หลังจากหลีจื่อค้นพบ ชั่วขณะนั้นด้านหลังของเธอก็มีเสียงชีสร้องดังเข้ามา เมื่อหันกลับไปก็พบกับใบหน้าของชีสที่เกือบเต็มจอโน้ตบุ๊ค
“วางใจได้ ครอบครัวของนายไม่เป็นอะไรแค่หมดสติไปเท่านั้น” หลีจื่อรีบพูด
ชีสพูดอย่างรวดเร็วว่า “คุณอยู่ที่ไหน! ผมจะรีบไปหาคุณ!”
ทันใดนั้นหลีจื่อก็พูดว่า “ให้ฉันไปหานายเถอะ…อีกเดี๋ยวฉันจะไปแล้ว อืม รอฉันแปบนึง”
พูดแล้วหลีจื่อก็ปิดจอโน้ตบุ๊ค
ทันใดนั้นภาพฝั่งนั้นก็มืดไป ไม่เห็นอะไรอีกเลย ทั้งสนามบาสเกตบอลมีเพียงแค่ชีสและนีนี่…ชีสยังไม่วางใจ ถ้ายังไม่เห็นครอบครัวมาอยู่ข้างกายอย่างปลอดภัยจริงๆ แล้วจะวางใจได้ยังไง
“นีนี่ นีนี่?” ชีสเดินไปตรงหน้าของนีนี่ จับไหล่ของเธอ เขย่าเบาๆ และพูดว่า “นีนี่ เธอได้ยินที่ฉันพูดไหม”
ตอนนี้นีนี่ตัวแข็ง
ชีสทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับหลงซีรั่ว มองดูรูบนเพดานสนามบาสเกตบอล…ไม่รู้ว่าตอนนี้ใต้เท้าหลงกับจุยเฟิงเป็นไงบ้าง
“ถ้าหาก…ถ้าหากฉันแข็งแกร่งหน่อยละก็”
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงปัญหาหนึ่ง…นั่นก็คือถ้าหากเขาแข็งแกร่งก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแบบนั้น
สถานการณ์ที่ต้องเลือกให้คนใกล้ชิดของตัวเองตาย แม้จะเป็นเพียงแค่การคิดก็ยังรู้สึกหดหู่ใจ…เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนั้นเขาหยัดยืนมาได้อย่างไร
ความรู้สึกเหมือนหัวใจและร่างกายแหลกสลายในพริบตา…ไม่สามารถเลือกได้เลย ชีสเชื่อว่าถึงจะเปลี่ยนเป็นใครคนอื่นก็เลือกไม่ได้อยู่ดี
ในขณะที่ชีสกำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ประตูข้างหนึ่งของสนามบาสเกตบอลก็ถูกเปิดออกมา ทำให้เขาตกใจจนรีบหันไปมอง…เขามองเห็นผู้หญิงคลุมหน้าคนหนึ่งกำลังเดินแบกซูเสี่ยวซูเดินออกมา
“ไฮ”
“ทำไมคุณถึงเร็วขนาดนี้…”
ชีสชะงัก จากนั้นก็รีบวิ่งไปข้างกายผู้หญิงคนนั้น ซึ่งตอนนี้เขาถือว่าเธอเป็นผู้มีพระคุณผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว
“อา ที่แท้ครอบครัวของนายก็ถูกซ่อนเอาไว้ด้านหลัง” หลีจื่อหยักไหล่และพูดว่า “ถ้ารู้ก่อนฉันคงไม่ต้องตามหาอย่างยากลำบากอยู่ข้างนอก เสียเวลาจริงๆ”
“ที่นี่…งั้นเหรอ” ชีสชะงัก รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ…เขากับครอบครัวของตัวเองและเสี่ยวเจียงห่างกันเพียงแค่ประตูนี้กั้นอย่างนั้นเหรอ
ชีสรีบเดินผ่านหลีจื่อไป ผลักประตูบานนั้นออกจนสุด เห็นน้องๆ ของเขาและเสี่ยวเจียงล้มอยู่บนพื้น…แต่ดูจากลักษณะแล้วปลอดภัยดี
“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ…บุญคุณในครั้งนี้ ผมจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต” ชีสมองผู้หญิงคลุมหน้าอย่างซาบซึ้งใจ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “บุญคุณในครั้งนี้ ผมจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
