GGS:บทที่ 827 อุปการะ

 

งานวันเกิดยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่มีเพลงเล่นคลอไปตลอดงานอย่างช้าๆ ชายหญิงแต่ละคู่ต่างเริ่มเต้นรำกันที่ลานเต้นรำ

ซุนหยูเฮงเองก็ได้เข้ามาชวนหวังซือหยาเต้นรำเหมือนกันแต่เธอปกิเสธไป ต่อมาเขาได้ไปเชิญหลินฉีหยู

ถึงแม้ว่าก่อนเธอจะมาที่นี่นั้นผู้จัดการของเธอจะย้ำมาว่าให้ช่วยไว้หน้าซุนหยูเฮงก็ตาม เธอเองก็ก็ไม่ได้มีความอยากสักเท่าไหร่

 

หวังซือหยาและเฉิงหนานเองถึงแม้ว่าจะมีผู้ชายเข้ามาชวนมากหน้าหลายตาก็ตามแต่ทั้งคู่ก็ได้ปฏิเสธไป

แต่เมื่อซูจิ้งชวนหวังซือหยา หวังซือหยาก็ยินยอมด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะออกไปเต้นหนึ่งเพลง

พอซูจิ้งไปชวนเฉิงหนานต่อ เธอนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด นั่นทำให้ชายหนุ่มหลายๆคนในงานต่างก็มองซูจิ้งด้วยความอิจฉาและรู้สึกเหม็นหน้าเขาไปพร้อมกัน

“พี่หนาน ไม่ว่าต่อจากนี้จะมีอะไรต่อไป อย่าได้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหล่ะ” ในลานเต้นรำ ซูจิ้งได้กระซิบไปที่ข้างหูเฉิงหนาน

“จะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรอ” เฉิงหนานถามออกมาอย่างงงๆ

“เดี๋ยวก็รู้เองน่า ตอนนี้ผมเองก็ยังพูดอะไรไม่ได้มากนัก” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม

 

เฉิงหนานเองในตอนนี้ก็เหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกับหวังซือหยาและเตียนจงยี่เหมือนกันว่าการที่ซูจิ้งพยายามยัดเยียดของให้คนก่อนหน้านี้มันดูแปลกพิกล ถึงตอนแรกจะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติของซูจิ้งก็ตามแต่มันก็ดูไม่เป็นซูจิ้งเอาซะเลย มันดูเหมือนเขาต้องการแค่จะเอาสมบัติโชว์เพื่อเพิ่มคุณค่าของมันมากกว่า

 

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาเองจะไม่ได้ใส่ใจการสร้างสัมพันธ์กับหู่ซิงหมิงเท่าไหร่นัก เอาจริงๆเธอเองก็รู้สึกว่าเสียความสัมพันธ์ซะมากกว่าด้วยซ้ำ นั่นก็หมายความว่าซูจิ้งนั้นสมควรจะวางแผนอะไรบางอย่างอยู่อีก

 

ซักพักหลังจากดนตรีที่เปิดสำหรับการเต้นรำจบลง หู่ซิงหมิงได้หยิบไมโครโฟนขึ้นมาก่อนจะพูดออกมาว่า

“ก่อนที่งานเลี้ยงนี้จะหมดลง ฉันเองก้มีเรื่องสำคัญที่จะต้องประการให้ทุกคนทราบ เอาจริงๆฉันเองก็ไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ออกมา แต่ฉันลองคิดดูดีๆแล้ว ยังไงซะฉันควรจะบอกเรื่องนี้กับทุกคนเอาไว้”

ทุกคนในงานต่างมึนงงกันหมด พวกเขากำลังสงสัยกันว่าเรื่องสำคัญอะไรกันที่ต้องพูดในงานแบบนี้

หู่ซิงหมิงได้พูดต่อว่า “เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ผมกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่คนเดียวนั้น อยู่ๆผมก็ได้หมดสติไป

แต่ก็ได้มีได้มีเด็กน้อยคนหนึ่งได้ผ่านมาช่วยผมเอาไว้ ด้วยเหตุนั้นทำให้พวกเรานั้นได้มีโอกาสเจอหน้ากันบ่อยๆในเรื่องงาน และบางโอกาสก็ได้มีการพูดคุยกันบ้าง ซึ่งผมก็เอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวคนหนึ่งมาตลอด

 

ในตอนที่ผมได้ยินมาว่าเธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล ตอนนั้นผมรู้ดีว่าเธอต้องผจญกับเรื่องหนักอึ้งครั้งหนึ่งในชีวิต และผมเองก็ติดสินใจได้ในทันทีว่าผมต้องการจะรับเธอมาเป็นลูกสาวบุญธรรม

และตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วที่ผมจะแนะนำเธอให้พวกคุณรู้จัก เสี่ยวหนาน ออกมานี่หน่อยสิ”

 

ตอนนี้ในมีเสียงร้องตกตะลึงดังระงมไปทั่วนั่นก็เพราะคำพูดของหู่ซิงหมิงเปรียบได้ดั่งระเบิดลูกใหญ่ที่ถูกทิ้งลงมา

