Ch.1 – การอัญเชิญกับ[ภาชนะของราชา]
Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author
เพราะทนไม่ไหวแล้วก็เลยยื่นใบลาออกกับบริษัทไป “จะเอาไงต่อดีเนี่ย!” แล้วพอเดินออกมาก็มาอยู่ในป่าซะงั้น
…แปลก
เมื่อกี้ผมพึ่งออกจากบริษัทมาแท้ๆ
จากนั้นก็ไปซื้อน้ำแร่ ช็อคโกแลตแล้วก็ข้าวปั้นในเซเว่น ยังอยู่ในมือเลยเนี่ย แต่ตอนที่เดินไปที่สถานี…ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้เนี่ย
“…จะมองไปทางไหนก็ป่าสินะเนี่ย”
ไม่เห็นตึกรอบๆเลย
สิ่งที่มีอยู่ก็แต่ต้นไม้สูงใหญ่ที่สูงกว่าหัวผมไปมาก
พื้นดินชื้นเล็กน้อย ยังดีเพราะกะจะมายื่นใบลาออกแล้วออกไปเลยอยู่แล้วก็เลยใส่รองเท้าเดินเล่นมา ถ้าเป็นรองเท้าหนังล่ะก็คงจะเดินลำบากน่าดู
แต่ว่า…ที่นี่มัน ที่ไหนกันเนี่ย?
ไม่รู้เลยสักนิด ไม่ได้ตาฝาดไปด้วยสิ ได้กลิ่นหญ้าด้วย พอลองตักดินขึ้นมาดู…ดินเปียกๆก็ติดมือขึ้นมา ไอ้การได้สัมผัสดินแบบนี้ก็นานแล้วด้วยสิ ภาพลวงตาที่สมจริงแบบนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้
“เอาไงดีเนี่ย…”
ลาออกจากงานแล้วทำไมมันถึงกลายเป็นอย่างนี้ล่ะเนี่ย?
คนที่หนีจะต้องถูกเอาไปปล่อยป่า… ไม่ได้มีกฎลับอะไรแบบนี้อยู่สินะ…
“ยังไงก็เดินหาคนก่อนดีกว่า…”
“ขอโทษค่ะ!!”
อยู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมา
“ขอโทษค่ะ! ขอโทษจริงๆค่ะ!”
พอหันกลับไปก็มีคนอยู่
ยังไงดี กำลังลอยอยู่
กำลังก้มหัวให้ผมอยู่
“ทั้งๆที่ต้องพาดวงวิญญาณหนุ่มสาวที่ตายแล้วและมีความเหมาะสมมาแท้ๆ…คุณ ยังมีชีวิตอยู่สินะคะ?”
“…หา?”
อะไรเนี่ย คนคนนี้…ไม่สิ ไม่ใช่คนสินะ?
คนที่ลอยอยู่ตรงหน้าผมคือ สาวน้อยที่มีปีกงอกออกมา
ผมทอง สวมผ้าคลุมที่ส่องแสงเปล่งประกาย ครางออกมาประมาณว่า “อุหวาา”
“มีชีวิตอยู่สินะคะ!? ไม่ผิดใช่ไหมคะ!?”
“…ใครน่ะ?”
“ช่วยบอกด้วยเถอะค่ะ”
“ก็มีชีวิตอยู่หรอก…บางที”
ถึงจะถามอย่างจริงจังมาก็เถอะ แต่อะไรล่ะนั่น
ก็คิดว่า มีชีวิตหรอก ความทรงจำก็ไม่ได้ขาดหายด้วยสิ แผลก็ไม่มี
“ชื่อกับอายุล่ะคะ?”
“คิริว โชมะ 28ปี ก็ใกล้จะสาบสิบแล้วล่ะ…”
“…อา”
หญิงสาวเอามือกุมหัว
“จิ๊บหายแย้วค่า-!!”
“หรือว่าคุณจะเป็นตัวการที่พาผมมาที่นี่เหรอครับ?”
“ค่ะ!”
พยักหน้าแบบนั้นไปก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ
“คนที่อัญเชิญคุณมาคือฉันค่ะ ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ”
…อัญเชิญ?
