บทที่ 6 บทที่ 125 ทำนองของเขา

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

“ขอตอนรับนักร้องที่มาเสริมคนสุดท้าย!” 

 

 

บนเวที พิธีกรที่สวมชุดหรูหราพูดเสียงดังว่า “คิดว่าทุกคนคงรู้สึกแปลกใจกับนักร้องใหม่ที่มาเสริมคนนี้มาก คนคนนี้เป็นใครกันแน่นะ อา ผมสามารถให้ข้อมูลกับทุกคนได้นิดหน่อย ตามที่ผมรู้มานักร้องเสริมคนนี้เคยร่วมวงกับนักร้องที่ใด้รับคะแนนสูงสุดในการแข่งขันสัปดาห์แรกของเรา เฉิงอี้หราน!” 

 

 

แต่ในตอนนี้กลับเกิดเสียงร้อง…โห่ดังขึ้นมาอย่างดุเดือด 

 

 

มีเพียงคนส่วนน้อยมาก เพียงไม่กี่สิบคนที่ส่งเสียงร้องอย่างตกใจ พวกเขาล้วนเป็นผู้ชมที่มาในรายการครั้งก่อน แต่ที่นี่มีคนนับหมื่นคนซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่ดูถ่ายทอดสดหรือดูย้อนหลังในอินเทอร์เน็ตทั้งนั้น  

 

 

พวกเขาล้วนแต่ตำหนิและด่าว่าผู้ชนะของสัปดาห์แรก 

 

 

พิธีกรก็คงคิดไม่ถึงว่าจะเกิดปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้…และดูเหมือนตนเองจะคุมอารมณ์ของผู้ชมเหล่านี้ไม่อยู่แล้ว 

 

 

แต่เขาก็หน้าหนาพอจึงฝืนยิ้มพูดว่า “ดูแล้วทุกคนคงรู้สึกตื่นเต้นมาก เช่นนั้นก็ไม่ควรชักช้าต่อไปอีก…เชิญนักร้องคนสุดท้ายของพวกเราในวันนี้! เชิญเลย!” 

 

 

บริเวณทางออกมาจากหลังเวที เมื่อหงก้วนได้ยินเสียงของพิธีกรแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินออกไปตามทางขึ้นเวที ในตอนนี้…ข้างกายของเขาไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวแล้ว 

 

 

ยังมีคนหนุ่มอีกสองคนที่สวมชุดธรรมดาๆ และอายุไล่เลี่ยกัน  

 

 

พวกเขามองหน้ากัน พยักหน้าและเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน 

 

 

ออกไป! 

 

 

ตอนนี้บรรยากาศเงียบสงบมาก…เงียบจนแม้แต่เข็มตกก็ได้ยิน หงก้วนแข็งใจห้อยกีตาร์ของเฉิงอี้หรานเดินไปยังตำแหน่งนักร้อง 

 

 

ส่วนคนหนุ่มอีกสองคน คนหนึ่งเดินไปหน้าคีย์บอร์ดไฟฟ้า ส่วนอีกคนเดินไปหน้ากลองชุดและนั่งลง 

 

 

บรรยากาศยังคงเงียบมาก…หงก้วนรู้ว่าเขาไม่มีชื่อเสียง สำหรับคนนับหมื่นแล้ว เขากับพวกเขาเป็นคนแปลกหน้ากัน เพียงเพราะโอกาสเท่านั้นเขาถึงได้ขึ้นเวทีใหญ่เวทีนี้ 

 

 

ปฏิกิริยาของผู้ชมเป็นแบบนี้ก็…เป็นเรื่องปกติ 

 

 

เขาไม่ได้ใส่ใจ เพียงกวาดตามองผู้ชมตรงหน้า หงก้วนสูดหายใจเข้าลึกๆ หยิบไมโครโฟนของตนเองขึ้นมา น้ำเสียงค่อนข้างตื่นเต้นแต่ก็มีพลัง “ผมรู้ว่ามันผิดกฏเล็กน้อย…แต่ขออนุญาติให้ผมได้พูดสักหน่อยก่อนจะเริ่ม เพราะผมรู้ว่าต่อไปผมคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีใหญ่แบบนี้อีกแล้ว ขอพูดว่า…ขอบคุณ” 

 

