อวี่ฉีเป็นนางร้ายคนหนึ่ง

ถ้าจะพูดให้เจาะจงแล้วละก็ งานของเธอก็คือการทะลุมิติเข้าไปในนิยายเรื่องแล้วเรื่องเล่า โดยสวมบทเป็นนางร้ายที่มีชื่อเหมือนตัวเธอเอง

ในสามร้อยหกสิบศาสตร์อาชีพ ย่อมต้องมีผู้เชี่ยวชาญในวิชา จรรยาบรรณทางวิชาชีพและความเชี่ยวชาญของอวี่ฉีนั้นล้วนอยู่ในจุดสูงสุดทั้งหมด นับว่าเป็นพนักงานระดับเหรียญทองในสายอาชีพนี้เลยทีเดียว

ทุกครั้งที่ข้ามมิติมาอยู่ในหนังสือนิยาย เธอจะต้องทำภารกิจสองอย่างให้สำเร็จ หนึ่งคือเป็นตัวกลางในการจับคู่ระหว่างพระเอกกับนางเอก

ภารกิจข้อนี้ต่างจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง เป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้นางเอกผู้ใสซื่อราวกับดอกไม้ขาวพบกับความตาย แต่อวี่ฉีกลับต้องคุ้มครองนางเอกจนกว่าพวกเธอจะกลายเป็นปานสีชาดกลางใจ แสงจันทร์ขาวที่หน้าตั่งเตียง[1] ของพระเอก

ไม่! นี่ไม่มีอะไรให้ต้องบ่นหรอกนะ ต่อให้ความอ่อนโยนใจดีของนางเอกจะเสแสร้งยังไง เธอก็ยังตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบได้อยู่ดี

ในเมื่อรับเงินของคนอื่นมาแล้ว ก็ต้องทำงานให้สำเร็จลุล่วง หลังจากจบภารกิจ อวี่ฉีจะได้รับเงินส่วนหนึ่งจากนางเอกเป็นค่าตอบแทน ดังนั้นถ้าจะให้พูดในอีกแง่หนึ่ง นางเอกทุกคนถือเป็นนายจ้างของเธอ

ในฐานะลูกจ้างที่ดี เธอจะไม่นินทาเจ้านายก็แล้วกันนะ

ส่วนภารกิจที่สองที่เธอต้องทำให้สำเร็จนั้น คือการทำให้ตัวร้ายฝ่ายชายในหนังสือตกหลุมรักตัวเองให้ได้

ขอเตือนไว้ก่อน! นี่ไม่ใช่สวัสดิการจากการทำงานหรอกนะ แต่เป็นปัญหายุ่งยากที่สุดของการข้ามมิติทุกครั้งต่างหาก!

คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวร้ายฝ่ายชายได้นั้น มักจะใจแข็งและเย็นชา ต่อให้ใช้ความอบอุ่นทั้งหมดที่มีก็ไม่แน่ว่าจะละลายหัวใจของพวกเขาลงได้

โชคดีที่ในหมู่ผู้คนซึ่งเป็นนักแสดงโดยกำเนิด อวี่ฉีนั้นถือเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดจากทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบทหญิงสาวผู้อ่อนโยน ช่างเอาอกเอาใจ หรือตกอยู่ในห้วงรักอย่างลึกซึ้ง เธอก็สามารถแสดงได้อย่างไร้ที่ติ

……………..

แทบทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมา เธอมักจะอยู่บนเตียง ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากครั้งอื่น ๆ

จากการอ่านข้อมูลที่ถูกส่งเข้าสู่สมอง ครั้งนี้เธอต้องแสดงเป็น ‘ลู่อวี่ฉี’ คุณหนูหัวแก้วหัวแหวนของบริษัทในเครือตระกูลลู่ นิสัยของคุณหนูลู่ถูกกำหนดให้เป็นคนหยิ่งยโส ถูกตามอกตามใจมาตั้งแต่เด็ก และไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา จัดได้ว่าเป็นนางร้ายระดับล่างสุด ไม่มีชั้นเชิงอะไรเลย

นาฬิกาปลุกตรงหัวเตียงแสดงเวลาหกโมงห้านาที อวี่ฉีลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่วเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้าบ้วนปาก

