“มีค่ายกลใหญ่แสงทองป้องกันเส้นทางแห่งจิตไว้ ก็ไม่มีเรื่องภายนอกจะมาส่งผลกระทบต่อการฝึกบำเพ็ญเพียรของฉูซูได้”
ผู้อาวุโสเหลียงกล่าวต่อ “ในทางกลับกัน ข้าต้องใช้ค่ายกลเพื่อสะกดเจตจำนงกระบี่ของซูหลี ครั้นแล้วหลังจากบดขยี้จนแหลกด้วยภูเขาจำนวนมากแล้ว ข้าจะส่งมันให้ฉูซูได้ทำความเข้าใจ!”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสอีกสองคนก็รู้สึกโล่งอก คิดดูแล้วหากพวกเขาสามารถทำลายเจตจำนงกระบี่ของซูหลีและส่งให้ฉูซู บางทีฉูซูอาจจะออกมาสู่โลกได้เร็วขึ้นกว่าที่ประมุขพรรคคำนวณไว้ก่อนตายอีกหลายปี ถึงตอนนั้นพรรคฉางเซิงก็จะรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง!
ในตอนที่พวกเขากำลังฝันถึงอนาคตอันสดใส ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
จดหมายบนโต๊ะเริ่มสั่นอย่างรุนแรง
จดหมายฉีกขาดเสียงดังแขวก แปรเปลี่ยนเป็นผีเสื้อกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
จดหมายของซูหลีจำเป็นต้องให้คนมาช่วยเปิดด้วยอย่างนั้นหรือ เจตจำนงกระบี่ที่เขาทิ้งไว้ราวกับเป็นของวิเศษจะต้องอาศัยการกระตุ้นด้วยหรือ
เขาอยากจะให้ผู้คนในพรรคฉางเซิงได้เห็นจดหมายนี้ เห็นกระบี่นี้ เช่นนั้นไม่ว่าจะมีใครเปิดจดหมายนี้หรือไม่ เขาก็ต้องให้อีกฝ่ายได้ยล!
เจตจำนงกระบี่พุ่งขึ้นมา ฟาดฟันลงอย่างเกรี้ยวกราดและรวดเร็ว!
เสียงคำรามโหยหวนของกระบี่ดังก้องไปทั่วถ้ำ คล้ายกับเสียงโหยหวนด้วยความทรมานที่กลายเป็นความเงียบงัน
เจตจำนงกระบี่ที่รุนแรงและรวดเร็วทำลายทุกอย่างที่สัมผัสต้อง
คือ กระบี่ของผู้อาวุโสทั้งสามที่มีการบำเพ็ญเพียรลึกล้ำ
ถ้ำพรรคฉางเซิงอันไม่เคยถูกทำลายนานนับหมื่นปี
พฤกษาเลื้อยเติบโตอยู่ลึกเข้าไปในคูหา
ชลใสหยดลงจากเถาวัลย์
สายลมไร้รูปอันเกิดจากการไหลของอากาศ
ในชั่วพริบตา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ถูกเจตจำนงกระบี่ตัดหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หมอกโลหิตลอยขึ้นในอากาศ น่าสยดสยองแต่ก็แฝงไว้ด้วยความงดงามจับจิต
กระบี่สามเล่มถูกหั่นเป็นสิบกว่าชิ้น
ร่างของผู้อาวุโสเหลียงเต็มไปด้วยรอยกระบี่นับสิบ นอนเค้เก้อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ครั้นเห็นเจตจำนงกระบี่พุ่งออกจากถ้ำ ใบหน้าซีดขาวของเขาก็เผยความประหลาดใจและสำนึกผิดอย่างไม่สิ้นสุด เขาที่เกือบสิ้นชีพรวบรวมกำลังที่เหลือและตะโกน “รีบปิดค่ายกลใหญ่!”
