ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 34 จดหมายอีกฉบับส่งถึงพรรคฉางเซิง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ซูหลีได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปยังเมืองฮั่นชิวซึ่งได้เปลี่ยนสวนหมื่นหลิวไปเป็นพื้นดินแห้งแล้งและปลดจูลั่วออกจากมรสุม

ข่าวนี้ยังไม่แพร่ออกไปทั่วต้าลู่เป็นการชั่วคราว

เพราะในตอนนี้ทั้งต้าลู่กำลังจดจ่ออยู่กับการสนทนากันเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการจากไปของซูหลีและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

แน่นอนว่าผู้ที่มีความสุขที่สุดก็คือพรรคฉางเซิง

ว่ากันว่าพรรคฉางเซิงเป็นต้นกำเนิดของสำนักมากมาย ดำรงอยู่เคียงข้างยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองต่างก็ถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแดนใต้ นอกจากนี้พรรคฉางเซิงก็ยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับราชวงศ์ต้าโจวและจวนอ๋องเหลียง และความสัมพันธ์กับตระกูลชั้นสูงทั้งหลายในแดนใต้ก็ล้มหลามนับไม่ถ้วนและไม่อาจตัดขาดได้ แข็งแกร่งอย่างเกินจินตนาการ

เป็นเช่นนี้มาจนกระทั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน มีความเปลี่ยนแปลงอันน่าตระหนกเกิดขึ้น พรรคฉางเซิงกักขังองค์หญิงเผ่ามารเอาไว้ในสระเยือกเย็น บังคับให้ซูหลีขึ้นเหนือ ลอบสังหารจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ซูหลีบุกขึ้นเขาพร้อมกระบี่เล่มเดียว ทว่าครั้นตระหนักว่าภรรยาของตนถูกพิษจนเจ็บไข้ อ่อนแอเกินกว่าย้อนกลับ เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมา หลังจากสังหารผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงไปสิบกว่าคน พรรคก็อาบไปด้วยเลือด หลังจากฟื้นฟูกลับมาจากอาการบาดเจ็บ เขาก็ขึ้นเหนือไปเมืองสวินหยางและสังหารทุกคนในจวนอ๋องเหลียงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ชื่อเสียงเรื่องความเหี้ยมโหดของซูหลีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งมาจากเหตุการณ์นี้

นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าไปล่วงเกินซูหลี ในขณะเดียวกัน พรรคฉางเซิงก็ไม่ได้มีเกียรติยศยิ่งใหญ่เหมือนเคยอีกต่อไป พรรคและตระกูลทั้งหลายต่างก็เริ่มหันหลังให้กับพรรคฉางเซิง ส่วนสถานที่อย่างสำนักกระบี่หลีซานก็รักษาเพียงมารยาทเบื้องหน้าเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงนั้นได้กระทำการตามใจตนเอง

สำหรับพรรคฉางเซิงนั้น ซูหลีนับว่าเป็นจอมวายร้ายที่ก่อให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

หากพวกเขามีความสามารถฆ่าซูหลีได้ คงลงมือไปนานแล้ว

แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจทำได้ ซูหลีก็กลับเลือกที่จะจากไปด้วยตัวเอง

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ แม้ว่าพรรคฉางเซิงจะมิได้จุดโคมสว่างไสว ก็นับว่าอารมณ์ดีมากทีเดียว บรรดาศิษย์ก้าวเดินด้วยฝีเท้าอย่างสบายใจ ส่วนพวกผู้อาวุโสที่ดิ้นรนอยู่หน้าประตูตายก็เริ่มเฉลิมฉลองให้กับชีวิตอันงดงามที่กำลังจะมาถึง

“สำนักกระบี่หลีซานเป็นกระบี่ของพรรคฉางเซิง เป็นธรรมดาที่เราจะกุมไว้ในมือ”

ระหว่างการลุกฮือของหลีซาน ประมุขตระกูลชิวซานพลันเปลี่ยนข้าง ผู้อาวุโสเหลียง[1]แห่งพรรคฉางเซิงถูกเขาทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนป่านนี้ก็ยังไม่หายดี จากนั้นถ้ำที่เขาอาศัยก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงใช้ประชุมกิจการกัน ผู้อาวุโสร่างผอมสูงผู้มีสีหน้าเฉยชาแต่หนักแน่นเป็นคนพูดประโยคข้างต้น

ผู้อาวุโสเหลียงนึกไปถึงประกายกระบี่มากมายเหนือเขาหลีซาน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “จะกลับไปสู่เกียรติยศที่เคยมีนั้นยากเย็นยิ่งนัก”