หลังจากถอดชุดนอนและเปลี่ยนชุดชั้นในแล้ว เธอก็สวมเครื่องแบบนักเรียนสะอาดสะอ้านที่จัดวางเอาไว้อย่างเรียบร้อยบนหัวเตียง ใช่แล้ว…ร่างในตอนนี้มีอายุสิบหกปี กำลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่หนึ่ง

อวี่ฉียืนอยู่หน้าอ่างล้างมือในห้องน้ำ มองดูตนเองในกระจก แล้วอดไม่ได้ที่จะชมตัวเองในใจคำหนึ่งว่า ‘สวย’

ถึงนิสัยของลู่อวี่ฉีจะไม่ค่อยดี แต่รูปลักษณ์กลับดูดีเป็นที่หนึ่ง ตั้งแต่คิ้วจดคางไม่มีส่วนไหนที่ไม่ประณีตงดงามราวกับภาพวาด

มีหน้าตาสะสวยเป็นเรื่องที่ดี การทำภารกิจที่สองให้สำเร็จน่าจะง่ายขึ้นมาก เธอพอใจกับเรื่องนี้มากเลยทีเดียว

โดยปกติบ้านตระกูลลู่จะเริ่มรับประทานอาหารเช้าตอนหกโมงครึ่ง เมื่อจัดการเสื้อผ้าของตัวเองจนเสร็จ อวี่ฉีก็เปิดประตูเดินลงไปชั้นล่าง พร้อมเรียบเรียงลำดับความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวในหัวไปด้วย

นางเอกของหนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘ซ่งเชียนเชียน’ ซึ่งความหมายตรงกับคาแรกเตอร์นางเอกผู้ใสซื่อเหมือนดอกไม้ขาวได้พอดิบพอดี

ซ่งเชียนเชียนเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก ในปีที่อายุได้ห้าขวบ เธอถูกคุณนายลู่ที่มีลูกสาวเพียงคนเดียว เลือกรับไปเลี้ยงดูพร้อมกับตัวละครชาย ‘ต้วนจิ่นเหยียน’

แต่โชคร้ายที่ลู่อวี่ฉีมีนิสัยหยิ่งยโสและชอบทำตัวเหนือคนอื่น เธอก็เลยไม่เห็นพวกเขาที่มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่ในสายตา วัน ๆ เอาแต่เรียกใช้งานทั้งสองไม่ต่างอะไรกับคนใช้ ทัศนคติเลวร้ายสุดขีด ส่วนคุณนายลู่ทั้งที่เห็นอยู่ตำตา แต่ก็ใจแข็งดุด่าลูกสาวสุดที่รักของตัวเองไม่ลงอยู่ดี เธอจึงได้แค่หลับตาข้างหนึ่งแล้วทำเป็นมองไม่เห็นไป

หนึ่งปีต่อมา คุณนายลู่ได้ให้กำเนิด ‘ลู่เทียนเหล่ย’ บริษัทในเครือตระกูลลู่จึงมีผู้สืบทอดที่แท้จริงแล้ว ฐานะของเด็กทั้งสองที่ถูกรับมาเลี้ยงในบ้านตระกูลลู่จึงยิ่งตกต่ำลงไปอีก

ถ้าหากนำเรื่องราวในเทพนิยายมานิยาม ซ่งเชียนเชียนคงจะเป็นซินเดอเรลลาแสนน่าสงสารคนนั้น ส่วนลู่อวี่ฉีกับลู่เทียนเหล่ยก็คือน้องสาวและน้องชายจอมอิจฉา แต่จุดที่แตกต่างก็คือหนังสือเวอร์ชั่นนี้ดันเพิ่มตัวร้ายอย่าง ‘ต้วนจิ่นเหยียน’ มาอีกหนึ่ง ซึ่งแรกเริ่มก็ร่วมอาภัพเช่นเดียวกับซินเดอเรลลาอยู่หรอก แต่สุดท้ายกลับกลายมาเป็นลาสบอสไปเสียได้

ภารกิจที่เธอต้องทำก็คือคอยส่งเสริมความรักของซ่งเชียนเชียนกับลู่เทียนเหล่ย และทำให้ต้วนจิ่นเหยียนตกหลุมรักตัวเองให้ได้สินะ