 

หงก้วนโค้งต่อหน้าผู้ชม 

 

 

บรรดาผู้ชมด้านล่างเวทีเงียบมาก…นิ่งเงียบมองเวที มองไปบนจอภาพ มองสามคนหน้าตาธรรมดาๆ ที่เดินออกมาจากหลังเวที พวกนี้…เป็นใครกัน 

 

 

ไม่มีใครรู้จักว่าพวกเขาเป็นใคร…ยกเว้นแค่คนเดียว 

 

 

นอกจากชายหนุ่มที่เหงื่อซึมเต็มหลัง หอบหายใจและมาปรากฏตัวตรงทางเข้าใกล้เวที…เป็นเฉิงอี้หรานที่เพิ่งได้เบสจากตาเฒ่าหัวระเบิด 

 

 

เขามองหงก้วนบนเวทีอย่างตกตะลึง…และยังมีอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ ของหงก้วน “พวกเขา…พวกเขามาอยู่ที่นี่กันหมดได้ยังไง” 

 

 

วง Again (อะเกน) นอกจากเขา หงก้วนและเสี่ยวเมิ่งที่จากไปแล้ว อีกสองคน…อีกสองคนที่ออกจากวงไป 

 

 

 “เฉิงอี้หราน!” 

 

 

หงก้วนที่โค้งกายเงยหน้าขึ้นมาในทันใด ตะโกนใส่ไมโครโฟนว่า “เฉิงอี้หราน! นายได้ยินไหม! นายอยู่ที่นี่ไหม! นายกำลังดูฉันไหม! ฉันหงก้วน! เขาคือเสี่ยวเยา! เขาคือเหล่าหมัว! นายเห็นไหม! พวกเราอยู่นี่! พวกเราอยู่นี่กัน!” 

 

 

 “ขอโทษด้วย!” หงก้วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตะโกนต่อหน้าผู้ชมทุกคน “ขอโทษ! ที่ตอนแรกพวกเราออกจากวงไป! พวกเราทำผิดสัญญาที่เคยให้ไว้! ชีวิต! การดำรงชีวิต! ความกดดัน! พวกเราถูกความเป็นจริงกดจนเงยหน้าไม่ขึ้น! ทำให้พวกเราต้องละทิ้ง! เพื่อเอาตัวรอด! ขอโทษด้วย! พวกเรามันขี้ขลาด! ขอโทษด้วย!”  

 

 

 “เอาจริงๆ เลย ฉันเคยเกลียดนาย เคยมีช่วงที่อิจฉานาย! ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าในตอนสุดท้ายที่ฉันก็ไปต่อไม่ไหวและขอถอนตัวเหมือนกัน หลังวันนั้นไม่นาน นายก็เป็นที่รู้จัก! นายขึ้นเวทีที่พวกเราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ขึ้นมาก่อน! ฉันอิจฉานายจริงๆ! ฉันแค้นตัวฉันเอง! แค้นตัวเองที่ทำไมไม่ยอมอดทนต่ออีกหน่อย!” 

 

 

 “แต่ในวันนั้นตอนฉันอยู่ในสตูดิโอและได้เห็นนายร้องเพลง ‘Again’ ของพวกเราอีกครั้ง ฉันถึงได้เข้าใจ…เข้าใจว่าพวกเราไม่ได้ทุ่มเทมากเท่านาย!” 

 

 

 “อี้หราน! เฉิงอี้หราน! นายอยู่ที่นี่ไหม! นายมองเห็นพวกเราไหม ตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่!” สายตาของหงก้วนวาววาบเพราะแสงไฟ “ฉันรู้ว่านายจะต้องอยู่ที่นี่! ดังนั้นอยากจะพูดแค่ว่า! นายรีบไสหัวขึ้นมาบนเวทีเดี๋ยวนี้ เพราะ…” 

 

 

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใช้ออกซิเจนในปอดทั้งหมดตะโกนว่า “เพราะว่ามีเพียงแค่พวกเราอยู่ด้วยกันเท่านั้นถึงจะเป็นวง ‘Again’ ที่แท้จริง! และถึงจะเป็น ‘Again’ ที่เสี่ยวเมิ่งนำมาให้พวกเรา!” 