เมื่อผู้อาวุโสอีกสองคนได้ยินเสียงร้องนี้ก็ตระหนักได้ถึงปัญหา ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาไร้กำลังที่จะหยุดเจตจำนงกระบี่ไม่ให้บินขึ้นสู่ท้องฟ้า แขนของพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเจตจำนงกระบี่ โลหิตอาบเอิบทั่วร่างไร้เรี่ยวแรงจะลุกยืน
เจตจำนงกระบี่กลายเป็นประกายแสงเจิดจ้างดงาม ลอยลงจากภูเขาอย่างรวดเร็ว ข้ามประตูของพรรคฉางเซิงพุ่งตรงไปยังธารภูเขาอันห้อมล้อมไปด้วยหมอกเมฆี
เสียงระเบิดที่น่ากลัวและดังกึกก้องไปทั่วทั้งเทือกเขา หลังคาแสงปกคลุมยอดเขาสิบกว่ายอดในรัศมีหลายร้อยลี้
นี้คือค่ายกลพิทักษ์พรรคของพรรคฉางเซิง
ไม่นานจากนั้น เสียงโลหะเสียดสีกันที่ชวนเสียวฟันจำนวนนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้นจากธารภูเขา ลำแสงสีทองจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมา ทะเลเมฆก็พลุ่งพล่านปั่นป่วน
ลึกลงไปในธารภูเขามีเสียงร้องที่ยังไม่เติบใหญ่แต่เปี่ยมความเกลียดชัง
เสียงนั้นเฉกเสียงมนุษย์ ทว่าคล้ายเสียงวิหคเช่นกัน หรือแม้แต่กระทั่งเสียงเครื่องจักรบางชนิด
“ฉูซู! ฉูซู!”
เสียงหวีดหวิวของกระบี่ดังแหลมคมขึ้นอย่างฉับพลัน!
เสียงนั้นค่อยๆ จางลง กระทั่งเงียบงันไม่อาจได้ยิน
……
……
แม้จะเป็นเวลาดึกแล้วแต่ผู้คนมากมายก็ยังไม่ได้นอนหลับ
บ้างอาจเพราะกำลังตกหลุมรักบางคน บ้างก็อาจเป็นเพราะกำลังเกลียดชังบางคน บ้างก็เป็นเพราะกำลังคิดถึงบางคน และก็มีบางคนที่กำลังคิดถึงอาหารอร่อย
ก่อนเข้านอน เซวียนหยวนผ้อได้กินเป็นย่างถังจิ่งเป็นของว่างมื้อดึก ทว่าหลังจากนอนลงบนเตียงได้ไม่นานนักก็หิวขึ้นมาอีก คนเราจะนอนทั้งที่ยังหิวได้อย่างไรกัน
เขาเดินไปที่ครัวข้างทะเลสาบ ตั้งใจจะเอาปูดองที่ดองไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนมากิน
ระหว่างเดินไปที่ครัว ก็ตระหนักว่าไฟในเตาดับแล้ว เขาไม่สนใจหรือคิดจะจุดขึ้นมาใหม่ แม้ในความมืดยามวิกาล เขาก็สามารถเดินไปถึงจุดที่วางโหลดองไว้ได้อย่างแม่นยำ
ภายในโหลซึ่งดูธรรมดานั้นบรรจุไว้ด้วยปูดองที่ไม่ธรรมดา
เขาได้ใช้กุ้งมังกรครามที่มีมูลค่าสูงหาใดเปรียบแทนปู ดังนั้นจึงน่าจะเรียกว่ากุ้งมังกรดองมากกว่า
เขาคือหัวหน้าฝ่ายงานบ้านของสำนักฝึกหลวง ดังนั้นเขาจึงมีความสัมพันธ์อันดีกับพ่อครัวหอเฉิงหู จึงเป็นธรรมดาที่เขาไม่เคยขาดของกิน แต่การกินของที่หรูหราจนเรียกได้ว่ากินล้างกินผลาญเช่นนี้ หากเฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วรู้เข้าคงต้องมีเรื่องใหญ่เป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงไม่ให้ใครรู้เรื่องกุ้งมังกรดองเด็ดขาด เก็บซ่อนโหลดองเอาไว้อย่างดี
ยิ่งลักลอบกินเท่าไหร่ก็ยิ่งอร่อยมากขึ้นเท่านั้น
เซวียนหยวนผ้อไม่เข้าใจเรื่องราวมากมายในโลกนี้ แต่เขารู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน เมื่อเอื้อมมือออกไปหาโหลดอง แทบจะได้กลิ่นเค็มของกุ้งมังกรดองและความหอมหวานที่อยู่ในเนื้อ สัมผัสอันละเอียดอ่อนซึ่งค่อยๆ เคลือบลิ้นของเขา…
