กำแพงสำนักพังทลายลงอย่างเงียบงันและนักพรตหญิงชราก็เยื้องย่างเข้ามาผ่านรอยแตก
ทุกก้าวที่นางเหยียบย่ำจะแผ่ไอปราณอันทรงพลังประดุจอำนาจมหรรณพ ปกคลุมไปทั่วสำนักฝึกหลวงในทันที
พวกนักเรียนในหอพักยังคงหลับอยู่ พวกทหารนิกายหลวงที่ลานด้านข้างก็ไม่อาจสัมผัสมันได้
ภายในบ้าน เฉินฉางเซิงและพวกสัมผัสได้ก่อนแล้ว เพราะนักพรตหญิงชราปรารถนาที่จะปลุกพวกเขาขึ้นเพื่อให้จดจำสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
พวกเขาลืมตาขึ้นและสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่เงียบงัน รู้สึกเหมือนตกลงไปอยู่ในห้องเก็บน้ำแข็ง ความง่วงเหงาหาวนอนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หน้าต่างบ้านถูกเปิดทีละบาน เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของพวกเขา
พวกเขามองไปยังนักพรตหญิงชราอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ
ครั้นมองไปที่นักพรตหญิงชรา รัศมีแห่งการดับสิ้นกลายเป็นรัศมีของความตายและความหวาดกลัวอันมิสิ้นสุด
นักพรตหญิงชรานั้นแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนพวกเขามิอาจจะรวบรวมพลังใจไปต่อต้านได้
เมื่อถังซานสือลิ่วเห็นนักพรตหญิงชรา ก็นึกถึงตอนที่ท่านปู่ของเขาโกรธขึ้นมา ทั่วทั้งเวิ่นสุ่ยสั่นสะเทือนไปสามรอบ เจ๋อซิ่วนึกไปถึงตอนที่เขายังเด็กไม่นานหลังจากที่ถูกขับออกจากเผ่า ได้เห็นยักษ์ล้มภูเขาขนาดมหึมาจากระยะไกล รวมถึงร่างเตี้ยที่น่าหวาดกลัวซึ่งนั่งอยู่บนมงกุฎของมัน
ซูม่ออวี๋หน้าขาวซีดผิดปกติ ด้วยรู้ว่านักพรตหญิงชราผู้นี้เป็นใคร
ในเวลานี้เป็นธรรมดาที่เฉินฉางเซิงจะคิดไปถึงมรสุมที่เมืองสวินหยาง เขารู้สึกตกใจที่นักพรตหญิงชราผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ว่าตามเหตุผลแล้วด้วยฐานะของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาในนครจิงตู ทว่าบัดนี้ เขาปราศจากความมั่นใจเช่นนั้นเพราะนักพรตหญิงชราผู้นี้หาใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้แต่ใต้เท้าสังฆราชก็ยังต้องไว้หน้านางอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นนางในตอนนี้ยังแผ่ความรู้สึกดับสิ้นออกมาอย่างชัดเจน
พันเขาดับสิ้นนกบินข้ามดับชนม์ ขจัดหมื่นถนนรอยเท้าคนอันตรธาน[1]
นางมองทุกชีวิตในโลกไม่ต่างจากหมูหมากาไก่ ใครกันที่นางมิกล้าฆ่า
ในตอนนั้นเองเสียงซูม่ออวี๋ก็ดังขึ้น เขาถามนักพรตหญิงชราอย่างตกใจ “ท่านป้า ท่านจะทำอะไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินฉางเซิงและพวกก็ได้ข้อสรุปสำหรับการคาดเดาของพวกเขาและรู้ว่าคนที่มาเป็นใครกันแน่