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ไอ้พลอตเรื่องที่ว่าวิ่งอยู่คนเดียวแล้วหมดสติอยู่ข้างทางแล้วได้รับการช่วยชีวิตจนอยากแทนคุณเลยรับเป็นลูกสาว แค่ฟังดูก็ยังรู้เลยว่าเป็นเรื่องโกหก ให้บอกว่าเป็นลูกนอกสมรสยังน่าเชื่อถือกว่าอีก แต่ไม่ว่าจะยังไงแล้วมันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าหู่ซิงหมิงนั้นโกหกหรือไม่ แล้วถ้าจะโกหก เขาจะโกหกไปทำไหม

เหล่าผู้คนที่อยู่ในงานตอนนี้ได้มองไปยังพวกซูจิ้ง เฉิงหนาน หวังซือหยา และเสี่ยวหนานของหู่ซิงหมิงอย่างเป็นตาเดียวกัน เสี่ยวหนานนี่คือเฉิงหนานงั้นรึ นี่คือคำถามที่หวังซือหยา เตียนจงยี่ ถังฮ่าว ผู้อาวุโสหวู่ และซุนหยูเฮงต่างนึกคิดในใจและแสดงออกมาด้วยท่าทีโง่งม

เฉิงเสี่ยวฮง เฉิงเสี่ยวหยุน และเฉิงฟุ่เองก็มีสภาพที่ไม่ต่างกันแม้แต่หวู่ฉิงติง หยิงติง ตระกูลลู่ และตระกูลเกาต่างหน้าตาโง่งมกันไปหมด พวกเขานั้นแทบจะหาไม้มาแคะหูตัวเองแล้วฟังอีกครั้งว่าตัวเองได้ยินไม่ผิดไป

แน่นอนว่าตัวเฉิงหนานเองนั้นงงยิ่งกว่าใครเมื่อ

หู่ซิงหมิงได้กวักมือเรียกเฉิงหนานพร้อมพูดออกมาว่า “เสี่ยวหนาน มานี่เร็ว”

เฉิงหนานที่สมองกำลังว่างเปล่าอยู่ในตอนนี้ได้พูดออกมาว่า “ดิฉันหรอคะ?”

หู่ซิงหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อย จะมีใครซะอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าเธออาย ขึ้นมาเร็วเข้า”

เฉิงหนานที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตอนนี้ถูกซูจิ้งผลักออกมาเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มอันมีเลศนัย

เธอหันไปมองซูจิ้งเล็กน้อยและรู้ได้ในทันทีเลยว่าทุกสิ่งอย่างนี้คือสิ่งที่ซูจิ้งเคยบอกเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้

“ไม่ว่าต่อจากนี้จะมีอะไรต่อไป อย่าได้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหล่ะ”

เธอก็คิดอยู่แล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงไม่ยอมบอกเธอให้ชัดๆไป เพราะต่อให้เขาบอกมายังไงเธอก็ไม่เชื่ออยู่ดี ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง แต่ที่แน่ๆซูจิ้งต้องเป็นผู้ดำเนินการแน่นอน

 

เฉิงหนานได้มองตาซูจิ้งไปแวบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึกๆและก้าวเดินขึ้นเวทีไปท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องเข้ามา

หู่ซิงหมิงเองก็ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่แสนดีใจ เขาดึงมือเธอพร้อมชูมือของเธอขึ้นก่อนที่จะพูดแนะนำตัวเธอประหนึ่งดังแนะนำลูกสาวของตัวเองจริงๆให้รู้จักว่า “คนๆนี้คือเสี่ยวหนาน ลูกสาวบุญธรรมของผม หากผมพบว่ามีใครที่กล้ารังแกเธออีกล่ะก็ ต่อแต่นี้ผมจะไม่มีทางปล่อยเรื่องแบบนี้ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นอันขาด” หู่ซิงหมิงพูดออกมาหน้าที่ยิ้มแย้มแต่เหี้ยมเกรียม พลางชะเลืองมองไปยังตระกูลหวู่

คำพูดง่ายของหู่ซิงหมิงเพียงไม่กี่คำได้ทำให้เฉิงหนานที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจ ได้กลายเป็นที่จับตามองของคนหลายๆคน

หลายๆคนเองก็เริ่มจะละอายต่อสิ่งที่ตัวเองได้ทำไปก่อนหน้านี้ หู่ซิงหมิงนั้นถือได้ว่าเป็นคนที่เข้มงวดและยุติธรรมอย่างแท้จริง

พวกเขาเองต่างก็รู้ว่าหู่ซิงหมิงเป็นคนที่คอยดูแลคนที่อยู่ข้างหลังของเขาเป็นอย่างดี

เขาสามารถกล้าเผชิญหน้ากับภัยอันตรายทุกชนิดเพียงเพื่อการปกป้องหากคนในอาณัติของเขาถูกรังแก

หลายๆคนต่างก็ชมเชยเหล่าลูกหลานของหู่ซิงหมิงว่าพวกเขาถูกอบรมมาเป็นอย่างดี

 

คนในตระกูลไม่เคยทำผิดกฎหมายและมีระเบียบวินัยอย่างมาก ถือได้ว่าไม่เสียทีเป็นคนในตระกูลหู่เลยซักนิด

