ตอนที่ 147-4 เข่นฆ่านองเลือด เต้นระบำเถอะ คนชั่ว

จำนนรักชายาตัวร้าย

‘ทำเอาเขาตาลายไปหมดเลย!’

 

 

เสิ่นถูปั๋วอี้ยิ้มจนตาหยีมือก็ลูบเคราของตนเองไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน โดยมิได้สนใจการเข่นฆ่าที่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย

 

 

จวบจนกระทั่งเสิ่นถูเลี่ยเดินเข้ามาตรงหน้าเรียกเขาว่า ‘บรรพชนเฒ่า’ นั่นแหละ เสิ่นถูปั๋วอี้ถึงได้สติขึ้นมา ที่แท้ภายในเวลาไม่นานนักรบของสกุลสุ่ยก็ถูกฆ่าตายจนหมดเรียบร้อยแล้ว

 

 

‘คนหนุ่มสาวเหล่านี้ช่างเก่งกาจจริงเชียว!’

 

 

“หา เสี่ยวเลี่ยเองหรือ! ไม่เลวๆ! เจ้าสำเร็จขั้นเพิ่มขึ้นอีกแล้ว!” เสิ่นถูปั๋วอี้พึงพอใจกับผู้สืบทอดตระกูลของตนคนนี้ยิ่งนัก

 

 

“ช้าก่อน”

 

 

เสิ่นถูปั๋วอี้ชี้ใช้มือคลำไปที่ท้องน้อยบริเวณที่มีลมปราณรวมอยู่ของเสิ่นถูเลี่ย พร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจไม่น้อย

 

 

“เจ้ากินอะไรเข้าไป?”

 

 

“ยาวิเศษที่เสี่ยวอวี้ปรุงให้กับข้าโดยเฉพาะ!” เมื่อเอ่ยถึงอวี้เฟยเยียน น้ำเสียงของเสิ่นถูเลี่ยก็อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

 

 

“เสี่ยวอวี้? ใครกัน? สาวที่เจ้าชอบ? จะพากลับไปที่จวนให้ครอบครัวได้รู้จักเมื่อไหร่กัน! โอ้——เสี่ยวเลี่ยของข้าโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ! เมื่อเร็วๆนี้พ่อของเจ้ายังบ่นอยู่เลย ว่าเจ้าไม่เอาไหนเรื่องความรัก ดูสิ เวลาผ่านไปเพียงไม่นานเองนะนี่! ดี ข้าสนับสนุนเจ้า!”

 

 

นับตั้งแต่ที่เสิ่นถูปั๋วอี้ได้เอ่ยปาก ก็ไม่เปิดโอกาสให้เสิ่นถูเลี่ยได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

 

 

จวบจนกระทั่งสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบกายเริ่มผิดแผกไปนั่นแหละ เสิ่นถูปั๋วเลี่ยถึงได้หยุดพูด หานจื่อเดินเข้าไปยืนข้างกายเสิ่นถูปั๋วอี้โดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย โดยที่เท้าข้างหนึ่งของมันเหยียบบนเท้าของเสิ่นถูปั๋วอี้อยู่!

 

 

“อ๋าว——”

 

 

เสิ่นถูปั่วอี่ถูกความเจ็บเล่นงานจนต้องปล่อยมือจากน้ำเต้าที่บรรจุสุราอยู่ แล้วใช้มือกุมเท้าพร้อมกับกระโดดไปมาเหย๋งๆ

 

 

“เจ้าๆ เพราะอะไรจึ้งลอบทำร้ายข้า”

 

 

           เสิ่นถูปั๋วอี้ผ่อนลมหายใจเพื่อบรรเทาความเจ็บ ในหน้าของเขาแดงก่ำ

 

 

“แม่นางน้อยของข้าคือดอกไม้ที่เจ้าของ เจ้าเลิกคิดไปได้เลย”

 

 

หานจื่อพองขนทั่วร่าง เมื่อครู่หานจื่อระแวดระวังในตัวเสิ่นถูปั๋วอี้ตลอดเวลา ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเขารู้จักกับเสิ่นถูเลี่ย มันถึงคลายความกังวลลงไป

 

 

ใครจะคาดคิดเล่าว่าคนที่มันเพิ่งจะยอมรับเป็นเพื่อนอย่างเสิ่นถูปั๋วอี้ออกมาได้ไม่ทันไร ก็เลื่อยขาเก้าอี้ซย่าโหวฉิงเทียนนายของเขาเสียแล้ว ใช้ได้ที่ไหนกัน! ไม่ได้เด็ดขาด!

