกเขาตัวแข็งทื่อเมื่อพยายามถอย
แต่มันก็สายไปแล้ว
พลังของเนตรดวงยักษ์บนท้องนภาค่อยๆแผ่ขยายจนถึงขีดจำกัดและระเบิดออกมา!
พริบตาเดียวมิเพียงแค่วิญญาณจ้าวเทวะ แต่ดวงวิญญาณของทุกสิ่งได้ถูกดูดขึ้นไป
“อ๊า!ไม่นะ!”
เหล่าอสูรเนรมิตรลังเลครู่หนึ่งและก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นว่าดวงวิญญาณของอสูรเนรมิตรก็กำลังถูกพลังที่มองไม่เห็นดูดเข้าไปเช่นกัน
พวกเขากรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกแต่ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยชีวิตพวกเขาได้อีกต่อไปแล้ว ดวงวิญญาณของพวกเขาออกจากร่าง พวกเขากู่ร้องด้วยความกลัวขณะที่ขัดขืน
ต่อมาอสูรเนรมิตรสองกลุ่มถูกดูดขึ้นไป
ถัดไปอสูรเนรมิตรสามกลุ่มถูกดูดขึ้นไป
ใบหน้าของยอดฝีมือแคระเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเขายืนอยู่ที่ขอบระยะพลังและกำลังจะหนี แต่ดวงวิญญาณของเขาก็ถูกพลังดูดกลืนบนท้องนภาเหนี่ยวรั้งเอาไว้จนเกือบจะแยกออกจากร่างกายไปแล้ว เขายังทำให้ดวงวิญญาณติดอยู่กับร่างได้เพราะจิตมุ่งมั่นของตัวเองมิเช่นนั้นเขาคงจะถูกเนตรกลืนกินดวงวิญญาณไปเหมือนกับคนอื่น
ในเวลานี้ไม่เหลือความเยือกเย็นอยู่บนหนา้ของเขาอีก เขาสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
“ปล่อยนะปล่อยข้าไป!”
“เจ้าอยากจะทำผิดอีกครั้งเรอะ?”
ซือหยูไม่พูดอะไรและเดินตรงไปยังซากหอเคลื่อนย้ายเขาเตะซากปรักหักพังให้กระเด็นหายจนเห็นประตูมิติเทวะ
ซือหยูย่อตัวลงและวางแก้วพลังเพื่อใช้มันอีกครั้ง
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการรึ?”
“มันคงไม่แปลกกับข้าถ้าคิดว่าข้ามาจากต่างเผาพันธุ์กับเจ้าในฐานะคนต่างเผ่า มันไม่แปลกที่ข้าจะฆ่าคน”
“ข้าผิดเองที่พยายามช่วยชีวิตพวกเจ้าแต่เจ้าตายไปก็ไม่เจ็บปวดหรอก” “อ๊าา!!หยุดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นคนเขตกลางจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
ยอดฝีมือแคระพูดอย่างดุดันแต่ใบหน้าของเขาไม่มีซึ่งความดุร้ายอีกแล้ว เขากระวนกระวายเพราะดวงวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง
ซือหยูหลับตาช้าๆ เขาพูดอย่างไร้อารมณ์
“ต่อให้ข้าหยุดเจ้าก็ไม่ปล่อยข้าไปอยู่ดี”
ฟึ่บ!
ดวงวิญญาณยอดฝีมือแคระหลุดออกจากร่างเขากรีดร้องเมื่อถูกดูดกลืน
หอเคลื่อนย้ายว่างเปล่าไร้ซึ่งชีวิตไม่มีใครเหลือรอด และไม่มีใครหนีออกไปได้!
แม้แต่นักฆ่าเลื่องชื่ออย่างมีดเจ็ดทมิฬก็ไม่เหลือรอด
มีดเจ็ดทมิฬนั้นแข็งแกร่งไม่ต่างจากจักรพรรดิโลหิตพลังของพวกเขาคล้ายกันมาก แต่คิดไม่ถึงว่าในวันนี้พวกเขาจะตายอย่างง่ายดาย
คนเมืองเขตกลางนอกพื้นที่พลังหายใจแรงด้วยความตื่นตระหนกโดยเฉพาะไม่กี่คนที่ระแวงและหนีออกมาก่อน แผ่นหลังของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไคลเย็นเฉียบ พวกเขาได้แต่ยืนขาสั่น
ทุกคนในระยะที่ซือหยูกล่าวไว้ตายหมด
ทุกคนที่อยู่นอกระยะรอดชีวิต
แล้วใครกันที่จะกล้าก้าวเข้าไปหาเขาอีก?