 

 

 “เฉิงอี้หราน! นายออกมา!” หงก้วนมองไปข้างหน้าด้วยความโมโห “หรือครั้งนี้จะเป็นนายที่เป็นไอ้คนขี้ขลาดแทน! เฉิงอี้หราน!” 

 

 

เสียงคำรามนี้เหมือนลำโพงที่ปรับระดับเสียงสูงสุดและสั่นอยู่ข้างเฉิงอี้หรานไปพร้อมกับหัวใจที่เต้น…อย่างบ้าคลั่งแต่เปี่ยมพลังของเขา 

 

 

เรี่ยวแรงที่มาจากไหนไม่รู้ทำให้เขาก้าวออกไปทีละก้าวโดยไม่รู้สึกตัว 

 

 

และจากหนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าวก็กลายเป็น…วิ่ง 

 

 

เขาวิ่งลงบันได พุ่งผ่านกล้องหน้าเวทีและปีนขึ้นเวทีไปเหมือนคนบ้า 

 

 

เขาหอบหายใจยืนอยู่ขอบเวที มองหงก้วนอย่างโมโห “ถ้านายกล้าลองพูดอีกครั้ง! ใครขี้ขลาด!” 

 

 

 “นาย!” 

 

 

หงก้วนถลึกตาใส่เขาโดยไม่ยอมแพ้ 

 

 

 “นายไง!” 

 

 

 “เจ้าโง่!” 

 

 

เฉิงอี้หรานยกมือชูเบสในมือขึ้น “เอากลับไป!” 

 

 

หงก้วนชะงัก พูดอย่างแปลกใจว่า “นาย…นายหากลับมาได้ยังไง” 

 

 

เฉิงอี้หรานยิ้มและพูดว่า “เก็บได้บนถนน” 

 

 

หงก้วนหัวเราะฮ่าๆ ทันใดนั้นก็ล้วงเอาสร้อยสองเส้นที่ห้อยอยู่บนคอออกมา เอาออกแรงดึงเส้นหนึ่งจนขาดจากนั้นก็โยนไปให้เฉิงอี้หราน 

 

 

ตอนที่เขารับสร้อยมานั้น เฉิงอี้หรานก็เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน “นาย…นายหาเจอที่ไหน” 

 

 

หงก้วนพูดเบาๆ ว่า “เจ้าโง่ ฉันก็เก็บได้จากบนถนน…มาเถอะ เฉิงอี้หราน ถ้าไม่มีนายแล้ว ฉัน พวกเราทำไม่ได้” 

 

 

เขาเดินเข้าไปหาหงก้วนโดยไม่รู้ตัว…หงก้วนไม่รู้ถึงพลังวิเศษในกีตาร์ด้ามนั้น แต่ยังกล้าออกมายืนบนเวทีแห่งนี้ แม้จะต้องเผชิญกับเสียงหัวเราะเยาะ เสียงโห่ แต่เขาก็ยังกล้า 

 

 

ส่วนฉันกลับ…กลัว 

 

 

ดนตรีของฉันไม่ใช่แบบนี้ 

 

 

ดนตรีที่ฉันต้องการ ร็อคของพวกเรา…ไม่ใช่แบบนี้ ฉัน…ที่แท้ตัวฉันเองก็ละทิ้งตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว คิดถึงแค่เพียงมีกีตาร์ตัวนั้น มีพลังวิเศษของมันก็ไม่ต้องสนอะไรอีกเลย 

 

 

 “ฉันเป็นเจ้าโง่จริงๆ” 

 

 

… 

 

 

 “ทำอะไรกัน เปลี่ยนอารมณ์คนดูงั้นเหรอ วางแผนเอาไว้ก่อนแล้วเหรอ” 

 

 

 “ทำเพื่อผลลัพธ์รายการงั้นเหรอ จอมปลอมจริงๆ…” 

 

 

 “โห่!” 