เมื่อจัดลำดับความคิดเสร็จ เธอก็มาถึงชั้นล่างพอดี

อวี่ฉีรู้อยู่แล้วว่าตามปกติบ้านของนางร้ายในนิยายโรแมนติกที่เป็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์นั้นต้องหรูหราไฮโซ จากประสบการณ์การข้ามมิติที่ผ่านมาเธอก็ได้อาศัยอยู่ในบ้านแบบนั้นมาไม่น้อย แต่เธอไม่คิดเลยว่าบ้านหรูในนิยายเรื่องนี้จะชวนตื่นตาตื่นใจได้ถึงขนาดนี้ วินาทีที่เธอก้าวเข้าไปในห้องอาหาร เธอแทบจะนึกว่าตนเองกำลังอยู่ในท้องพระโรงของพระราชินีประเทศอังกฤษด้วยซ้ำ

แชนเดอเลียร์สไตล์ยุโรปที่ดูโบราณและงดงามแขวนอยู่บนเพดาน ตรงผนังด้านหน้ามีตู้กระจกเก็บไวน์ขนาดยักษ์ฝังอยู่ สีของเหล้าไวน์เข้มข้นในตู้แวววาวเป็นประกายระยับภายใต้แสงของโคมไฟ

บนผนังด้านหนึ่งทางซ้ายมือแขวนภาพวาดสีน้ำมันที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศของยุคกลาง ส่วนกรอบรูปนั้นดูมีศิลปะยิ่งกว่าตัวภาพวาดเสียอีก ด้านหน้าผนังมีตู้ไม้สีเข้มตู้หนึ่ง ด้านบนตู้มีเชิงเทียนคลาสสิกสองดวงวางตั้งอยู่ ระดับความประณีตละเอียดอ่อนเทียบได้กับผลงานศิลปะชิ้นเอก ตรงกลางระหว่างโคมทั้งสองดวงมีนาฬิกาตั้งพื้นสีน้ำตาลเข้มที่สูงเท่าครึ่งตัวคนวางคั่น แค่มองก็รู้ได้ว่าราคาคงไม่เบา

ความหรูหรางดงามเช่นนี้จะพบได้ในพวกเศรษฐีหน้าใหม่ ตระกูลที่ร่ำรวยจริง ๆ นั้นจะไม่ใช้เฟอร์นิเจอร์หรูหราอลังการเหมือนอยู่ในพระราชวังมาตกแต่งบ้านของตัวเองแบบนี้ สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีที่แท้จริงจะเข้าใจดีว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความหรูหราแบบไม่ต้องแสดงออก

โต๊ะอาหารยาวที่วางอยู่ตรงกลางนั้นมีความยาวเกือบสิบเมตร มันตั้งอยู่อย่างมั่นคงบนพรมขนสัตว์ผืนยาวสีเบจ เก้าอี้ไม้แกะสลักสีดำสิบตัวตั้งล้อมรอบโต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่อุปกรณ์รับประทานอาหารที่จัดเรียงเอาไว้จริง ๆ กลับมีแค่สี่ที่นั่งเท่านั้น

ซ่งเชียนเชียนกับต้วนจิ่นเหยียนนั้น นับตั้งแต่ลู่เทียนเหล่ยเกิดมาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนตระกูลลู่อีกเลย แน่นอนว่านี่เป็นผลงานของนางร้ายลู่อวี่ฉีคนนี้เองยังไงล่ะ

สองสามีภรรยาตระกูลลู่นั่งประจำที่อยู่ก่อนแล้ว อวี่ฉีเดินเข้าไปทักทายอรุณสวัสดิ์ นายท่านลู่ผงกศีรษะเรียบ ๆ อย่างเย็นชา ผิดกับคุณนายลู่ที่ยิ้มแย้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยน “วันนี้ทำไมตื่นเช้าขนาดนี้ล่ะจ๊ะ”

ประโยคนี้ที่จริงแล้วมีค่าเท่ากับคำว่าอรุณสวัสดิ์ ไม่ได้เป็นคำถามจริงจังอะไร อวี่ฉีจึงเพียงยิ้ม ๆ แล้วเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งลง

หลังจากนั้นไม่นานนัก ซ่งเชียนเชียนก็สะพายกระเป๋าหนังสือของเธอลงมาจากชั้นบนอย่างรีบร้อน เมื่อผ่านโต๊ะกินข้าวก็ก้มศีรษะลง ผงกศีรษะให้สองสามีภรรยาตระกูลลู่อย่างสะเปะสะปะ ท่าทางไม่ต่างอะไรกับลูกสะใภ้ที่ถูกรังแก ขนาดอวี่ฉีที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งเธอก็ยังไม่กล้ามองเลยสักนิด ซ่งเชียนเชียนเอื้อมมือหยิบขนมปังสองแผ่นที่วางอยู่ในตะกร้าไม้แกะสลักกลางโต๊ะยาวแล้วรีบไปโรงเรียนทันที