สีหน้าถังซานสือลิ่วมิได้เปลี่ยนไป แต่นิ้วมือที่กุมขอบหน้าต่างเอาไว้ขาวซีด
สีหน้าเจ๋อซิ่วมิได้เปลี่ยนไป ทว่านิ้วมือขวาคลายออกจากไม้เท้า เลื่อนมาคว้าจับด้ามกระบี่แทน
ในที่สุดนางก็มา ยอดฝีมือที่ประคบประหงมลูกชาย ปัดความผิดไปให้ผู้อื่น โมโหง่าย ชอบการฆ่าฟันและยังมีชื่อเรื่องอารมณ์แปรปรวน ในที่สุดก็มาแล้ว
อู๋ฉยงปี้ หญิงเพียงคนเดียวในแปดมรสุม
สามีของนางคือเปี๋ยยั่งหง เป็นแปดมรสุมเช่นเดียวกัน
ลูกชายคนเดียวของพวกเขาก็คือเปี๋ยเทียนซิน
คงพอจะจินตนาการกันได้ว่าลูกชายคนเดียวของคู่รักแปดมรสุมจะถูกเลี้ยงขึ้นมาเช่นไร
เปี๋ยเทียนซินใช้ทั้งชีวิตลอยไปตามมรสุมมาตลอดจนกระทั่งหลายเดือนก่อน ตอนที่เขามาพบกับเฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วด้านหน้าสำนักฝึกหลวง
ในตอนนั้นซูม่ออวี๋ได้เตือนพวกเขาว่าสำนักฝึกหลวงอาจจะพบเจอกับปัญหาเช่นนี้
เฉินฉางเซิงไม่ใส่ใจ คิดว่าสำนักฝึกหลวงไม่ได้ทำอะไรเปี๋ยเทียนซินจนเกินไป ด้วยศักดิ์ฐานะของอู๋ฉยงปี้ไม่มีความจำเป็นที่นางจะมาสร้างความลำบากให้แก่พวกเขา
กระทั่งในตอนที่เห็นนักพรตหญิงชราอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบนั่นเอง เขาจึงเข้าใจได้ในที่สุดว่าผู้ที่อยู่สูงทุกคนใช่ว่าจะอยู่เหนือโลกไปเสียหมด ไม่ใช่ว่าพวกเขาทุกคนจะมีจิตใจที่จะหลุดพ้นจากเรื่องทางโลก
“ผู้อาวุโส….มายังสำนักฝึกหลวงกลางดึกมิทราบว่ามีคำสั่งสอนใดจะชี้แนะ”
เขามองไปที่นักพรตหญิงชรา ถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง เป็นผู้สืบทอดที่ได้รับแต่งตั้งของใต้เท้าสังฆราช ในแง่ของศักดิ์ฐานะ เขาหาได้ต่ำไปกว่านักพรตหญิงชราผู้นี้ไม่ ดังนั้นเมื่อพูดกับนาง เขาจึงพูดด้วยความสงบอย่างยิ่ง
นักพรตหญิงชราถามกลับด้วยสีหน้าไม่แยแส “เจ้าคือเฉินฉางเซิงเช่นนั้นหรือ”
นับตั้งแต่ออกจากซีหนิงมาถึงจิงตู เฉินฉางเซิงก็ได้ยินคำถามเช่นนี้มานับไม่ถ้วน
บางครั้งก็น่ารำคาญไม่น้อย เช่นครั้งที่เขาพบเจอเข้ากับผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู บางครั้งก็เป็นเกียรติเหมือนกับตอนที่เขาพบจูลั่วนอกเมืองฮั่นชิว
นักพรตหญิงชราที่ถามคำถามนี้มีฐานะเท่าเทียมกับจูลั่ว ทว่าเขารู้ว่านี้หาใช่เป็นเกียรติหากแต่เป็นอันตราย
นักพรตหญิงชราประกาศด้วยสีหน้าเฉยชาตัดสินเป็นตายไปเรียบร้อยแล้ว “อีกเดี๋ยวข้าจะสังหารคนผู้นี้”
ในยามที่นางกล่าว สายตาจับจ้องไปที่เฉินฉางเซิงแต่ชี้ไปที่หลังของเซวียนหยวนผ้อ
ร่างกายของเซวียนหยวนผ้อสั่นเล็กน้อย ทว่าภายใต้แรงกดดันที่น่าหวาดกลัวนี้ เขากลับไม่อาจที่จะหันกลับหรือวิ่งหนีไปได้