 

 

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสียงผู้ชมด่า ผู้กำกับรายการก็รีบส่งสัญญาณถามทันที…ทำไมถึงวุ่นวายขนาดนี้ คนใหม่ของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดงั้นเหรอ 

 

 

เขาที่เป็นผู้กำกับรายการไม่รู้จริงๆ ว่าจะออกมาเป็นแบบนี้…เฉิงอี้หรานคนนี้ว่ากันว่ารถชนได้รับบาดเจ็บไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ชั่วคราวไม่ใช่เหรอ 

 

 

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้กำกับยิ่งหงุดหงิดก็คือ…ปฏิกิริยาที่มาจากเบื้องบน ผู้กำกับได้ยินเบื้องบนคุยโทรศัพท์อย่างหมดทางเลือก ซึ่งน้ำเสียงก็ค่อนข้างหงุดหงิดเช่นกันว่า…ตกลง 

 

 

อะไรกัน 

 

 

อย่างไรก็ตามผู้กำกับก็ไม่สามารถขัดคำสั่งได้ ทำได้เพียงรีบจัดพิธีกรให้ขึ้นไปประกาศยอมให้เฉิงอี้หรานขึ้นเวทีได้อีกครั้ง…วุ่นวายจริงๆ 

 

 

ผู้กำกับเห็นผู้ชมหลายคนเริ่มลุกขึ้นและเดินไปยังทางออกกันแล้วบนจอกล้อง…คิดว่าหลังจากนี้ คงจะมีการโพสต์ด่าบนอินเทอร์เน็ตอีกรอบแน่ 

 

 

รายการนี้ได้รับการด่าว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้กำกับยิ่งโมโหมากก็คือ คนที่ก่อเรื่องอย่างหงก้วนและเฉิงอี้หรานกำลังพูดคุยกันบนเวที…เหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย 

 

 

สองคนนี้…เป็นทายาทของผู้ยิ่งใหญ่อะไรงั้นเหรอ เบื้องหลังมีอำนาจลึกลับงั้นเหรอ 

 

 

ไม่ว่าผู้กำกับจะหงุดหงิดอย่างไร แต่เฉิงอี้หราน หงก้วน รวมไปถึงเสี่ยวเยาและเหล่าหมัวที่อยู่บนเวทีกลับให้ความสำคัญกับการที่ได้มาพบกันอีกครั้งมากกว่า พวกเขาพูดคุยกันรอการดำเนินการของรายการ 

 

 

 “เสี่ยวเยา เหล่าหมัว…หงก้วน นายหาพวกเขาเจอได้ยังไง” เฉิงอี้หรานถามอย่างแปลกใจ 

 

 

 “อ๋อ ฉันไปหาผู้อำนวยการเฉิง” หงก้วนก็แปลกใจ “ก่อนฉันจะขึ้นเวทีเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาเลยเสนอไป คิดไม่ถึงว่าผู้อำนวยการเฉิงจะหามาให้ฉันได้…อีกทั้งยังรวดเร็วมากด้วย” 

 

 

เสี่ยวเยาที่ไว้ผมยาวและมีใบหน้าที่ธรรมดาเกาหัว “เรื่องนั้น…ฉันเพิ่งเลิกงานก็มีคนชุดดำหลายคนจับฉันขึ้นรถ คลุมหัว ฉันสลบไป…พอตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” 

 

 

เหล่าหมัวก็พูดอย่างหวาดกลัวว่า “ฉันก็เหมือนกัน ฉันเพิ่งสอนคาบกลองจบจะกลับบ้านก็ถูกลักพาตัวมาที่นี่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเจอหงก้วนที่นี่ ฉันยังคิดว่าฉันถูกลักพาตัวจริงๆ แล้ว…แต่ก็ไม่ถูกต้อง เพราะตัวฉันเองก็เลี้ยงตัวเองจะไม่รอดอยู่แล้ว ใครจะมาลักพาตัวฉัน” 

 

 

เสี่ยวเยาพูดขึ้นในทันใดว่า “แต่…ขอโทษด้วย เฉิงอี้หราน หงก้วน ที่ตอนนั้นฉันขอถอนตัวก่อนใคร คิดไม่ถึงว่าพวกนายยังคิดถึงฉัน ฉันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตนเองจะได้ขึ้นเวทีแบบนี้ ถึงจะ…” 

 

 

เสี่ยวเยามองคนดูแวบหนึ่งและส่ายหน้า “ถึงจะไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับสักเท่าไหร่ก็เถอะ” 

 

 