อวี่ฉีมองดูซ่งเชียนเชียนจากไป เธอไม่มีความคิดจะที่จะสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่าย

การเป็นนางร้ายเป็นแค่งานของเธอเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นคนชั่วร้ายจริง ๆ เสียหน่อย อันที่จริงเธอออกจะเป็นคนดีที่มีทัศนคติปกติทั้งสามด้าน แถมยังเป็นนางร้ายที่มีหลักการอีกด้วย

กฎข้อแรกของนางร้ายคือ ต้องกลั่นแกล้งนางเอกเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเอก ตอนนี้ลู่เทียนเหล่ยไม่อยู่ ถึงเธอจะแสดงอะไรไปก็ไม่มีผู้ชมมาคอยปรบมือเชียร์อยู่ดี

โดยปกติหลังจากซ่งเชียนเชียนออกไปแล้ว ต้วนจิ่นเหยียนก็จะลงมา

อวี่ฉีทาเนยลงบนขนมปังขาว ท่าทางเหมือนใจลอย แต่หูกลับเงี่ยฟังความเคลื่อนไหวที่ชั้นบนอยู่ตลอดเวลา

ผ่านไปราวสามนาที ชั้นสองก็มีเสียงปิดประตูเบา ๆ ตามด้วยเสียงฝีเท้านุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความเกียจคร้าน แค่ฟังดูก็รู้แล้วว่ามีเรี่ยวแรงน้อยนิด…ต้วนจิ่นเหยียนนั้นถูกทิ้งไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในตอนฤดูหนาว เขายืนอยู่ท่ามกลางหิมะหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ตั้งแต่นั้นเขาก็เลยมีสุขภาพที่ย่ำแย่เป็นจุดอ่อนมาโดยตลอด

ไม่นานร่างผอมสูงก็ปรากฏตัวขึ้นบนบันได อวี่ฉีเหลือบมองเขา ดูจากชุดนักเรียนหลวมโพรกที่อีกฝ่ายสวม จะเห็นได้ว่าร่างกายของเขาผอมแห้งแค่ไหน พอมองจากที่ไกล ๆ ก็ยิ่งดูอ่อนแอขี้โรค

เขาไม่เหมือนกับซ่งเชียนเชียน แม้ต้วนจิ่นเหยียนจะมีความชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง แต่เปลือกนอกของเขากลับเสแสร้งทำตัวอบอุ่นมีมารยาทยิ่งกว่าใคร ใบหน้าคล้ายสวมหน้ากากที่อมยิ้มบาง ๆ แสนอ่อนโยนอยู่ตลอดเวลา ทว่าภายใต้หน้ากากนั้นกลับซุกซ่อนความทะเยอทะยานอันน่ารังเกียจเอาไว้

สิบปีต่อจากนี้ เขาจะวางแผนฆาตกรรมสามีภรรยาตระกูลลู่ แล้วแย่งชิงธุรกิจเครือตระกูลลู่มาจากมือของลู่เทียนเหล่ย หนำซ้ำยังคิดแย่งซ่งเชียนเชียนที่หมั้นกับลู่เทียนเหล่ยแล้วมาเป็นของตัวเองอีกต่างหาก

เขาจึงนับเป็นคนที่ยากจะคาดเดาคนหนึ่ง

และหนึ่งในภารกิจที่อวี่ฉีได้รับหลังจากมาถึงที่นี่ก็คือ การคิดหาวิธีให้หมาป่าห่มหนังแกะตัวนี้ตกหลุมรักเธอให้ได้นั่นเอง

ต้วนจิ่นเหยียนเดินยิ้มเข้ามากล่าวอรุณสวัสดิ์อย่างใจเย็น รอยยิ้มบนใบหน้าดูอบอุ่นหมดจด ทำให้คนไม่สามารถหาข้อตำหนิได้เลยแม้แต่น้อย

อวี่ฉีเห็นเขาหยิบขนมปังสองแผ่นแล้วเตรียมตัวจะจากไป ก็เอ่ยปากว่า “เดี๋ยวก่อน”

ต้วนจิ่นเหยียนเข้าใจว่าเธอตั้งใจจะเล่นงานตัวเองอีกแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากจึงแข็งค้างไปชั่วขณะ ในดวงตาเรียวยาวสีดำและลึกล้ำคู่นั้นฉายประกายเอือมระอาและอึมครึมวูบหนึ่ง แต่ไม่นานมุมปากของเขาก็ยกขึ้นอีกครั้ง แล้วคลี่ยิ้มที่ดูอ่อนโยนสุด ๆ ออกมา “มีเรื่องจะคุยเหรอ?”