“เอ่อ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย” หลีจื่อวางซูเสี่ยวซูลงและพูดในทันใดว่า “ใช่แล้ว จะบอกนายอย่างนึงนะ ดูเหมือนเจ้าเด็กเมื่อกี้จะไม่ได้คิดจะฆ่าครอบครัวและเพื่อนของนายจริงๆ หรอก…นายดูสิ นี่เป็นของที่ฉันพบบนร่างของพวกเขา”
หลีจื่อยื่นมือออกมา แบมืออกให้เห็นถุงเลือดขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ
ชีสรับมันมาจากมือของหลีจื่อโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า “จุยเฟิง…แต่เห็นได้ชัดว่าเขา…”
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้แล้ว คงเป็นเรื่องระหว่างพวกนายใช่ไหม”
หลีจื่อหยักไหล่และพูดว่า “ฉันก็ไม่เข้าใจว่าเจ้านั่นคิดอะไรอยู่ สายนั้นแบบนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงและการฆ่าล้างจริงๆ อา…ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจพวกนายจริงๆ เอาเถอะ ไม่ยุ่งแล้ว เอาล่ะ ฉันลาก่อนนะ บ๊ายบาย~ลาก่อน”
“รอเดี๋ยว คุณยังไม่บอกชื่อคุณกับผมเลย ผู้มีพระคุณ”
“เอ่อ…”
หลีจื่อเอามือจับคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “อืม ถ้านายคิดจะตอบแทนบุญคุณฉันจริงๆ ก็เอาแบบนี้เถอะ…ต่อไปถ้าพบมนุษย์ที่ชื่อว่าเริ่นจื่อหลิงแล้วเธอเจออุปสรรคหรืออันตรายอะไรอยู่ก็ช่วยเธอหน่อยแล้วกัน แต่นายห้ามบอกเธอนะ ต้องแอบทำ เธอไม่รู้ว่าในโลกนี้มีปีศาจอยู่”
“เริ่นจื่อหลิง…มนุษย์?” ชีสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าและพูดว่า “ได้ครับ ผมจำเอาไว้แล้ว จะไม่ลืมแน่นอน”
“บ๊ายบาย~”
หลีจื่อที่คลุมหน้ากระโดดอย่างสบายๆ จากไปทางรูบนเพดาน แต่ก็ไม่ได้พูดถึงว่าจะไปไหน
เธอเพียงแค่หาสถานที่ซ่อนตัวและจับตามองไปยังแสงสีทองและสีม่วงสองสายที่กำลังพัวพันกันอย่างบ้าคลั่งกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
แสงวาววาบที่เกิดจากแสงสีทองและสีม่วงปะทะกันอยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์จำนวนมากเหนือสนามกีฬา…พวกมันซ่อนอยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์เหล่านี้ และดูเหมือนจะเพิ่มความพิเศษให้แสงสปอตไลท์ที่ซ้ำซากน่าเบื่อเหล่านี้ให้ดูงดงามขึ้น
แต่เพราะได้แสงสปอตไลท์จำนวนมากเหล่านี้ทำให้การต่อสู้ที่ดุเดือดไม่เป็นที่สังเกตของผู้คนนับหมื่นด้านล่าง…หรืออาจจะพูดได้ว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจเลยกันนะ
พวกเขาล้วนแต่ถูกบรรยากาศอันร้อนแรงบนเวทีดึงดูดให้จ้องมองบนเวทีขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ดูเหมือนว่าได้ลืมทุกอย่าง…ไปแล้ว
“นี่คือมังกรแท้จริงแห่งแผ่นดินเทพจริงๆ งั้นเหรอ…ทำไมถึงรู้สึกว่าไม่ได้แข็งแกร่งยิ่งใหญ่เหมือนในตำนานเลย”