“ข้ายังจะทำบางอย่างให้พวกเจ้าได้เห็นอีกด้วย”
ตลอดเวลานี้นักพรตหญิงชราไม่ได้มองไปที่เซวียนหยวนผ้อและห้องครัวที่เหลือแต่ซากนั่น
ในสายตาของนาง เซวียนหยวนผ้อเป็นคนที่ตายไปแล้ว
คืนนี้นางได้จัดเตรียมแผนมากมายไว้สำหรับเด็กน้อยในสำนักฝึกหลวงเหล่านี้และได้ตัดสินชีวิตพวกเขาเอาไว้แล้ว
เจ๋อซิ่วได้รับความชื่นชมอย่างมากจากขุนพลเทพแห่งต้าโจว ดังนั้นเจ้าลูกหมาป่านี่ทำได้แค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ตัดแขนหรือขาสักข้างก็น่าจะพอ
นางจะไม่ฆ่าเฉินฉางเซิงหรือถังซานสือลิ่ว เพราะต่อให้คนที่แข็งแกร่งเช่นนางก็ไม่อยากจะล่วงเกินนิกายหลวงหรือตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย
ทว่านี่ไม่ได้หมายความว่านางจะปล่อยพวกเขาไป
นางจะทุบตีเจ๋อซิ่วจนพิการต่อหน้าเขาและจะสังหารเจ้าครึ่งมนุษย์นั่นช้าๆ
นางต้องการให้พวกเขามองดูเพื่อนหลั่งเลือดโดยที่พวกเขาไร้ซึ่งกำลังจะทำอะไรได้
นางอยากให้พวกเขาประจักษ์ว่าความไร้กำลังไร้ความหวังที่แท้จริงเป็นอย่างไร
นางเชื่อว่าหลังจากนี้พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์ทนยิ่งกว่าตกตายเสียอีก
นี่เป็นเรื่องดีมาก นางมาที่นี่เพื่อสั่งสอนพวกเขา ดังนั้นนางก็จะส่งสอนให้ฝังลึกลงไปจนไม่อาจลืมลง
ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าเด็กน้อยจากสำนักฝึกหลวงเหล่านี้จะต่อต้านหรือไม่…นางไม่เอามาคิดด้วยซ้ำ ว่ากันว่าเด็กน้อยเหล่านี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง แต่แล้วจะทำไมกันเล่า อย่าว่าแต่ประกาศชิงอวิ๋นหรือประกาศเตี่ยนจินเลย หากเป็นรุ่นเยาว์อย่างหวังผ้อหรือเซียวจาง นางยังพอจะเหลือบแลบ้าง ส่วนเจ้าเด็กน้อยพวกนี้จะมีค่าอะไรกัน
หากเป็นผู้เยาว์คนอื่น หลังจากได้สัมผัสถึงไอปราณแข็งแกร่งน่าหวาดกลัวเช่นนี้และยังรู้ถึงศักดิ์ฐานะของนักพรตหญิงชรา คงต้องยอมละทิ้งการขัดขืนทั้งปวง เพราะรู้ว่าไม่อาจสู้นางได้ หากพวกเขาเป็นลูกอินทรี นักพรตหญิงชราก็คือฟ้าสูงเกินบินถึง หากพวกเขาเป็นลูกพยัคฆ์ นักพรตหญิงชราก็คือหุบเหวลึกไม่เห็นก้น
อย่างไรก็ตาม พวกเขามิใช่ผู้เยาว์คนอื่น พวกเขาคือคนแห่งสำนักฝึกหลวง
ในเมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงกล้าชักกระบี่ต่อต้านจูลั่ว บนทุ่งหิมะ เจ๋อซิ่วกล้าแยกเขี้ยวใส่พวกมาร ตอนอายุสามขวบถังถังก็กล้าเยี่ยวใส่หน้าประมุขเฒ่าตระกูลถัง เพิ่งเข้ามาถึงนครจิงตู เซวียนหยวนผ้อก็กล้าลงมือกับเทียนไห่หยาเอ๋อร์