 

 

“บรรพชนเฒ่า…” เสิ่นถูเลี่ยมีเหงื่อซึมออกมาที่ศีรษะมากมาย

 

 

ใครๆต่างก็คิดว่าปราชย์ราชันย์คือผู้วิเศษที่สูงส่งน่าเคารพนับถือน่าเกรงขาม แต่เสิ่นถูเลี่ยรู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นเสิ่นถูปั๋วอี้หรืออวิ๋นเฮ่อเทียนล้วนแต่เชื่อถือ ไม่ได้ทั้งสิ้น และการที่ท่านเที่ยวจับคู่เขากับคนอื่นเขาไปทั่ว มันน่าปวดหัวยิ่งนัก

 

 

“เสี่ยวอวี้ก็คือนาง!” เสิ่นถูเลี่ยชี้ไปที่สาวน้อยในชุดสีชมพูที่อยู่กลางเวหาอย่างเสียไม่ได้

 

 

“นางก็คือฮูหยินของประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น!”

 

 

“เสี่ยวเลี่ยเลี่ย เจ้าชอบหญิงที่มีสามีแล้ว?”

 

 

ได้ยินในสิ่งที่เสิ่นถูเลี่ยกล่าวออกมา ทำเอาเสิ่นถูปั่วอี้ตกตะลึงพรึงเพริด

 

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านสกุลหนานกงนั้น เสิ้นถูปั๋วอี้ก็ได้รับรู้มาบ้าง ซึ่งจากที่เห็นนี้ เขาก็คิดว่าเสิ่นถูเลี่ยคงจะเป็นสหายกับประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นนะสินะ!

 

 

“เสี่ยวเลี่ยเลี่ย เมียของเพื่อน ไม่ได้ พวกเราจะไม่กระทำเรื่องผิดศีลธรรม เจ้าว่าใช่หรือไม่!”

 

 

เมื่อเสิ่นถูปั๋วอี้กล่าวจบ สีหน้าของเสิ่นถูเลี่ยก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดทันที ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงสายตาสำรวจตรวจสอบจากคนรอบข้างที่มองมา ทำเอาเสิ่นถูเลี่ยแทบจะร้องไห้ออกมาทีเดียว

 

 

“บรรพชนเฒ่า ข้าเปล่าสักหน่อย——” เสิ่นถูเลี่ยกล่าวยังมิทันจบ เสิ่นถูปั่วอี้ก็เริ่มพูดเองเออเองฝ่ายเดียวทันที

 

 

“นี่คงจะเป็นรักแรกของเจ้าใช่หรือไม่! ไม่ถูกสิ รักแรกของเจ้าควรจะเป็นสาวน้อยแซ่อวิ๋นคนนั้นมิใช่หรือ?”

 

 

“จริงๆแล้วสาวน้อยอวิ๋นอี้คนนั้นก็ดีอยู่แล้วนี่นา นางยังเป็นคู่หมั้นคู่หมายกับเจ้าอีกด้วย เมื่อตอนเป็นเด็กนางยังเคยเห็นก้นของเจ้ามาแล้วด้วย พวกเจ้ายังเคยอาบน้ำด้วยกันมา เจ้าทั้งสองเหมาะสมกันยิ่งนัก!”

 

 

“เสี่ยวเลี่ยเลี่ย เจ้าจงอย่ากระทำเรื่องที่ผิดต่อเพื่อนเด็ดขาด มิฉะนั้นข้าจะเตะก้นเจ้าเอง!”

 

 

“อีกอย่าง ข้าตั้งใจที่จะรับสาวน้อยผู้นั้นเป็นศิษย์ ดังนั้นต่อไปนางจึงจะมีศักดิ์อาวุโสกว่าเจ้า เจ้าจะทำเรื่องที่ขัดต่อความอาวุโสและบทบาทหน้าที่ของเจ้าไม่ได้เด็ดขาด…”

 

 

ได้ยินบรรพชนเฒ่าเอ่ยถึงเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าของตนเองขึ้นมา เสิ่นถูเลี่ยก็รู้สึกอับอายจนแทบอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป

 

 

‘ข้ายังจะมีหน้าอยู่ต่อไปได้อีกหรือ!’

 

 

‘ยังมีอีก อะไรที่เรียกว่าเรื่องที่ขัดต่อศักดิ์และความอาวุโสกันนะ!’

 

 

‘บรรพชนเฒ่า ท่านจะหุบปากได้หรือยัง!’

 

 

‘มีที่ไหนกันบรรพชนเฒ่าที่เที่ยวเอาเรื่องไม่เกี่ยวข้องกันมาปะติดปะต่อกันจนวุ่นวายไปหมด น่าขายหน้าที่สุด! ก็ไม่รู้ว่าท่านสำเร็จถึงขั้นปราชญ์ราชันย์ได้อย่างไร!’

 

 

“บรรพชนเฒ่า ท่านเข้าใจผิดแล้ว! ข้ากับฉิงเทียนและเสี่ยวอวี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน! เพียงเท่านี้จริงๆ!” ในที่สุดเสิ่นถูเลี่ยก็อดรนทนไม่ไหว ก้าวออกไปเพื่อหยุดยั้งปากของเสิ่นถูปั๋วอี้

 

 

“ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดเสียหน่อย!”