สิ้นคำเขากล่าว ทั้งถ้ำก็เงียบงันไป ในวันเวลานั้นไม่ว่าพรรคฉางเซิงจะมีคำสั่งใด ทั่วทั้งแดนใต้ก็จะทำตามเว้นก็เพียงยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น มีพรรคสำนักใดที่กล้าไม่เชื่อฟังบ้าง ทว่าช่วงหลายปีมานี้เล่า อย่าว่าแต่สำนักกระบี่หลีซานเลย แม้แต่ตระกูลชิวซานก็ยังกล้าวางแผนต่อต้านพรรคฉางเซิงมิใช่หรือ

“พลังชีวิตของพรรคนี้อาจจะลดทอนไปมาก แต่หลีซานจะดีกว่าสักเท่าไรกัน หลังจากเรื่องของผู้อาวุโสเสี่ยวซงกง พลังชีวิตของหลีซานก็ต่ำเตี้ยลงอย่างมาก คนพวกนั้นไม่อยู่รุ่นเดียวกับเราก็เป็นคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะพวกในหอกระบี่ต่างก็ได้รับผลสะท้อนจากค่ายกล ไม่มีใครที่บาดเจ็บสถานเบา ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่มีใครสามารถก้าวออกมารับมือสถานการณ์ได้”

“อย่าลืม ผู้ดูแลหลีซานในตอนนี้คือ…ชิวซาน”

“ชิวซาน…วีรบุรุษรุ่นเยาว์ โดดเด่นยิ่งนัก แต่ที่สุดแล้วก็ยังเยาว์มิใช่หรือ”

ผู้อาวุโสร่างผอมสูงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ไม่เพียงแค่เขาหลีซาน ยังมีสถานศึกษาหนานซี เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบันก็ยังเยาว์นัก…แม้จะมีศักดิ์มีศรี แต่ก็อายุเพียงสิบหก ยังไม่บรรลุขั้นรวบรวมดวงดาวด้วยซ้ำ ผู้อาวุโสในสำนักก็ช่วยเหลือนางจัดการเรื่องต่างๆ แทน ไม่ให้ผู้เยาว์ต้องรับผิดชอบมากเกินไป”

เมื่อพวกเขาฟังแล้ว ผู้อาวุโสเหลียงก็ไม่พูดอะไร แต่ผู้อาวุโสคนอื่นมีสีหน้ายินดี

ผู้อาวุโสเหลียงถอนหายใจกล่าว “แต่พวกเจ้าไม่มีใครคิดบ้างหรือว่าเราจะทำอย่างไรหากซูหลีกลับมา”

หลังจากเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสผอมสูงก็กล่าวเย้ย “ด้วยความภาคภูมิของซูหลี ก็ในเมื่อเขาประกาศต่อโลกว่าจะเดินทางไกลเช่นนั้น แล้วเขาจะไปไหนได้อีก เขากับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เตรียมตัวที่จะเดินทางไปยังอีกฟากของทะเลแห่งดวงดาวในตำนาน เหมือนกับที่เราคาดคิดกันไว้เมื่อหลายวันก่อน แล้วเข้าจะยังกลับมาได้อีกหรือ”

ผู้อาวุโสเหลียงมองดูเขาและกล่าวอย่างจริงใจ “แต่ถ้าตำนานเป็นเรื่องจริงเล่า หากเขาพบดินแดนเซิ่งกวงขึ้นมาจริง ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีวันที่เขาจะกลับมา”

ประกายความกลัวฉายขึ้นในดวงตาของผู้อาวุโสผอมสูง แต่ก็ยังยืนยันคำพูดอย่างหนักแน่น “ข่าวลือว่าโจวตู๋ฟูทลายกำแพงจากไป เขาเองก็คงจะไปที่แห่งนั้น แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะพบได้…อย่างน้อยก็ไม่เห็นว่าเขาจะกลับมา ซูหลีอาจจะแข็งแกร่งแต่มีหรือจะเหนือไปกว่าโจวตู๋ฟูได้”

ผู้อาวุโสคนอื่นก็เห็นด้วยกับเหตุผลนี้ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลไป ซูหลีคงไม่กลับมาแล้ว”

แม้เป็นฤดูหนาวแต่พรรคฉางเซิงอยู่ในแดนใต้จึงยังอบอุ่นอยู่ ไม่มีหิมะตกบนภูเขา มีเพียงสายฝนโปรยปรายมากขึ้น ดูราวกับการบอกลาอย่างเป็นสุข

ซูหลีจากไป ไม่รู้จะกลับมาหรือไม่ หรือจะสามารถกลับมาได้หรือไม่ก็ไม่รู้ กระนั้นก็ตาม จดหมายของเขามาถึงแล้ว