“ผมถูกเรียกมาที่โลกนี้ งั้นเหรอ?”
“ค่ะ ฉันเป็นหนึ่งในเทพธิดาที่ดูแลโลกใบนี้ ชื่อว่าลูเคียค่ะ”
หญิงสาวที่มีปีกก้มหัวให้อีกครั้ง
“ขอฝากตัวด้วยครับ คิริว โชมะครับ”
ผมเองก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพแบบพนักงานบริษัท
“ที่ความผิดพลาดของฉันทำให้ต้องมาเดือดร้อนแบบนี้ ต้องขอโทษ จริงๆด้วยค่ะ!”
“อัญเชิญเนี่ย อย่าบอกนะว่า ที่นี่เป็นต่างโลกเหรอครับ?”
“ค่ะ ต่างโลก…ที่มีระดับอารยธรรมต่ำกว่าโลกของคุณนิดหน่อยค่ะ”
“…ทำไมถึงอัญเชิญผมมาเหรอครับ?”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้คิดจะอัญเชิญคุณมาค่ะ”
“แต่ก็ถูกอัญเชิญมาแล้วสินะครับ?”
“มันเป็นความผิดพลาดค่ะ ต้องขออภัยจริงๆค่ะ!”
“เลิกขอโษได้แล้วล่ะครับ ช่วยอธิบายทีครับ แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยพากลับโลกเดิม”
อุตส่าห์ยื่นใบลาออกจากบริษัทแล้วแท้ๆ
ทนกับงานไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
งานแล้วก็งาน ทั้งต้องรีบทำให้เสร็จ ทำไปแก้งานเองแล้วมาโกรธใส่ พอเสร็จก็มีงานใหม่มาทันทีก็ไม่ได้เกลียดงานหรอกแต่เกลียดที่มันไม่มีวันจบเนี่ยล่ะ หลังจากคิดมากมาครึ่งปีก็เลยลาออกมาเนี่ยล่ะ
ถึงจะไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรเลยก็เถอะ–
“กลับไปที่โลกเดิม เหรอคะ?”
“ครับ ขอฝากด้วยครับ”
“ทำไม่ได้ค่ะ”
ท่านเทพก้มหัวลงแล้วพูดออกมา
ฟังผิดเปล่าเนี่ย
“ทำไม่ได้ค่ะ ท่านเทพสูงสุดพึ่งได้ปิดประตูเคลื่อนย้ายไปเองค่ะ แถมถ้าปล่อยไว้แบบนี้ก็คงจะเจอตัวฉันกับคุณเข้าค่ะ สำหรับคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับเรื่องในคราวนี้เขียนไว้ในจดหมายที่อยู่ในชุดของคุณแล้ว ช่วยอ่านด้วยนะคะ”
ฟิ้ว แล้วร่างของหญิงสาวลอยขึ้นไปบนฟ้า
–เดี๋ยวสิ
“รอเดี๋ยวก่อน!”
ผมเรียกหญิงสาวให้หยุด
นอกจาก[อัญเชิญมาผิดพลาดค่ะ]แล้วก็ไม่ได้คำอธิบายอย่างอื่นเลย
“อย่างน้อยก็อธิบายเรื่องความสามารถหน่อยสิ! ถ้าถูกอัญเชิญแบบนี้ คนที่ถูกอัญเชิญก็ต้องได้ความสามารถสุดโกงใช่ไหมล่ะ!?”
ก็เป็นเรื่องที่ได้ยินมาบ่อยๆ
ถ้าบอกว่าต่างโลกแล้วมันก็ต้องมีอะไรแบบนั้น
“สกิลที่คุณได้นั้น ไม่มีสักอย่างเลยค่ะ”
หญิงสาวพูดออกมา
ในหัวผมว่างเปล่าไปหมด
“สกิลที่สามารถมอบให้คุณได้ด้วยความสามารถของฉัน ไม่มีสักอย่างเลยค่ะ”
“โกหกน่า…?”