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลยแล้วจะทำไม พวกเขาไม่ควรต่อสู้อย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่ตรรกความคิดของพวกเขา ในสายตาของพวกเขา ต่อให้ไม่มีโอกาสสามารถเอาชนะได้ ก็ต้องลองสู้ดูสักตั้ง แล้วถ้าเอาชนะไม่ได้เล่า เอาชนะไม่ได้แล้วจะเป็นไรไป หากพวกเขาต้องตาย ก็จะหาทางมีชีวิตท่ามกลางความตายนั้น
พวกเด็กหนุ่มเริ่มเตรียมตัวทำศึก ต่างคนต่างก็มีวิธีทำศึกของตนเอง
ไม้เท้าวางอยู่ในเงาบนพื้น เจ๋อซิ่วยืนในเงามืดของหน้าต่าง ใบหน้าบดบังด้วยเงามืดจนหมดเหลือให้เห็นเพียงดวงตาแดงก่ำ ขนหมาป่าดกหนา และกรงเล็บแหลมคม เขาจ้องมองนักพรตหญิงชรา มือขวากำกระบี่ธงชัยของเผ่ามารที่หักครึ่ง สงบนิ่งเฉยชาจนทำให้คนอื่นรู้สึกกลัว
ถังซานสือลิ่วถ่ายพลังไปที่ฝ่ามือเล็กน้อย ขอบหน้าก็ต่างพังทลายลงในทันที พลุไฟจำนวนมากพุ่งเข้าสู่ราตรีหิมะโปรยด้วยเสียงแปลกประหลาดมากมาย กลายเป็นว่าเขาได้ติดตั้งกลไกมากมายไว้ในสำนักฝึกหลวง นี่คือวิธีการต่อสู้ของเขา เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูน่ากลัวเช่นนี้ สิ่งแรกที่เขาทำย่อมต้องเป็นการส่งพลุสัญญาณ ที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับวังหลวงมาก เซวียสิ่งชวนต้องรีบมาโดยเร็วที่สุด สำหรับยอดฝีมือที่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยส่งมาคุ้มครองเขาเป็นการลับ จะมาถึงเร็วยิ่งกว่า แน่นอนว่าต่อให้ขุนพลเทพระดับสองและองครักษ์จากตระกูลถังร่วมมือกัน ก็ไม่อาจเป็นคู่ประมือของนักพรตหญิงชราผู้นี้ได้ ทว่าเขาเชื่อว่านักพรตหญิงชราคงไม่กล้าลงมือสังหารต่อหน้าคนนับพัน
ซูม่ออวี๋มองดูนักพรตหญิงชราด้วยไปหน้าซีดขาว ถามด้วยเสียงสั่น “ท่านป้า ท่านอยากให้สองตระกูลกลายเป็นศัตรูกันจริงหรือ”
เฉินฉางเซิงจ้องมองนักพรตหญิงชรา ไม่ได้เตรียมที่จะใช้หมื่นกระบี่ในซ่อนคม หรือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ แต่กำจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ เขารู้ดีว่าต่อให้พวกเขาทุ่มเทต่อสู้จนสุดชีวิต ก็ไม่อาจสู้กับนิ้วเดียวของนางได้ เขาได้แต่หวังว่าจดหมายของซูหลีจะใช้การได้
ก่อนที่พลุสัญญาณเหล่านั้นจะสามารถเปล่งแสงออกมา ก็กลับสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับเสียงแห่งการดับสูญที่อ่อนจางอย่างยิ่ง
ถังซานสือลิ่วมีสีหน้าดูไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับยอดฝีมือระดับนี้ ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าแผนอุบายใดๆ ในการต่อสู้นั้นไร้ความหมายเมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเช่นนี้ คนเหล่านี้ได้ก้าวเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งแล้ว เช่นนี้พวกเขาจะพลาดหลงกลได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงกำจดหมายในมือแน่นขึ้น อารมณ์ค่อนข้างเคร่งเครียด
