ลู่อวี่ฉีกับต้วนจิ่นเหยียนนั้นเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่งห้องเดียวกันพอดี

คนในห้องเรียนนี้ส่วนมากจะเป็นลูกหลานของครอบครัวเศรษฐีที่ชอบประจบคนที่อยู่สูงกว่า และซ้ำเติมคนที่อยู่ต่ำกว่าจนเคยชิน

โชคร้ายที่ลู่อวี่ฉีไม่ใช่กุลสตรีผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีสักเท่าไร เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอะไรคือการเห็นอกเห็นใจ อะไรคือการให้เกียรติ จึงได้เปิดโปงเรื่องที่ซ่งเชียนเชียนกับต้วนจิ่นเหยียนมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าออกไปตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอม

ต้วนจิ่นเหยียนนั้นยังดีที่เขาเชี่ยวชาญในการล่อลวงเด็กสาวให้หลงรัก ผู้หญิงส่วนใหญ่ในห้องจึงอยู่ข้างเขา ส่วนซ่งเชียนเชียนกลับค่อนข้างน่าสงสารกว่า ทั้งที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายแล้วแท้ๆ แต่หลังจากข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ไม่นานเธอก็ถูกคนจำนวนมากตีตัวออกห่าง จนไม่เหลือเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว

แต่หลายวันมานี้ อวี่ฉีที่เมื่อก่อนไม่ชอบต้วนจิ่นเหยียนเอามาก ๆ จู่ ๆ กลับเข้าออกห้องเรียนพร้อมกับอีกฝ่าย เพื่อนร่วมชั้นจึงพากันประหลาดใจและจับกลุ่มนินทาเรื่องนี้อยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว

ลู่อวี่ฉีเป็นถึงคุณหนูหัวแก้วหัวแหวนของบริษัทในเครือตระกูลลู่ แถมเธอยังหน้าตาดี เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ในห้องจึงคอยเอาอกเอาใจและใส่ใจเธอเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าลู่อวี่ฉีนั้นเป็นคนเย่อหยิ่งและไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาเลยสักคน ตอนแรกใจของทุกคนยังพอยอมรับการที่เธอไม่ชอบใครเลยอย่างเท่าเทียมนี้ได้ แต่อยู่ดี ๆ เธอดันชอบต้วนจิ่นเหยียนขึ้นมา ทุกคนจึงเริ่มที่จะไม่พอใจกัน

ในสายตาของพวกเขา ต้วนจิ่นเหยียนเป็นแค่คนที่มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีตรงไหนที่จะเทียบกับพวกเขาได้เลยสักนิด ในใจก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรม จึงไปคอยสร้างความวุ่นวายให้ต้วนจิ่นเหยียนอยู่บ่อย ๆ โดยตอนแรกยังเป็นแค่การลงไม้ลงมือเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการเอาสมุดการบ้านไปซ่อนเท่านั้น

อวี่ฉีเห็นอยู่ตำตา แต่ในเมื่อต้วนจิ่นเหยียนไม่ยอมบอกเธอเอง เธอก็เลยได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

จะเป็นนางร้ายก็ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในสายอาชีพกันบ้าง การใช้กลยุทธ์ทุ่มหมดหน้าตักกับเป้าหมายนั้นไม่มีอะไรที่การันตีได้เลยว่าภารกิจจะสำเร็จ ดีไม่ดีอาจทำให้อีกฝ่ายคิดว่า ‘มันก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว’ อีกต่างหาก วิธีที่ฉลาดอย่างแท้จริงคือเฝ้ามองดูเขาถูกคนอื่นบีบคั้นและกลั่นแกล้งไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้เขาจนตรอกจนอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อถึงเวลานั้น ขอแค่เธอมอบความเอาใส่ใจให้เขาสักหน่อยก็เป็นอันใช้ได้แล้ว