ผมมองไปรอบๆ
ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เป็นป่า
ไม่รู้หรอกว่า่โลกใบนี้เป็นโลกแบบไหน ก็ชัดเจนล่ะว่าเป็นต่างโลก ถึงจะไม่รู้ว่ามีอสูรหรือเปล่า แต่ถึงไม่มีสถานการณ์ในตอนนี้ก็อันตรายอยู่ดี ไม่รู้ว่าคนอยู่ที่ไหน ไม่มีอาหารไม่มีน้ำ แค่เจอสัตว์ป่าในสถานการณ์แบบนี้ก็แย่แล้ว
“ไม่หรอกค่ะ”
เทพธิดารูเคียส่ายหน้าราวกับอ่านใจของผมได้
ส่วนเธอนั้นอยู่บนท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว
เห็นเป็นแค่เงาคนเล็กๆเหมือนตุ๊กตา
“ถ้าเป็นคุณ ถึงจะเป็นโลกใบนี้ก็รอดได้แน่ค่ะ ก็–คุณน่ะ–”
“อย่าพูดบ้าๆนะเฟ้ย!? จะไปทำได้ยังไงเรื่องแบบนั้น…?”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ร่างของเทพธิดาลอยสูงขึ้นไป จนมองไม่เห็น
เหลือผมไว้ในป่าเพียงคนเดียว
“…ถ้าเป็นความฝันหรือภาพลวงตา…ก็คงจะดีสิ…”
ผมนั่งลงเอาตัวพิงโคนต้นไม้
เอาไงดี
แม้แต่โลกใบนี้เองก็เป็นคนที่ไม่จำเป็นไปซะแล้วสิ…
ในโลกที่อยู่เดิม แผนกที่ทำงานอยู่ในบริษัทก็เอาแต่ส่งงานมาให้ผมทำแบบไม่จบไม่สิ้น
เพราะว่าเอาแต่ทำงานทั้งปีก็เลยไม่มีทั้งเพื่อนและหัวหน้าที่เป็นพวกเดียวกัน ถูกดูถูกดูแคลนอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ทนพยายามเพราะคิดว่าจะสามารถไปอยู่ระดับเดียวกันได้แท้ๆ…แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว
“แม้แต่โลกใบนี้ก็กลายเป็นคนที่ไม่จำเป็นซะแล้วสิ…”
อะไรกันเนี่ย
มันเป็นโชคชะตาของผมสินะ ถึงจะไม่ต้องการโชคชะตาแบบนี้ก็เถอะ
“อาหารกับน้ำ ก็พอมีอยู่”
ในถึงพลาสติกมีน้ำแร่ ช็อคโกแลต แล้วก็ข้าวปั้นที่พึ่งซื้้อมา
ข้างก็มีของที่ไม่ค่อยได้เห็นวางอยู่ ดาบ
จะว่าไปคุณเทพธิดาก็พูดไว้ว่า[จะมอบอาวุธให้]นี่นะ เจ้านี่งั้นเหรอ ถึงจะไม่เคยใช้ดาบเลยก็เถอะ…แต่ว่า ก็ยังเอามาเป็นอาวุธฟาดได้อยู่
ดาบถูกวางไว้คู่กับจดหมาย
พอลองอ่านดู…อืม–
[ที่ทำให้ต้องมาเดือดร้อนแบบนี้ ต้องขอโทษจริงๆค่ะ]
ให้ตายสิ
[เดิมที การอัญเชิญในครั้งนี้จะต้องเป็น“ดวงวิญญาณที่ตายทั้งๆที่อายุยังน้อย”ค่ะ
โลกใบนี้ในตอนนี้ ได้ถูกรุกรานโดยเหล่าอสูร จักรพรรดิที่สืบสายเลือดของมังกรก็ได้สูบเสียพลัง ความวุ่นวายกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
เพื่อที่จะแก้สถานการณ์ ท่านเทพสูงสุดจึงได้วางแผนที่จะรวบรวมดวงวิญญาณที่มีความสามารถมามอบสกิลให้
ฉันเองก็ถูกเชิญมาเข้าร่วมในฐานะเทพธิดาองค์หนึ่งค่ะ
นั่นก็คือ…เหตุที่ทำให้คุณถูกทำให้เข้ามาเกี่ยวข้องค่ะ