ตอนนี้เมื่อเฉิงหนานได้กลายเป็นลูกบุญธรรมของหู่ซิงหมิงไปนั้น จึงไม่มีใครที่จะกล้าดูแคลนเธออีกต่อไป

นั่นก็เพราะว่าคนอย่างหู่ซิงหมิงนั้นเป็นคนที่ยากที่จะเข้าใกล้ แต่กับเฉิงหนานก็อีกเรื่องหนึ่ง

แถมการที่จะเข้าหาเฉิงหนานได้นอกจากจะได้สร้างสายสัมพันธ์กับสาวสวยแล้ว ยังถือได้ว่าเหยียบเข้าตระกูลหู่ไปได้ครึ่งก้าวแล้ว

 

“เรื่องบ้าอะไรกันวะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย” หวู่ฉิงติงถึงกับทำอะไรไม่ถูกและยากที่จะยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้

เขาเริ่มรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองในเรื่องที่เขาเคยก่อกับเฉิงหนานเอาไว้ ทั้งเรื่องลูกที่เขาได้โทษเธอมาตลอด ทั้งเรื่องที่เขาก่อเรื่องจนทำให้เธอทนเขาไม่ไหวและจากเขาไป แถมภรรยาใหม่ของเขานั้นดีไม่ได้สักเสี้ยวของเฉิงหนานทั้งในด้านหน้าตา นิสัยที่เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ และความสามารถ นี่ยังไม่พูดถึงจิตใจที่ดีงามที่เขาสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ตัวว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนแย่ยังไง แต่ตอนนั้นสำหรับเขาแล้วผู้หญิงคนนี้คือความหวังของเขาเพราะว่าเธอมีความพร้อมในการตั้งครรภ์มากกว่า

แต่ตอนนี้หลังจากที่เขานั้นรู้ว่าซูจิ้งนั้นสามารถรักษาภาวะการณ์มีบุตรยากได้ แถมเฉิงหนานเองก็ไม่ใช่คนผิดในเรื่องนี้ เขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยเหมือนกัน พอตอนนี้เขาได้รู้ว่าเฉิงหนานได้กลายเป็นลูกบุญธรรมของหู่ซิงหมิง ความเสียใจของเขาไม่สามารถปิดกั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

 

“พี่ฉิงคะ ฉันว่าไม่มีทางที่เฉิงหนานจะเป็นลูกเลี้ยงไปได้หรอก ฉันว่าเฉิงหนานต้องเป็นเมียเก็บของเขาแน่ๆ ไอ้เรื่องเจ้าพ่อและลูกสาวแบบนี้ฟังยังก็…” หยิงติงที่กำลังเล่นกับดอกกล้วยไม้อยู่นั้นได้นินทาออกมาเพราะรู้สึกว่าเรื่องของเฉิงหนานมันไม่ชอบมาพากล

“หยุดพูดไปซะ” หวู่ฉิงติงนั้นหน้าเปลี่ยนสีในทันทีที่ได้ยินพร้อมทั้งตบไปที่หน้าของหยิงติงจนดันลั่นทำให้หยิงติงต้องหยุดพูดในทันที

เขารีบหันมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจหรือสังเกตเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะทุกคนมัวแต่จ้องมองไปยังเฉิงหนานแล้ว

 

หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงผสมโรงนินทาไปด้วย แต่ด้วยการที่ตอนนี้เฉิงหนานกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของหู่ซิงหมิงไปแล้ว

หากเฉิงหนานยังแค้นพวกเขาหรือต่อให้เธอไม่แค้นใจต่อพวกเขาแล้วแต่หากมีใครได้ยินเรื่องนี้จนรู้ไปถึงหูของหู่ซิงหมิงล่ะก็

เขาไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเรื่องนินทาเสียหายแบบนี้ถูกรู้เข้าละก็เรื่องจะจบแค่หยิงติง

หู่ซิงหมิงต้องลงมือขัดแย้งกับตระกูลหวู่เต็มที่อย่างแน่นอน แล้วจะให้พวกเขาทำตัวยังไงกับหู่ซิงหมิงกัน

นี่ยิ่งทำให้หู่ฉิงติงไม่ชอบขี้หน้าคนแบบหยิงติงมากขึ้นเรื่อยๆ

“พี่ฉิงพี่ตบฉัน” หยิงติงได้ร้องไห้ออกมาในทันที ก่อนหน้านี้เขานั้นจะผสมโรงนินทากับเธอในทุกๆครั้ง

แต่ตอนนี้กลายเป็นหวู่ฉิงติงนั้นไม่เล่นด้วยกับเธอแล้ว เขานั้นจ้องไปยังเฉิงหนานยังไม่ละสายตา ราวกับคิดอะไรบางอย่าง

 

หวู่หลิวหยิงที่อยู่ข้างๆเองก็ยังทำตัวสงบเสงี่ยม เอาจริงๆถ้าเขาไม่ได้โดนซูจิ้งสะกดจิตแบบสมบูรณ์ไว้ล่ะก็ เขาเองคงตีลูกสะใภ้ของเขายับไปแล้ว