หลีจื่อกำลังยกกล้องเล็งไปกลางอากาศ “จุยเฟิงคนนี้มีที่มายังไงกันแน่ถึงได้ต่อสู้กับมังกรแท้จริงได้อย่างสูสีแบบนี้ แต่พูดแล้วก็น่าแปลก การต่อสู้เปิดเผยเช่นนี้ ทำไมถึงไม่มีใครสนใจเลย…โง่กันไปหมดแล้วเหรอ อา หิวจังเลย…”
…
…
“ท่านแม่ ตื่นสิ! ท่านแม่ ตื่นสิ!” ชีสกำลังเขย่าไหล่ของซูเสี่ยวซูเบาๆ…แต่ดวงตาของเธอยังคงว่างเปล่า เหมือนกับนีนี่ ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน
“กระดิ่ง…” ชีสคิดถึงฉากที่จุยเฟิงเอากระดิ่งออกมา…หรือต้องทำลายกระดิ่งอันนั้น
“ต้องแจ้งใต้เท้าหลงถึงเรื่องนี้”
ชีสสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คิดจะเคลื่อนไหว…แต่ในพริบตาเดียวที่ขยับกลับได้ยินเสียง เขาหันมองไปยังมุมใดมุมหนึ่ง เป็นทิศทางของสนามกีฬาหลัก
เขาตั้งใจฟัง เสียงดังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…ดูเหมือนกับมีใครยืนร้องเพลงอยู่ตรงหน้าของตนเอง เสียงที่แข็งแกร่งและทรงพลังนี้เป็นเสียงของกีตาร์ที่เหมือนกำลังบอกอะไรบางอย่าง…ทำให้เขาสติหลุดไปในทันใด
แต่ชีสก็ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาฟังเพลง
“ชี…ชีส…”
“นีนี่!”
ครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่นีนี่เรียกชื่อของตนเอง ชีสดีใจมากรีบเดินเข้าไปตรงหน้าของนีนี่ “นีนี่! นีนี่! นีนี่! เธอได้สติแล้วเหรอ”
เห็นใบหน้าของนีนี่แฝงร่องรอยของการขัดขืน ทันใดนั้นเธอก็ล้มลงกับพื้น แต่ก็พยายามยันร่างกายขึ้นมามองชีส ดวงตาของเธอแดงก่ำ น้ำตาไหลลงมา “ชีส…ฉันมองเห็น…จุยเฟิงเขา…เขากำลัง ร้องไห้…ร้องไห้เพียงลำพัง…ร้องไห้…เจ็บปวดมาก…ชีส…”
“นีนี่ เธอกำลังพูดอะไร” ชีสขมวดคิ้วขึ้น
นีนี่เอามือกุมหัวของตนเองแสดงให้เห็นว่าเจ็บปวดมาก…ภายในสมองของเธอเหมือนมีพลังสองชนิดกำลังฉุดรั้งกันอยู่
อีกหนึ่งมาจากเสียงของจุยเฟิง อีกหนึ่งคืออะไร
เหมือนกับเสียงเพลงอะไร
แต่ก็เพราะพลังสองชนิดกำลังฉุดรั้งกันทำให้เธอได้สติ
เธอพูดอย่างยากลำบากว่า “ฉันไม่รู้…ไม่รู้…บางทีเขาอาจคิดว่า คิดว่าพวกเราล้วนถูกควบคุมหมดแล้ว เลยไม่รู้…แต่ แต่ว่าฉันเห็น…ฉันสามารถสัมผัสได้…เขา…พูดเรื่องอะไรแปลกๆ มากมาย…จุยเฟิงเขา เขา…”
“เขาเป็นอะไรกันแน่”
“ชีส…ระวัง…ข้างหลัง!”
“ข้างหลัง?” ชีสหันกลับไป แต่กลับเห็นเพียงเงาร่างดำสายหนึ่ง…เขามองเห็นเงาดำนี้ไม่ชัด รู้สึกเพียงดวงตาดำมืดลงอย่างฉับพลันและสลบไป
ชีสล้มลงไปและก็ถูกเงาร่างสีดำที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันคีบขึ้นมาไว้บนตัว…จากนั้นก็กระโดดหนีออกไปทางรูบนเพดานสนามบาสเกตบอล
ม่านตาของนีนี่หนักขึ้นเรื่อยๆ…
เธอแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืน ดูเหมือนพลังสองพลังที่ฉุดรั้งกันในหัวของเธอ สุดท้ายแล้วเสียงที่มาจากจุยเฟิงก็ชนะ
“ลุง…ซูโย่ว…? ทำไม…”
ก่อนที่นีนี่จะสลบไปเพราะรับพลังสองสายนี้ไม่ไหวนั้น เธอสามารถพูดออกมาได้เท่านี้