แต่ทว่า…มือของเขากลับสัมผัสได้แต่ความว่างเปล่า
โหลดองที่ควรอยู่ตรงนั้นกลับหายไป หายไปทั้งหมดเลย แน่นอนว่ากุ้งมังกรดองที่อยู่ในโหลก็ย่อมหายไปด้วยเช่นกัน
เซวียนหยวนผ้อโกรธเกรี้ยวเต็มหัวใจ ประกายสายฟ้าเรียวบางจำนวนมากผุดขึ้นบนนัยน์ตา ผมหยักศกยุ่งเหยิงของเขาเริ่มส่งเสียงปะทุขึ้นมา
โลกเบื้องหน้าของเขาเปลี่ยนจากความมืดมิดเป็นสว่างเจิดจ้า ปรากฏภาพของห้องครัวปรากฏชัดเจน
ไม่เพียงแค่โหลดอง หม้อ ชาม ตะเกียบ ไม้ฟืนแม้แต่เตาในครัวก็ยังถูกหั่นเป็นชิ้นๆ กองอยู่บนพื้น
มีเศษอาหารคราบมันกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นดูสกปรกเหลือจะกล่าว
เซวียนหยวนผ้อโกรธหนักกว่าเก่าแต่ก็ระมัดระวังขึ้นกว่าเดิม เกิดอะไรขึ้น ใครกันที่แสดงเจตจำนงกระบี่ที่น่าตื่นตระหนกเช่นนี้
ทั้งห้องเต็มไปด้วยสิ่งของที่ถูกตัดหั่นด้วยเจตจำนงกระบี่ มีเพียงกระบี่มหาสมุทรขุนเขาเท่านั้นที่ยังคงอยู่กลางกองไม้ฟืน
เซวียนหยวนผ้อคว้ากระบี่มหาสมุทรขุนเขา ตามรอยที่เหลืออยู่ไปเพื่อค้นหาเจตจำนงกระบี่ เขาตระหนักว่ามันอยู่ในเตาไฟ ติดอยู่กับขี้เถ้าสีสันต่างๆ อย่างอ่อนจาง
ขี้เถ้านี้ดูไม่เหมือนว่าจะเกิดจากการเผาไหม้ของไม้ฟืน แต่น่าจะเป็นกระดาษเสียมากกว่า
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ใช้กระบี่มหาสมุทรขุนเขาสะกิดก้อนขี้เถ้าเบาๆ
ก้อนขี้เถ้าแตกกระจายในทันที
ความเย็นเยียบเกินจินตนาการห่อหุ้มห้องนี้เอาไว้โดยพลัน
ร่างกายของเซวียนหยวนผ้อแข็งทื่อ หายใจลำบาก หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกถึงอันตรายอย่างรุนแรง
ความเย็นและอันตรายนี้ไม่ได้ลอยขึ้นมาจากก้อนขี้เถ้าที่เพิ่งสลายไป หากแต่มาจากด้านหลังของเขา จากเบื้องหลังกำแพงสำนัก
เป็นความอึดอัดหนาวเย็นของมหาสมุทรที่ลึกที่สุด
คลื่นสีเขียวครามไร้สิ้นสุดคือมหาสมุทรแห่งความตาย
เซวียนหยวนผ้อเหงื่อตก ก่อนเหงื่อจะทันทำให้เสื้อเปียกชุ่ม ก็กลายเป็นน้ำแข็งไปด้วยความเยือกเย็นดุจความตาย
นักพรตหญิงชรามองสำนักฝึกหลวงในความมืดมิดพลางก้าวไปข้างหน้า
น้ำแข็งสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนกำแพง จากนั้นก็สลายกลายเป็นฝุ่นอย่างไร้เสียง
ภาพนี้เหมือนกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย
กำแพงสำนักพังทลายและที่อยู่ตรงหน้าของนางก็คือครัว จากนั้นห้องครัวก็พังทลายลงอย่างเงียบงัน
เซวียนหยวนผ้อถือกระบี่มหาสมุทรขุนเขายืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ร่างกายสั่นสะท้านไม่ยอมหยุด
นั่นเพราะเขาหวาดกลัวอย่างยิ่ง
แม้เขาจะกล้าหาญมาก ก็ยังหวาดกลัวอย่างยิ่ง
คนที่มามีความแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้ ไอปราณอันเย็นเยียบแผ่สัมผัสปานจะดับสรรพชีวิตลง
ในบ้านเล็กข้างทะเลสาบ
เจ๋อซิ่วลืมตาขึ้น
เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น
ทั้งสองต่างก็สัมผัสได้และเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเหลือจะพรรณนา
……