“อืม” อวี่ฉีตอบรับคำหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย “ป้าจาง เตรียมจัดโต๊ะเพิ่มอีกที่”

จบคำ ไม่ใช่เพียงต้วนจิ่นเหยียนที่มองเธออย่างประหลาดใจ กระทั่งนายท่านลู่และคุณนายลู่ก็ยังเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย

ในเมื่อต้องแสดงเป็นลู่อวี่ฉีผู้หยิ่งยโส เธอก็ต้องทำตัวให้หยิ่งยโสเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่นางร้ายที่แท้จริง แต่จะเป็นได้แค่ดอกบัวขาวในคราบของนางร้ายเท่านั้น

“รีบนั่งลง!” อวี่ฉีจงใจใช้น้ำเสียงรำคาญเกินทนพูดขึ้นมารัวเร็ว “เดี๋ยวฉันมีคำถามจะถามนายหลายข้อ”

ต้วนจิ่นเหยียนตะลึงงัน แต่ก็ยอมนั่งลงข้าง ๆ เธอ เขาหยิบขนมปังมาสองแผ่น แล้วมองดูเนยที่วางเอาไว้ไกลลิบแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอย่างรู้แก่ใจ ได้แต่ก้มหน้าจิบกาแฟที่วางไว้ตรงข้างมืออึกหนึ่งเท่านั้น

กิริยาอาการของเขาอยู่ในสายตาของเธอทั้งหมด อวี่ฉีจึงผลักเนยไปใกล้มือของอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ก้มหน้าทาขนมปังของตัวเองต่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ข้ามมิติมาก็หลายครั้ง หนึ่งในประสบการณ์ที่เธอได้มาคือรายละเอียดยิบย่อยนั้นเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง ถ้าให้เทียบกับคำพูดหวาน ๆ แล้ว รายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างสามารถสั่นคลอนจิตใจที่ดำเหมือนถ่านของตัวร้ายชายได้มากกว่าเสียอีก

แต่ต้องจำไว้ให้ดีว่าห้ามทำบ่อยจนเกินไป อะไรที่มากไปก็ยิ่งดูปลอม อวี่ฉีรู้ว่าตัวเธอต้องแสดงเป็นคุณหนูใหญ่ผู้หยิ่งยโสและนิสัยไม่ดี ดังนั้นต่อให้เธออยากแสดงความห่วงใยแค่ไหน ก็ไม่สามารถแสดงออกอย่างอ่อนโยนและใส่ใจมากเกินไปได้อยู่ดี

ต้วนจิ่นเหยียนเห็นเนยที่ถูกผลักมาข้างมือตัวเองก็อึ้งไปอีกครั้ง ถึงขนาดเผลอใช้นิ้วมือขาวเรียวยาวลูบบนขอบถ้วยกาแฟโดยไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายเขาก็ระวังตัวเกินไปจนไม่ยอมขยับ

เป็นไปตามที่คาดไว้ คลุกคลีกับตัวร้ายมามาก เธอรู้ตั้งนานแล้วว่าคนพวกนี้มีความระมัดระวังในตัวเองสูง ไม่มีทางผลีผลามรับน้ำใจที่คนอื่นแสดงออกมาอย่างกะทันหันได้หรอก โดยเฉพาะกับคนที่มักกลั่นแกล้งตัวเองเพื่อความบันเทิงตลอดมา

หลังจากจบมื้อเช้า อวี่ฉีก็บอกลาพ่อแม่แล้วหยิบกระเป๋านักเรียนที่ป้าจางวางไว้ตรงด้านหนึ่งลุกขึ้นเดินไปด้านนอก โดยมีต้วนจิ่นเหยียนก้าวตามไปอย่างรู้หน้าที่

บ้านตระกูลลู่อยู่ห่างจากโรงเรียนค่อนข้างไกล พี่น้องตระกูลลู่จึงมีคนขับรถไปส่งทั้งคู่ ส่วนซ่งเชียนเชียนกับต้วนจิ่นเหยียนนั้นต้องปั่นจักรยานไปเอง