แม้แต่อดีตจ้าวดินแดนก็เป็นอสูรเนรมิตรขั้นสี่ก็ซ่อนตัวปะปนกับชาวเมืองไม่มีใครกล้าเสนอหน้าออกมา
ใต้สายตานับแสนคู่ซือหยูยืนอยู่ท่ามกลางศพไร้วิญญาณและกำลังเปิดประตูมิติ
เมื่อมิติสั่นไหวอีกครั้งเขาจะสามารถเคลื่อนย้ายไปไกลจากจิวโจวได้ในเวลาเพียงห้าลมหายใจ
ขณะนี้ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าหยุดเขา
พวกเขาไม่กล้าหยุดไม่มีใครที่กล้าหยุดซือหยูเลย
“ฆ่าคนของข้าแล้วเจ้าคิดว่าจะหนีไปทั้งอย่างนี้รึ?”
ใบหน้าของเหล่าอดีตจ้าวดินแดนทั้งสามเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง
ซือหยูยืดตัวตรงช้าๆ และมองทั้งสามที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชาวเมือง ซือหยูกล่าวอย่างไม่แยแส
“ก็ลองหยุดข้าสิถ้าพวกเจ้าไม่กลัวตาย”
ทั้งสามคิดต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน แม้จะผสานพลังกันอย่างถูกต้อง พวกเขาก็อาจทำไม่สำเร็จ
ถ้าพวกเจ้ามีความกล้าจะต่อสู้พวกเขาก็คงเริ่มลงมือไปแล้ว พวกเขาจะใช้คำขู่กับซือหยูอยู่เพราะเหตุใดกัน? แต่พวกเขาจำเป็นต้องพูดเพราะถ้าหากไม่ทำสิ่งใดพวกเขาอาจถูกราชาเขตกลางลงโทษได้
“มันชั่วช้านำัก!เราจะปล่อยมันไปได้ยังไง?”
แน่นอนว่าพวกเขาได้แต่ตะโกนใส่กันแต่พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป พวกเขาหวาดกลัวอย่างมากเมื่อมองร่างไร้วิญญาณที่นอนเกลื่อนพื้น
พวกเขาไม่อยากจะสู้กับซือหยูแต่จำต้องแสร้งทำซึ่งแท้จริงแล้ว พวกเขายิ่งเป็นฝ่ายอยากจะให้ซือหยูรีบหนีไปสักที
พวกเขาเหลือเวลาอีกสี่ลมหายใจ
ซือหยูนับเงียบๆ เช่นเดียวกับอดีตจ้าวดินแดนทั้งสาม
จ้าวดินแดนมีดสวรรค์ตัวแข็งทื่อเขาได้แต่ตะคอก
“ไอ้แก่สามคนอย่าพวกเจ้ายังรักตัวกลัวตายอยู่อีกเรอะ!” อดีตจ้าวดินแดนทั้งสามมีชีวิตมาหลายพันปีทั้งสามย่อมคิดอ่านได้ดีกว่าจ้าวดินแดนมีดสวรรค์ สิ่งใดเล่าจะสำคัญที่สุดในโลกใบนี้ วิชา โอสถ หรือโอกาส?
ไม่เลยแต่เป็นชีวิต!
พวกเขาอยู่จุดสูงสุดของอสูรเนรมิตรราชาเขตกลางเองก็เป็นแค่เซียน ราชาเขตกลางมิอาจให้โอกาสพวกเขาเป็นเซียนได้
แล้วใยพวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกกับรางวัลของราชาเขตกลางด้วยเล่า?
จ้าวดินแดนมีดสวรรค์หงุดหงิดใจอย่างมากเขารู้เรื่องนี้มาก่อน เขาไม่ควรจะบอกความจริง
ดังนั้นแล้ว…ภาพอันแปลกประหลาดจึงได้เกิดขึ้น
อดีตจ้าวดินแดนอันยิ่งใหญ่สามคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าซือหยูและขู่เขาอย่างไร้ยางอายซือหยูยืนนิ่งเหมือนคนหูทวนลม เขาหลับตาและไม่พูดอะไร เหลือเวลาอีกสามลมหายใจ
สองลมหายใจ!
อดีตจ้าวดินแดนทั้งสามตึงเครียดพวกเขาปรารถนาว่าพวกเขาจะมีพลังที่เร่งเวลาให้เร็วขึ้น
หนึ่งลมหายใจ!
ทั้งสามแอบโล่งใจพวกเขามองหน้ากันและแอบยิ้ม
ปั้ง!
เสียงระเบิดดังขึ้น
แต่มันไม่ใช่เสียงของการเคลื่อนย้ายที่สำเร็จแต่เป็นเสียงของการถูกทำลาย!
ทั้งสามหน้านิ่งพวกเขาจ้องซือหยูอย่างไม่เชื่อสายตา
ซือหยูหลุดจากการเคลื่อนย้าย!
ดัชนีของเขาชี้ที่ประตูมิติพลังของเขาทำให้มันหยุดทำงาน
“สุดท้ายเจ้าก็มาสินะ” ซือหยูหลับตาเขาลืมตาช้า ๆ และมองท้องนภาเหนือศีรษะ