เมื่อพวกเขามองดูจดหมายบนโต๊ะ ไม่มีใครขยับหรือพูดอะไรเป็นเวลานาน

ผู้อาวุโสทั้งสามซึ่งอยู่ที่โต๊ะต่างก็มีสีหน้ารังเกียจเป็นที่สุด ประหนึ่งว่ากำลังมองปีศาจร้ายที่ไต่ขึ้นมาจากนรกขุมที่ลึกที่สุดก็มิปาน

ถ้ำนั้นเงียบงันราวป่าช้า ไม่มีใครพูด มีเพียงเสียงน้ำหยดลงจากหินย้อยในส่วนลึกของถ้ำเท่านั้น

พวกเขาฟังเสียงน้ำหยด ผู้อาวุโสผอมสูงหน้าขาวซีดผิดปกติ แสดงให้เห็นว่าเขานั้นพบกับปัญหาหนักเพียงใด

สีหน้าของผู้อาวุโสเหลียงก็ซีดขาวเช่นกัน เข้าอ้าปากทีหุบปากที ทว่าไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา

ไม่มีชื่ออยู่บนจดหมาย หรือแม้แต่ตัวอักษรใดๆ แต่เมื่อมองดู ก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่น่ากลัว ชวนให้รู้สึกเจ็บปวด

จดหมายนี้บรรจุไว้ด้วยเจตจำนงกระบี่ เจตจำนงกระบี่ของซูหลี

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ความเงียบงันในถ้ำก็ยุติลงในที่สุด ผู้อาวุโสผอมสูงตะโกน “เขาต้องการจะทำอะไร คิดว่าแค่จดหมายฉบับเดียวก็จะทำให้พวกเรากลัวจนตายได้เช่นนั้นหรือ”

พูดไปหน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงราวกับไม้ไผ่ที่ถูกไฟเผา สามารถระเบิดออกได้ทุกเวลา

เขาโกรธเป็นอย่างยิ่ง โกรธจนปอดแทบจะระเบิดออกมาแล้ว

แต่น้ำเสียงเขาก็ฟังดูแปร่งๆ เพราะเขารู้สึกกังวล

ต้องยอมรับว่าถึงแม้ซูหลีจะจากไปไกลแล้ว ทว่าจดหมายที่เขาทิ้งไว้ก็ยังทำให้พรรคฉางเซิงตกใจกลัวได้

อันที่จริงแล้วนี่คือสาเหตุของความโกรธที่เขามี

คนอื่นมองดูผู้อาวุโสเหลียงและถามด้วยความกังวล “ศิษย์พี่พวกเราจะทำอย่างไรดี จะเปิดมันหรือไม่”

เสียงหัวเราะแหบแห้งดังก้องในถ้ำอย่างฉับพลัน

ผู้อาวุโสเหลียงจ้องมองจดหมายนั้น ใบหน้าซีดขาวของเขาเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง ครั้นมองไปยังสิงขรเขียว ทะเลเมฆและสายฝนเย็น ประกายความบ้าคลั่งก็ฉายขึ้นในดวงตา เขาตะโกนหาซูหลีที่จากไปยังที่แห่งใดก็ไม่ทราบ “ส่งจดหมายมาเพื่อที่เจ้าจะได้รอให้พวกเราเปิดมันออกและสู้กับเจตจำนงกระบี่ของเจ้า…คิดว่าพวกเราโง่เช่นนั้นหรือ”

ผู้อาวุโสผู้นั้นถามว่าจะเปิดจดหมายดีหรือไม่ สำหรับเขาที่อยู่ใต้เงาของซูหลีมาสิบกว่าปีแล้วรู้สึกว่านี่ไม่ใช่คำถามด้วยซ้ำไป

จดหมายนี้ย่อมไม่อาจเปิดได้อย่างแน่นอน

เพราะเขาไม่อยากตาย

“ให้คนนำจดหมายนี้ไปยังธารน้ำตีนเขาและใช้ค่ายกลสะกดมันเอาไว้อย่างระวัง!”

ผู้อาวุโสเหลียงหรี่ตาลงเล็กน้อยและกล่าว “ข้าอยากรู้เหลือเกินกว่าเจตจำนงกระบี่ของซูหลีจะอยู่ได้นานสักเพียงไรในค่ายกลใหญ่แสงทอง”

ผู้อาวุโสผอมสูงพยักหน้าให้กับคำพูดของเขา ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็คิดถึงคำถามสำคัญอีกข้อหนึ่งขึ้นมาได้ จึงขมวดคิ้วถามขึ้น “แต่…มันคงไม่กระทบกับฉูซูใช่ไหม”

เมื่อได้ยินชื่อ “ฉูซู” ผู้อาวุโสก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาในทันที

[1]ผู้อาวุโสเหลียง ก่อนหน้านี้เรียกว่าผู้อาวุโสเจียง