ถ้าให้ยกตัวอย่าง ก็คงจะเหมือนกับกรณีที่มีเจ้าหญิงองค์หนึ่งซึ่งเติบโตอยู่ในพระราชวังมาตั้งแต่เล็กจนโต ได้สวมเสื้อผ้าหรูหรา เสวยอาหารเลิศรส ถูกห้อมล้อมด้วยบริวาร เข้าออกวังด้วยรถยนต์หรูหรา ดังนั้นในตอนที่เจ้าชายขี่ม้าขาวมารับ เธออาจจะรู้สึกรังเกียจม้าขาวของเจ้าชายว่าไม่สูงสง่าองอาจพอด้วยซ้ำก็เป็นได้

แต่ถ้าเจ้าหญิงองค์นี้เคยตกอับจนกลายเป็นสามัญชน ถึงขนาดเคยเป็นสาวใช้หรือไม่ก็ขอทานมาก่อน เมื่อต้องใช้ชีวิตอย่างขมขื่นมายาวนาน ตอนที่เจ้าชายขี่ม้าขาวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าแล้วยิ้มชวนเธอขึ้นขี่ม้าไปด้วยกัน เธอก็จะรักเจ้าชายอย่างหมดหัวใจและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

เป้าหมายของอวี่ฉีคือการทำให้ต้วนจิ่นเหยียนเป็นอย่างหลัง เธอต้องการยื่นมือไปหาเขาในตอนที่อีกฝ่ายกำลังจนตรอกไร้ทางเลือกยังไงล่ะ

ถ้าให้เธอจงใจวางแผนการพวกนี้กับคนที่มีจิตใจดีงามคนหนึ่ง บางทีเธออาจใจอ่อนและลังเลอยู่บ้าง แต่กับต้วนจิ่นเหยียนนั้นไม่เหมือนกัน เขาถูกกำหนดมาให้เป็นตัวร้ายที่เย็นชาและไร้หัวใจ หาความเป็นคนดีไม่เจอ รังแกเขาไป เธอก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเท่าไร

 

นั่นก็เพราะจริง ๆ แล้วต้วนจิ่นเหยียนไม่ใช่คนดี

เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าช่วงนี้ท่าทีของอวี่ฉีที่มีต่อเขานั้นเปลี่ยนไป ถึงจะไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มีที่มายังไง แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเธอเริ่มมีความรู้สึกดี ๆ กับตัวเขาแล้วละก็ งั้น…บางทีเขาอาจจะหาทางใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ ช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในบ้านคนอื่นนั้นไม่ค่อยจะดีเท่าไร ถ้าหากสามารถทำให้ลู่อวี่ฉีรักเขาได้ เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป

อันที่จริง ก่อนหน้านี้เขาก็เคยลองพยายามดูแล้ว เพียงแต่ความหยิ่งยโสของคุณหนูใหญ่ผู้นี้ฝังลึกไปถึงกระดูก ขนาดมองเขาสักแวบยังขี้เกียจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะตกหลุมรักอะไรนั่นเลย

ทว่าครั้งนี้โอกาสมาถึงแล้ว เขาจะต้องรักษามันเอาไว้ให้ดี

พฤติกรรมชั่วร้ายระดับเด็กอนุบาลแบบนั้น ต้วนจิ่นเหยียนไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ หรือถ้าจะให้ใส่ใจจริง ๆ เขาก็มีมากกว่าสิบวิธีที่จะทำให้คนกลุ่มนั้นหยุดทำเรื่องบ้าบอพวกนี้ได้ เพียงแต่เขายังไม่คิดจะทำ