 “ให้ตายเถอะ” เหล่าหมัวกลับเอ่ยว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้โอกาสขึ้นมาสักครั้ง พวกเราจะต้องไม่ให้เสียเปล่า เล่นกันเถอะ ร้องก็ร้อง แต่ก่อนฉันยังถูกเรียกว่าราชาน้อยกลองแห่งโฮ่วไห่เลย ใครกลัวกัน” 

 

 

 “ดูเหมือนจะตกลงแล้ว” หงก้วนมองแวบหนึ่งจากนั้นก็มองทุกคนและเอ่ยว่า “ในเมื่อมาแล้วก็ส่งเสียงของพวกเรากันเถอะ ถึงจะเพียงแค่ครั้งเดียว พวกเราก็จะทำให้โลกจดจำพวกเรา” 

 

 

หงก้วนยื่นมือออกไป เสี่ยวเยาและเหล่าหมัวก็ยื่นมือออกไปทาบบนมือของหงก้วน ทั้งสามคนมองเฉิงอี้หรานพร้อมกัน เฉิงอี้หรานมองทั้งสามคนด้วยท่าทางที่สับสนวุ่นวาย จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ วางมือทาบไว้บนสุด 

 

 

 “พวกเราคืออะไร!” 

 

 

 “วง Again!” 

 

 

 “พูดอีกครั้ง พวกเราคืออะไร!” 

 

 

 “Again!” 

 

 

ใบหน้าของพวกเขาประดับรอยยิ้มเผชิญหน้ากับคนดูที่เย็นชาผิดปกติ เผชิญหน้ากับเงาร่างที่เริ่มจากไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังกล้าเงยหน้าขึ้นมา 

 

 

หงก้วนปลดกีตาร์ที่ห้อยอยู่ออกมาส่งให้เฉิงอี้หราน “นายเล่น” 

 

 

 “รอเดี๋ยว…ฉัน ฉันเล่นบสก็ได้” เฉิงอี้หรานลังเลเล็กน้อย ส่ายหน้า กีตาร์ตัวนี้…เขาเล่นไม่ได้ 

 

 

ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็ให้หงก้วนเล่นดีกว่า 

 

 

แต่หงก้วนกลับไม่สนใจ คล้องกีตาร์ลงบนตัวเฉิงอี้หราน ส่วนตนเองห้อยเบส “เจ้าโง่ ฉันต่างหากเป็นมือเบสของนาย” 

 

 

เฉิงอี้หรานปัดผ่านสายกีตาร์เล็กน้อยและพยักหน้า 

 

 

 “นิ้วของนาย…ดีดได้ไหม” 

 

 

 “ถ้าเป็นเพลงนี้ก็ไม่มีปัญหา” เฉิงอี้หรานพูดอย่างมั่นใจ 

 

 

เขามองหงก้วน มองเสี่ยวเยา มองเหล่าหมัว…และพบว่าตอนเสียงกีตาร์ดังขึ้นเมื่อครู่นั้นพวกเขาไม่ได้หลงใหลไปกับมันและก็หมายถึงว่า เขายังคงไม่สามารถใช้กีตาร์ตัวนี้ได้จริงๆ 

 

 

แต่…จะเป็นอะไรไป 

 

 

ใช้ไม่ได้แล้ว…จะยังไง 

 

 

เฉิงอี้หรานเดินไปถึงตำแหน่งนักร้องหลัก หงก้วนอยู่ข้างเขา เสี่ยวเยาและเหล่าหมัวอยู่ข้างหลังเขา…ใช้ไม่ได้แล้วยังไง 

 

 

คนดูด่าแล้วยังไง 

 

 

มีคนจากไปแล้วยังไง 

 

 

เดิมทีฉันก็ร้องแบบนี้มาโดยตลอด…ฉันร้องเพลงแบบนี้มาตลอด ผ่านช่วงเวลาที่ไม่มีใครสนใจ เร่ร่อนไปตามหัวมุมถนนและผ่านชีวิตอันอดอยากมาทั้งหมดแล้ว 

 

 

เฉิงอี้หรานคิดถึงเส้นทางที่ตนเองเดินตามตาเฒ่าหัวระเบิดและคิดถึงช่วงเวลาพริบตาเดียวยามที่ตนเองหันกลับไปเห็นสนามกีฬาด้านหลังตนเอง 

 

 