 

 

คราวนี้ เสิ่นถูปั๋วอี้ถึงได้วางใจ

 

 

“ไม่เลว! เยี่ยมไปเลย!” 

 

 

ว่าแล้วเสิ่นถูปั๋วอี้ก็ตบที่อกของตนเองแล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ

 

 

“พวกเราลูกหลานสกุลเสิ่นถูล้วนแต่เป็นผู้ที่อ่อนหัดในเรื่องของความรัก หากว่าเจ้าไปชอบคนที่ไม่ควรชอบละก็ สุดท้ายคนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือตัวเจ้าเอง!”

 

 

ในขณะที่กล่าวประโยคเมื่อครู่นั้น วูบหนึ่งในแววตาของเสิ่นถูปั๋วอี้ฉายแววร้าวรานออกมา เมื่อเสิ่นถูเลี่ยเห็นเช่นนั้น จึงมิกล้าที่จะไป ‘บ่นว่า’ บรรพชนเฒ่าของตนเองอีก

 

 

เขาเคยได้ยินมาว่าเรื่องราวในอดีตของเสิ่นถูปั๋วอี้ สุดท้ายแล้วคนทั้งสี่ไม่มีใครมีความสุขเลยสักคน

 

 

“ดูนั่นเร็วเข้า!” ในตอนนั้นเอง ตี้อู่เฮ่ออี้ก็ชี้ไปที่กลางเวหา

 

 

ภายในกำแพงแก้ว ดาบในมือของสุ่ยเจ๋อซีร่วงลงที่พื้น ตามมาด้วยสุ่ยเจ๋อซีที่ทรุดกายคุกเข่าลง สายตาจ้องมองอวี้เฟยเยียนด้วยความแค้นเคือง

 

 

แต่ทว่าอวี้เฟยเยียนหาได้สนใจความเจ็บแค้นในดวงตาของเขาไม่ มือซ้ายและมือขวาของนางควบคุมไหมเงินเอาไว้ข้างละสิบห้าเส้นและตอนนี้นิ้วมือของนางก็กำลังเคลื่อนไหวอย่างอิสระเสรีและมีชีวิตชีวา

 

 

ขณะเดียวกันผู้ที่เคลื่อนไหวไปตามแรงสั่งการราวกับหุ่นกระบอกก็ไม่ปานนั่นก็คือสุ่ยเจ๋อซี เขาลุกยืนขึ้นมา

 

 

“อย่างนี้ก็ได้ด้วยหรือ——” ตี้อู่เฮ่ออี้ถึงกับอ้าปากค้าง ด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด อีกฝ่ายคือเทพอาวุโส แต่อวี้เฟยเยียนกลับสามารถควบคุมเขาเอาไว้ให้อยู่ภายใต้เงื้อมือ นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก!

 

 

“เจ้าทำอะไรกับข้า?!” สุ่ยเจ๋อซีมองเห็นเหตุการณ์ที่เบื้องล่างทุกอย่างตั้งแต่แรก

 

 

‘น่าโมโหยิ่งนัก!’

 

 

นักรบของสกุลสุ่ยถูกฆ่าตายแล้วทั้งหมดไม่มีเหลือ น่าเจ็บใจจริงๆ!

 

 

ครั้งนี้สกุลสุ่ยเสียหายอย่างใหญ่หลวง! ต่อให้สุ่ยฮั่วอีสำเร็จปราชญ์ราชันย์ แต่สกุลสุ่ยก็บาดเจ็บแสนสาหัส ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสามารถฟื้นคืน เพราะการที่ฝึกฝนยอดฝีมือที่เก่งกาจให้ได้สักคน ต้องใช้เวลานาน อาจจะสิบปี หรือว่ายี่สิบปี ตอนนี้ ยอดฝีมือที่สกุลสุ่ยสู้อุตส่าฝึนฝนมาด้วยความยากลำบากตายหมดไม่มีเหลือ ความพยายาม ความยากลำบากหลายในหลายปีที่ผ่านมาเท่ากับสูญเปล่า

 

 

“ข้าจะทำอะไรไรอย่างนั้นหรือ?” อวี้เฟยเยียนไม่อยากที่จะเสียเวลาพูดมากกับสุ่ยเจ๋อซีอีกต่อไป

 

 

“เต้นระบำเถอะ คนชั่ว!”

 

 

เมื่อนางกล่าวจบ สุ่ยเจ๋อซีก็เริ่มกางปีกเต้นระบำไปมาโดยมีอวี้เฟยเยียนควบคุมบงการ

 

 

แม้ว่าสุ่ยเจ๋อซีจะพยายามขัดขืน แต่ทว่ากลับยิ่งทำให้ตะขอที่ปลายเข็มเงินเกี่ยวเข้าไปแน่นมากขึ้น ราวกับถูกถลกหนังก็ไม่ปาน ทำเอาสุ่ยเจ๋อซีลนลานจนมิกล้าขยับตัว จึงได้แต่ขยับเขยื้อนตามคำสั่งของอวี้เฟยเยียน