ต้วนจิ่นเหยียนคุ้นเคยกับจิตใจของสาวน้อยเป็นอย่างดี เขารู้ดีว่าคนเย่อหยิ่งและอวดดีแบบอวี่ฉีนั้น หากโดดเด่นกว่าเธอไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าเธอจะหันมาเหลียวแล แต่ก็ยังพอมีวิธีที่ใช้รับมือกับเด็กสาวที่หยิ่งยโสแบบนี้อยู่วิธีหนึ่ง คุณจะต้องปลุกความเป็นแม่และความรู้สึกอยากปกป้องในใจของเธอขึ้นมาให้ได้ หรือจะให้พูดกันตรง ๆ ความจริงตอนนี้เขากำลังใช้แผนทุกข์กาย[1] อยู่ แต่ผลที่ได้รับกลับไม่ดีอย่างที่คิดเสียนี่ ไม่สิ…ต้องบอกว่าไร้ผลสิ้นดีเลยต่างหาก! ลู่อวี่ฉีเหมือนไม่รับรู้ถึงเรื่องพวกนี้เลยสักนิด เขาอดทนกล้ำกลืนมาตั้งนาน แต่เธอก็ไม่เคยสังเกตเห็นเลย! หรือว่าแผนทรมานร่างกายจะเบาไป?

เพราะการปล่อยปะละเลยอย่างจงใจของคนที่คิดไม่ซื่อพอ ๆ กัน การกลั่นแกล้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตอนแรกจึงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งหลังเลิกเรียน อวี่ฉีรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นต้วนจิ่นเหยียนกลับมาที่ห้องเรียนสักที

สองคาบสุดท้ายคือวิชาพละ ถ้าเป็นนักเรียนชายคนอื่น เธออาจจะคิดว่าอีกฝ่ายเล่นบาสเกตบอลจนลืมเวลา แต่กับต้วนจิ่นเหยียนนั้นไม่มีทาง เขาเป็นผู้ใหญ่จนดูไม่เหมือนนักเรียนชายในวัยเดียวกัน ถ้าลบความมักใหญ่ใฝ่สูงที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเขาออกไปได้ ความจริงแล้วเขาก็เป็นคนที่พึ่งพาได้คนหนึ่งเลยทีเดียว

ทว่าทั้งที่ถึงเวลานัดกลับบ้านพร้อมกันแล้ว ต้วนจิ่นเหยียนก็ยังไม่มา จึงมีความเป็นได้แต่เพียงอย่างเดียวว่าเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเข้าให้แล้ว ถึงอวี่ฉีจะรอคอยสถานการณ์นี้มานาน แต่พอวันนี้มาถึงจริง ๆ เธอก็อดที่จะกังวลนิด ๆ ไม่ได้

ต้วนจิ่นเหยียนไม่เหมือนกับพวกตัวร้ายฝ่ายชายที่เธอเคยเจอมาก่อนหน้านี้ เขามีสุขภาพไม่แข็งแรง สามวันดีสี่วันไข้ ถ้าหากถูกเด็กวัยรุ่นเกเรพวกนั้นทำร้ายรุนแรงเกินไป ไม่แน่ว่าอาจถูกเล่นงานจนอ่วมไปเลยก็ได้

อวี่ฉีหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาแล้ววิ่งลงไปชั้นล่าง พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาต้วนจิ่นเหยียน สุดท้ายก็มีเพียงเสียงตอบกลับที่บอกว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องไปแล้ว เธอจึงครุ่นคิดก่อนตัดสินใจลองไปดูที่สนามกีฬา

ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นต้วนจิ่นเหยียนก็คือตอนเรียนวิชาพละ ถ้าเขาถูกกักตัวเอาไว้จริง ๆ ก็น่าจะอยู่ในช่วงระหว่างทางจากสนามกีฬามาถึงห้องเรียน เธอรีบออกจากตึกเรียนแล้วเลี้ยวครั้งหนึ่ง หลังจากเดินต่อไปไม่กี่ก้าว อวี่ฉีก็ต้องอึ้งไป ถึงขนาดที่โทรศัพท์ในมือหล่นตุ้บไปอยู่บนพื้นตั้งแต่เมื่อไร เธอยังไม่รู้เลย