ต้องขออภัยจริงๆค่ะ
ขอโทษจากใจจริงๆค่ะ
เพื่อแทนคำขอโทษจึงได้คืนสภาพจิตใจและพลังกายของคุณกลับไปในช่วงที่เต็มที่ที่สุดค่ะ ถ้าให้พูดในแบบมนุษย์ ก็คือประมาณช่วงสิบกว่าปีค่ะ สามารถช่วยในการใช้ชีวิตได้มากแน่ๆค่ะ
แล้วพวกคนที่สะสมผลงานในฐานะผู้ถูกอัญเชิญที่ถูกต้อง ก็จะได้รับรางวัลพิเศษเป็นการที่สามารถกลับไปโลกเดิมได้ทั้งๆที่ยังคงมีความสามารถค่ะ
ดังนั้น ตอนที่กลียุคจบลง และมอบรางวัลพิเศษจะเป็นโอกาสค่ะ
ถ้าในตอนนั้นคุณยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะขอรับผิดชอบพาคุณกลับไปโลกเดิมเองค่ะ
แต่ว่าถ้าถูกเทพสูงสุดเจอก็จะถูกลงโทษ ดังนั้นจะอยู่ในขอบเขตที่ทำได้ค่ะ
แล้วในจดหมายนี้ยังมีกลไกอยู่อีกค่ะ
ถ้าเขียนคำถามในช่องว่างด้านล่าง ฉันจะสามารถตอบคำถามของคุณได้หนึ่งครั้งค่ะ เพียงแต่ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวคุณเท่านั้นนะคะ เกี่ยวกับข้อมูลของผู้ถูกอัญเชิญคนอื่นหรือข้อมูลประเทศอื่นคงจะบอกให้ไม่ได้ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
นี่คือคำขอโทษจากฉันที่ไม่สามารถมอบสกิลให้คุณได้ค่ะ
ขอให้มีชีวิตอยู่รอดได้นะคะ
ท่านคิริวโอ โชมะ
จากเทพธิดาลูเคีย]
…จะพูดอะไรก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยเถอะท่านเทพธิดา
แถมยังเขียนชื่อของผมผิดอีก
เมื่อกี้ก็บอกไปแล้วแท้ๆ ว่าชื่อคิริว โชมะ
“…จะอธิบายคร่าวๆก็ให้มันรู้เรื่องหน่อยเถอะ”
จะเรื่องของโลกใบนี้ก็ใช่ รู้แค่ว่ามีอสูร แล้วก็มีจักรพรรดิที่สืบสายเลือดของมังกรเท่านั้นเอง
ในส่วนท้ายของจดหมายเขียนทิศทางไปยังที่อยู่อาศัยของมนุษย์อยู่ ดูเหมือนจะสามารถคำนวนได้จากตำแหน่งของดวงอาทิตย์
ถึงจะอยู่กลางป่าลึก แต่ก็ยังพอจะรู้ได้ว่าแสงอาทิตย์ส่องมาจากทางไหน
หมู่บ้านอยู่ในทางที่พระอาทิตย์ตกลง…ทางนั้นสินะ
พอดูดีๆบนพื้นก็มีถนนแคบๆอยู่ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์เดินผ่าน
จากที่ท่านเทพธิดาบอกมา แค่ตามไปทางนี้ก็พอ
เพราะว่ามีถนนอยู่ แสดงว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ไม่ไกลนัก ถ้าไม่ไกลจริงๆก็ดีนะ…
“พลังกาย…กลับไปตอนอายุสิบกว่าจริงๆด้วยสินะ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ไหวแน่ๆ”
ก็ช่วงนี้งานเยอะจะไม่ค่อยได้เดินเท่าไหร่เลย
พื้นดินมันนิ่มจนเดินลำบาก ถ้าไม่ระวังเท้าจนทำให้ขาพลิกขึ้นมาล่ะก็จบเห่แน่
“…นี่ต้อง…ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆเหรอเนี่ย…?”