อวี่ฉีมองเห็นต้วนจิ่นเหยียนกำลังจะไปเข็นรถจักรยานของตัวเองออกมา เธอจึงเข้าไปคว้าข้อมือของเขาไว้ พร้อมแสดงสีหน้าเย่อหยิ่งเย็นชา “ฉันบอกแล้วไงว่ามีคำถามจะถามนาย”

พูดกับคนฉลาดนั้นกินแรงสุด ๆ เมื่อต้วนจิ่นเหยียนได้ยินที่เธอพูดก็หยุดฝีเท้าลง แล้วใช้สายตาเหลือบมองผ่านมือขวาของเธอที่กำลังจับข้อมือของเขาเอาไว้ นัยน์ตาสีดำเข้มลึกลับเจือความสับสน

สัมผัสที่มือค่อนข้างเย็น ข้อมือของต้วนจิ่นเหยียนผอมบางจนไม่เหมือนข้อมือที่เด็กหนุ่มวัยนี้ควรจะเป็น อวี่ฉีอดที่จะแอบเห็นใจไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติมาก เธอเองก็เป็นคนดีที่มีสามัญสำนึกเหมือนคนทั่วไป ตอนที่เห็นคนอื่นใช้ชีวิตอย่างยากลำบากก็ย่อมรู้สึกเห็นใจเป็นธรรมดา และการเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเมื่ออินกับบทบาทก็จะทำให้เธอแสดงได้สมจริงยิ่งขึ้น บางครั้งถ้ายังหลอกตัวเองไม่ได้ ก็อย่าหวังจะไปหลอกคนอื่น

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมัวมาแสดงความเห็นอกเห็นใจ เพราะต้วนจิ่นเหยียนยังคงตั้งแง่ระแวงเธออยู่

สุดท้ายอวี่ฉีก็ปล่อยมือของเขาด้วยท่าทางเหมือนไม่ไยดี ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง

หลังจากขึ้นมาบนรถ ต้วนจิ่นเหยียนก็เอ่ยเสียงต่ำว่า “คำถามอะไร”

อวี่ฉีมองเขาแวบเดียว เธอหยิบแบบฝึกหัดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหนังสือมั่ว ๆ แล้วพลิกเปิดดู

คุณหนูคุณชายที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิดมักจะเป็นพวกขี้เกียจเรียนหนังสือ นี่เป็นสัจธรรม คะแนนของลู่อวี่ฉีไม่ดีมาโดยตลอด แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะห่วยขนาดนี้…การบ้านที่ต้องส่งวันนี้ถูกทำไปแค่สองสามข้อ ส่วนที่เหลือนั้นกลับว่างเปล่าทั้งหมด

แต่เพราะว่ามีประสบการณ์จากนิยายมาหลายเรื่อง อวี่ฉีจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอชี้ที่หน้ากระดาษว่างเปล่าโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด แล้วกล่าวอย่างมั่นใจ “พวกนี้ทั้งหมด ทำไม่ได้เลย”

……………………..

วันต่อมา อวี่ฉีรั้งให้ต้วนจิ่นเหยียนกินมื้อเช้าด้วยกัน นั่งรถไปโรงเรียนด้วยกัน วันที่สาม วันที่สี่ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ

สิบวันผ่านไป อวี่ฉีก็ไม่จำเป็นต้องออกปากอีก ทุกอย่างได้กลายเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว

ความสามารถในการแสดงสีหน้าของต้วนจิ่นเหยียนนั้นดีมาก เขามักอมยิ้มอย่างอ่อนโยนตลอดเวลา แต่บางครั้งอวี่ฉีก็ยังสังเกตเห็นความสงสัยที่ซ่อนลึกอยู่ในแววตาของเขาได้อยู่ดี

ไม่ต้องรีบร้อน นี่มันก็แค่การเริ่มต้นเท่านั้น ต่อให้จิตใจจะเย็นชาแข็งกระด้างหรือเต็มไปด้วยความระแวงสงสัยยังไง นานวันเข้าย่อมเกิดความรักขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

———————————————-

[1] ชาดที่อยู่กลางใจ แสงจันทร์ขาวหน้าตั่งเตียง สื่อถึงความรักของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข อยู่ด้วยกันไปตราบจนนิรันดร์