ข้างสนามหญ้าเขียวขจีที่อยู่ด้านหลังของตึกเรียนมีทางเดินแคบ ๆ อยู่สายหนึ่ง พวกนักเรียนชายเกเรที่สุดในห้องพากันล้อมกรอบต้วนจิ่นเหยียนอยู่ตรงนั้น สองคนในกลุ่มถือสายยางยาว ๆ สีเขียวที่ภารโรงใช้รดน้ำต้นไม้ฉีดน้ำใส่เขา

“ไอ้ลูกเลี้ยงที่ไม่มีใครอยากได้ แค่ได้เกาะตระกูลลู่กิน แกก็ควรจะซาบซึ้งแล้ว นี่ยังคิดอยากจะได้อวี่ฉีอีกรึไง”

“พ่อแม่แกไม่มีใครอยากได้แก อวี่ฉีก็ยิ่งไม่ต้องการแก! แกมันไม่คู่ควรจะถือรองเท้าให้เธอด้วยซ้ำ!”

“ฉันไม่ชอบขี้หน้าแกมานานแล้ว เอาแต่ยิ้มน่ารังเกียจอยู่ได้ทั้งวัน มีแค่พวกผู้หญิงหน้ามืดตามัวในห้องเท่านั้นแหละที่ชอบแกลง!”

ต้วนจิ่นเหยียนเปียกปอนตั้งแต่หัวจดเท้า เส้นผมที่เคยอ่อนนุ่มดำขลับตอนนี้เปียกชุ่มจนแนบติดกับหน้าผากและบริเวณจอนผม ท่าทางสะบักสะบอมอย่างถึงที่สุด รอยยิ้มสงบนิ่งที่มักอยู่บนใบหน้าได้หายไปแล้ว เหลือเพียงใบหน้าขาวซีดไม่ต่างไปจากคนป่วย ส่วนริมฝีปากบางที่ดูดีของเขาก็ไม่ได้หยักยิ้มขึ้นเหมือนกับเมื่อก่อน เขาทำได้แค่เม้มปากที่หนาวจัดจนกลายเป็นสีม่วงแน่นเท่านั้น

ช่วงเวลานี้เป็นปลายฤดูร้อน ต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงค่อนข้างหนาว

เสื้อคลุมกันหนาวของเขาไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว บนตัวจึงเหลือแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกดึงจนหลุดลุ่ย แถมถูกน้ำฉีดใส่เปียกปอนแนบติดไปกับผิวจนมองเห็นด้านในได้ราง ๆ เผยให้เห็นรูปร่างท่อนบนของเขาที่ผอมบางจนน่าใจหาย

ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของอวี่ฉี ฝ่ามือที่ต้วนจิ่นเหยียนยกขึ้นปิดหน้าไว้จึงค่อย ๆ เลื่อนต่ำลง

วินาทีที่ทั้งคู่สบตากัน ริมฝีปากบางที่เย็นจนกลายเป็นสีม่วงของต้วนจิ่นเหยียนก็ค่อย ๆ ยกขึ้นส่งรอยยิ้มที่ค่อนข้างอ่อนแรงให้เธอ

รอยยิ้มบาง ๆ นั้น พอเทียบกับรอยยิ้มสมบูรณ์แบบที่เขาชอบทำก่อนหน้านี้แล้ว ถึงรอยยิ้มนี้จะไม่ดูดีเท่ารอยยิ้มปกติ แต่มันกลับสมจริงยิ่งกว่า คล้ายกับความรู้สึกที่ได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนมานาน

อวี่ฉีพุ่งเข้าไปแล้วตะคอกเสียงเยือกเย็น “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

ฐานะบวกกับรูปร่างหน้าตาทำให้บารมีและชื่อเสียงของลู่อวี่ฉีในห้องเรียนสูงลิ่วมาโดยตลอด นักเรียนชายหลายคนเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาก็อึ้งงันในทันที พลางก้าวถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว หัวโจกหนึ่งในนั้นเหมือนจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ เขาก้าวมาตรงหน้าอวี่ฉีแล้วมองเธอพลางหัวเราะคิกคัก “อวี่ฉี พวกเราช่วยเธอสั่งสอนเจ้าคางคกที่อยากจะกินเนื้อห่านฟ้าตัวนี้ให้แล้วนะ”