ทันใดนั้น เซวียนหยวนผ้อผู้เหมือนจะถูกลืมเลือนไปแล้วและถูกกำหนดว่าต้องตายโดยนักพรตหญิงชราก็เริ่มเคลื่อนไหว
ในซากปรักหักพังของห้องครัว เขาค่อยๆ หันกลับมาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ยกกระบี่ในมือขึ้นช้าๆ
เขาอยู่ใกล้กับกำแพงสำนักมากที่สุด ใกล้กับนักพรตหญิงชรามากที่สุด สามารถสัมผัสถึงไอปราณของการดับสูญได้ชัดเจนที่สุด รับแรงกดดันมากที่สุด
ขณะที่เฉินฉางเซิง เจ๋อซิ่ว และพวกที่เหลือเตรียมตัวที่จะสู้ เขาก็ยังต่อต้านแรงกดดันนั้นอยู่
ในที่สุดเขาก็สามารถหันกลับมาและยกกระบี่ขึ้น
การที่จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้น่ากลัวเช่นนักพรตหญิงชรา เพื่อเอาชนะความรักตัวกลัวตายที่ติดตัวมาแต่เกิด เซวียนหยวนผ้อต้องใช้ความกล้าที่มีทั้งหมด
การกระทำง่ายๆ นี้ต้องใช้พลังกายพลังใจทั้งหมดที่เขามีอยู่
เมื่อเขาปะทะกับนักพรตหญิงชราโดยตรง ร่างกายเขาก็สั่นอย่างต่อเนื่องประหนึ่งเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก กระบี่ในมือก็เป็นเช่นกัน สั่นสะท้านราวกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
เขาได้แสดงความกล้าออกมาเพียงพอแล้ว ทว่าเขาในสภาพนี้จะสู้ได้อย่างไร จะใช้กระบี่ได้อย่างไร
นักพรตหญิงชรามองไปทางเซวียนหยวนผ้อเป็นครั้งแรก
ดวงตานางแสดงความดูถูกเหยียดหยามอย่างไร้สิ้นสุดออกมา
ว่าตามเหตุผลแล้ว ยอดฝีมืออันโดดเด่นอย่างแปดมรสุมจะไม่ดูถูกผู้เยาว์รุ่นหลัง
แต่วันนี้ นางมาก็เพื่อดูถูกเหยียดหยามสำนักฝึกหลวง
เซวียนหยวนผ้อเป็นผู้เยาว์เผ่าหมี ให้ความสำคัญกับความกล้าหาญภาคภูมิมากที่สุด ไม่ยอมทนต่อการดูถูกเหยียดหยามแม้เพียงน้อยนิด
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขานั้นแดงซ่านขึ้นมา ประกายความมุ่งมั่นสาดฉาย มือทั้งสองกำด้ามกระบี่แน่นและฟาดฟันเข้าใส่นักพรตหญิงชราพร้อมส่งเสียงคำราม!
เสียงสายลมหวีดหวิวระเบิดออกจากบ้านเมื่อเจ๋อซิ่วพุ่งข้ามทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง มาถึงอีกด้านหนึ่งราวกับเงาสีเทา
ร่างของเฉินฉางเซิงหายไปเมื่อเขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา พุ่งไปด้านหลังเซวียนหยวนผ้อพร้อมกับเกล็ดหิมะจากป่าเล็กน้อย มือทั้งสองกำแน่นเตรียมที่จะฉีกเปิดจดหมาย
ซูม่ออวี๋เผยสีหน้าแสดงการตัดสินใจ ล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ
ถังซานสือลิ่วเป็นคนสุดท้ายที่ลงมือ แต่เสียงเขาดังมาก่อนเพื่อน