ผมหยิบดาบที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา
หนักกว่าที่คิด ความยาวประมาณเกือบ1เมตร หรือที่เรียกกันว่าดาบยาว ลองซอร์ด
ถึงจะถือลำบาก แต่ถ้าไม่มีเจ้านี้ถ้าเกิดเจอสัตว์ป่า–หรืออสูรขึ้นมาได้ตายจริงๆแน่
ไม่สิ ถึงจะมีก็ไม่ใช่ว่าจะรอดสักหน่อย แต่มีไว้กับไม่มีมันก็ต่างกันมาก
“ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดีเลย ตอนนี้คิดแค่เรื่องไปให้ถึงหมู่บ้านก่อนละกัน”
ถ้าทำไม่ได้ล่ะก็สิ้นหวังแน่
เพราะว่าท่านเทพไม่ได้ให้สกิลหรืออาวุธในตำนานอะไรมาสักอย่างเลย
…ไม่สิ ไม่ได้มาจริงๆเหรอ
ปกติเวลาแบบนี้ มันก็ต้องได้สกิลเทพๆสิ
“ลองทดสอบดูดีกว่า”
…จินตนาการ
ให้ราวกับกำลังดึงอะไรบางอย่างในตัวออกมา
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ…
“…เจอแล้ว”
หาเจอราวกับว่ามันต้องมีอยู่แล้ว ไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด
นี่มันคือ สกิลอย่างหนึ่งที่อยู่ในตัวของผม
[ภาชนะแห่งราชา]
สกิลที่แสดงถึงความใจกว้างของพระราชา
สามารถเก็บสิ่งของต่างๆเข้าไปได้
แล้วก็ยังมีความสามารถในการแปลภาษา ที่ได้มาเพราะ[ราชาจำเป็นต้องรับฟังคำพูดของประชาชน]
“…อะไรกัน สกิลเก็บของกับสกิลแปลภาษาเหรอ”
ถึงจะใช้ปกป้องตัวไม่ได้ แต่ก็ถือว่าช่วยได้มาก
ก่อนอื่นก็ใส่ถุงร้านสะดวกซื้อกับดาบไปก่อน
เจ้านี่ ใส่สิ่งมีชีวิตเข้าไปไม่ได้เหรอ…
เอาตัวเองใส่เข้าไปรอผ่านกลางคืนแล้วออกมาตอนเช้า…ดูเหมือนจะทำไม่ได้สินะ ถ้าทำได้ก็สบายเลย ข้อดีมีแค่ทำให้สามารถเดินตัวเปล่าได้สินะ
แต่ว่า ท่านเทพธิดา ก็เตรียมสกิลไว้ให้นี่นา
คงจะแอบๆเทพสูงสุดให้มาโดยความไม่แต่สินะ ชัวร์ๆ
…ก็น่าจะเป็นคนดีอยู่นะเนี่ย ถึงจะพลาดอัญเชิญผมมาก็เถอะ
“…หายโกรธํแล้วสิ”
ถึงจะยังไม่มีที่ไปในโลกนี้ก็เถอะ…แต่พอคิดดูให้ดี โลกเดิมก็ไม่ได้ต่างกัน
หลังจากลาออกจากงานแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อดี
ถึงจะยื่นใบลาออกไปเพราะทนไม่ไหวก็เถอะ แต่สุดท้ายก็มีแต่ต้องไปหางานใหม่อีกครั้ง
“…ในโลกทางนี้…ทั้งพลังกายและจิตใจก็กลับมาเป็นวัย10ปี สกิลปริศนาก็มา ก็ใช้ได้อยู่”
เผลอคิดไปไกลเลย
จะคิดมันก็ช่วยไม่ได้ ยังไงก็ต้องใช้สกิลเพื่อทำตัวรอดไปให้ได้
…ถ้าหา[เพื่อน]ได้ก็ดี
คุณเทพธิดาบอกเอาไว้ว่ามีการพา[ดวงวิญญาณหนุ่มสาวที่ตาย]มายังโลกใบนี้
ถ้าอย่าง ก็มีวิธีในการขอความช่วยเหลือจากคนพวกนั้นอยู่ ถ้าเป็นผมที่รู้เรื่องที่ถูกอัยเชิญมาล่ะก็ อาจจะสามารถพอช่วยเหลืออะไรได้ ถ้าเป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาถูกต้องก็ต้องสกิลโกงๆแน่ๆ ถ้าได้เป็นเพื่อนโอกาสที่จะรอดก็เพิ่มมากขึ้น
เพียงแต่ เพราะว่าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน ก็ควรจะรอบคอบไว้ก่อน–
“…คิดมากเกินไปแล้วสิ”
ที่ที่ผมอยู่ในตอนนี้คือ กลางป่า
ยังไงก็เดินต่อไปก่อน ถ้าผ่านถนนออกไปได้ ต้องเจอคนแน่ๆ
แล้วค่อยเล่าเรื่องราวแล้วหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้เอา
…น่ารำคาญจริงๆ
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะได้สกิลอมตะแล้วใช้ชีวิตชิวๆจังเลย…
ผมเริ่มเดินไปตามทางสัตว์ป่า
พอเดินไปสักพัก–
“…อสูร!?”