เสี่ยวเมิ่ง ขอโทษด้วย ให้อภัยฉันด้วยที่เอาแต่หลอกตัวเอง ฉันคิดว่าที่ฉันยืนหยัดได้นั้นเป็นเพราะว่าเธอ เพื่อทำความฝันของเธอให้เป็นจริง…เพื่อมันแล้วฉันถึงได้ฝืนมาจนถึงตอนนี้ 

 

 

แต่หลังทำตามความฝันของเธอสำเร็จ เอาเพลงของเธอมาร้องให้ผู้คนฟังแล้ว ฉันถึงได้เข้าใจ 

 

 

ฉันควรจะปล่อยวางเธอได้แล้ว 

 

 

ฉันควร…เผชิญหน้ากับร็อคของตนเองได้แล้ว 

 

 

เพราะว่าฉันก็ชอบมันมาตลอด…รักมัน ไม่ใช่เพราะคนอื่นถึงรักมัน 

 

 

ลาก่อน เสี่ยวเมิ่ง…ความฝันอันงดงามของฉัน 

 

 

ฉันในตอนนี้ ต้องการโอกาส…อีกสักครั้งที่จะไล่ล่าตามหาความฝันร็อคของตนเอง 

 

 

ครั้งนี้ฉันจะทำเพื่อตัวฉันเอง 

 

 

แม้ว่า…จะยังไม่มีใครสนใจเลยก็ตาม 

 

 

ไม่สนว่ากีตาร์ตัวนี้จะมีประโยชน์ไหม…ฉันก็จะดีดมัน ดีดลงไป ดีดจนนิ้วมือหักฉันก็จะดีดต่อไป 

 

 

เขาหลับตาลงปรับอารมณ์ของตนเอง เฉิงอี้หรานจับไมโครโฟนและพูดเบาๆ ว่า “ขออภัยให้กับความเอาแต่ใจของพวกเรากับเรื่องขบขันเมื่อสักครู่ด้วย แต่ว่า…เสียงของพวกเราจะถูกส่งออกไปอีกครั้งที่นี่ เพลงที่จะร้องต่อไปนี้เคยผ่านอุปสรรคความลำบากมากมายมาพร้อมกับพวกเรา ผมคิดว่าคงมีอีกหลายคนที่จะได้รับกำลังใจจากมัน วงที่สร้างเพลงนี้ขึ้นมาก็เป็นวงที่พวกเราชอบมากที่สุด…และก็เป็นเป้าหมายของพวกเรา!” 

 

 

เสียงคีย์บอร์ดไฟฟ้าค่อยๆ ดังขึ้นมา 

 

 

เฉิงอี้หรานหลับตาลงและเริ่มร้องเพลงเบาๆ  

 

 

‘ฉันในวันนี้มองดูหิมะตกในค่ำคืนที่เหน็บหนาว 

 

 

หัวใจที่หนาวเย็นกลับล่องลอยไปแสนไกล 

 

 

ไล่ตามท่ามกลางสายลมฝน 

 

 

มองไม่เห็นเส้นทางในม่านหมอก 

 

 

ใต้ท้องฟ้าและทะเลอันกว้างใหญ่นายกับฉันก็ต้องเปลี่ยน (ใครบ้างไม่เปลี่ยน)…’[1] 

 

 

… 

 

 

ทันใดนั้นคนที่จากไปก็หันกลับมาอย่างกะทันหัน 

 

 

บรรดาคนที่เริ่มหงุดหงิดก็เงียบลงอย่างฉับพลัน 

 

 

พวกเขานิ่งมองบนจอและฟังเนื้อเพลง 

 

 

ฟังเสียงกีตาร์ เสียงเบส เสียงคีย์บอร์ดไฟฟ้าและเสียงกลองดังประสานกัน 

 

 

หยุดลงแล้ว 

 

 

หยุดทั้งหมดแล้ว 

 

 

กลางอากาศ ลั่วชิวเอียงหูตั้งใจฟัง ดูเหมือนจะรู้สึกว่าแบบนั้นยังไม่พอจึงวางมือครอบเบาๆ ที่ใบหูและพูดเบาๆ ว่า “ได้ฟังแล้ว ทำนองนี้ ทำนองของพวกเขา ในที่สุดก็ได้ฟัง งดงาม งดงามจริงๆ” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] เพลงของวง BEYOND