เมื่อเห็นเธอมา ต้วนจิ่นเหยียนที่แต่เดิมคุกเข่าอยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน นัยน์ตาสีดำกระจ่างใสจับจ้องมายังอวี่ฉีอย่างจริงจัง ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเธอ

“ถอยไป!” อวี่ฉีผลักพวกเขาออก แล้วสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวเพื่อประคองแขนของต้วนจิ่นเหยียนเอาไว้ พลางขมวดคิ้ว “นายยังไหวไหม”

สัมผัสเย็นจัดใต้ฝ่ามือของเธอบ่งบอกว่าสถานการณ์ของอีกฝ่ายย่ำแย่ถึงขีดสุด และไม่ผิดไปจากที่เธอคาดเอาไว้สักนิด วินาทีต่อมาต้วนจิ่นเหยียนก็เริ่มไอ ร่างผอมบางสั่นระริกไม่หยุดท่ามกลางลมหนาวยามเย็น

อวี่ฉีมองเขาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองมาคลุมร่างอีกฝ่ายเอาไว้อย่างไม่ลังเล “นายอดทนอีกหน่อยนะ ลุงหวังรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน มีเสื้อผ้าสำรองอยู่บนรถ”

ต้วนจิ่นเหยียนหลุบตาลงเหมือนกำลังจะห้ามเธอ แต่นัยน์ตาสีดำคู่นั้นกลับมีแสงแห่งความยินดีที่เหยื่อมาติดกับพาดผ่าน เขาแสดงท่าทางเหมือนรู้สึกผิดปนลำบากใจเล็กน้อย แล้วใช้น้ำเสียงที่ใสสะอาดและอบอุ่นเหมือนที่ผ่านมาเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเสื้อกันหนาวของเธอจะเปียกเอานะ”

ถึงอวี่ฉีจะรู้อยู่แก่ใจว่าจิตใจของต้วนจิ่นเหยียนนั้นดำสนิทจนมองอะไรไม่เห็น และเข้าใจดีว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ แต่ด้วยหน้าที่ เธอก็เลยจำเป็นต้องแกล้งโง่เหมือนถูกเขาหลอกสำเร็จ

อวี่ฉีคลุมเสื้อกันหนาวให้เขาเงียบ ๆ แล้วประคองพาเดินไปทางประตูโรงเรียน

นักเรียนชายหลายคนที่ถูกทิ้งไว้ด้านข้างยังคงตามรังควานอย่างไม่ยอมแพ้

“อวี่ฉี เธอคงไม่ได้ชอบเจ้าหมอนี่เข้าแล้วหรอกนะ!”

อวี่ฉีหยุดฝีเท้าลง แต่ไม่ได้หันหน้ากลับไป เธอยังคงมองตรงไปด้านหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง “นับตั้งแต่วันนี้ไป ต้วนจิ่นเหยียนเป็นคนของฉัน ถ้าพวกนายกล้าแตะต้องเขาอีกแม้แต่นิดเดียวละก็ อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ”

ต้วนจิ่นเหยียนที่เดิมทีมีท่าทางสงบนิ่งก็อึ้งไปพร้อม ๆ กับนักเรียนชายคนอื่นหลายคน ราวกับไม่คาดคิดว่าเธอจะพูดประโยคนี้ออกมา

————————————————————————————————

[1] กลยุทธ์ทุกข์กาย คือหนึ่งในกลยุทธ์สามก๊กที่แสร้งทรมานตัวเอง โดยอาจให้คนอื่นทรมานตัวเองเพื่อตบตาและทำให้อีกฝ่ายตายใจ