เห็นเงาแปลกๆอยู่ในที่ว่างกลางป่า ผมก็เลยหยุดยืนเฉยๆ
ถึงจะเข้ามาหลบอยู่ในเงาไม้แล้วก็เถอะ–แต่อีกฝ่าย ก็ยังไม่ขยับไปไหน
ขนาดเข้าไปใกล้ก็ยังไม่ตอบสนองอะไร ถึงจะจับก็ไม่ขยับ–
“…อะไรกัน…รูปปัั้นหินหรอกเหรอ”
เล่นเอาตกใจเลย
เลิกขู่กันได้แล้ว ถ้าเจออสูรเอาในเวลาแบบนี้ได้ตายแน่ ตายแบบแทบจะทันที…
“แต่ว่า ทำไมถึงมีรูปสลักมังกรในป่าแบบนี้ได้เนี่ย”
อีกฝั่งของต้นไม้ มีรูปปั้นหินรูปมังกรอยู่
ใหญ่ประมาณ1เมตร มังกรที่มีปีก–หรือก็คือมังกรตะวันตก อ้าปากกว้าง จ้องมาที่ถนนนี้ เป็นของที่เอาไว้ไล่อสูรงั้นเหรอ
“งั้นเหรอ…โลกนี้มีมังกรด้วยสินะ”
ก็บอกว่ามีอสูรนี่นะ
อืม พอมองขึ้นไปบนฟ้า–ก็เห็นสิ่งมีชีวิตสักอย่างที่กำลังกางปีกบิน ไม่ใช่นก ไกลเกินไป ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเลย แต่ว่าใหญ่ขนาดนั้นไม่ใช่นกแน่ๆ มีขายาวบินได้
ถ้ามีอะไรแบบนั้น ก็คงจะมีมังกรอยู่ด้วยแน่ๆ
“ถ้าไม่รีบไปต่อ เกิดเจออะไรแบบนี้ในป่าได้ซี๊แหงแก๋…”
เอาเป็นว่า โลกใบนี้มีมังกร…
แถมเป็นโลกที่บูชาอะไรอย่างมังกรด้วยสินะ
[โลกใบนี้มีมังกรอยู่]–ผมหยิบสมุดออกมาจาก[ภาชนะแห่งราชา]เพื่อจดไว้
ถึงจะเป็นรูปปั้นแปลกๆ แต่ก็เท่ดี…ทำเอาอยากดูต่อไปสักพัก…
แต่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอยู่เฉยๆ
การที่มีงานช่างแบบนี้แสดงว่าใกล้ที่อยู่อาศัยของคนแล้ว เหลืออีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น
“…นิดเดียวจริงก็ดีนะ”
ไม่อยากค้างแรมในที่แบบนี้เลย เชื้อเพลิงก่อไฟก็ไม่มี ที่ให้ซ่อนตัวก็ไม่มี
ถ้าเจออสูรในเวลาแบบนี้จบเห่แน่…
[…แก เปนคราย]
ได้ยินเสียง
แล้วก็มีเสียงแหวกหญ้าดังขึ้นมาตามมา
มีอสูรที่มีผิวสีดำออกมาจา่กในป่า
จบแล้วล่ะ
← ตอนก่อน