เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลลู่ อวี่ฉีไม่ได้ตรงดิ่งกลับห้องตัวเองไปเหมือนทุกที แต่กลับตามต้วนจิ่นเหยียนเข้าไปในห้องของอีกฝ่ายแทน
ถ้าให้เทียบกันกับห้องนอนสุดหรูของลู่อวี่ฉีแล้ว ห้องของต้วนจิ่นเหยียนนั้นคงถือได้ว่าเรียบง่ายสุด ๆ มีแค่เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนังสือหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว และตู้เสื้อผ้าอีกตู้ เฟอร์นิเจอร์โทนสีขาวดำทำให้ห้องกว้างขวางสะอาดตา ดูแล้วรู้สึกสบายตากว่าห้องสุดอลังการของลู่อวี่ฉีเป็นกอง
ต้วนจิ่นเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือ ป้องปากไอสองครั้งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ผมว่าผมควรไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจะดีกว่า”
อวี่ฉีใช้น้ำเสียงหยิ่งยโสแย้งขึ้นมาทันที “สภาพนายในตอนนี้อาบน้ำได้รึไง”
ไม่รอให้เขาตอบ อวี่ฉีก็ย่อตัวลงไปแล้วม้วนขากางเกงข้างขวาของเขาขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้ตอนที่ประคองอีกฝ่ายเดิน เธอสังเกตเห็นว่าท่าทางการเดินของต้วนจิ่นเหยียนดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไร โดยเฉพาะขาข้างขวา
อันที่จริงเธอรู้ดีอยู่แล้วว่า ต่อให้เขาจะบาดเจ็บก็คงไม่ได้ร้ายแรงอะไร ต้วนจิ่นเหยียนรับมือกับแผลพวกนี้ได้อย่างแน่นอน แต่เธอต้องพิชิตเป้าหมายให้สำเร็จจงได้ เพราะงั้นต่อให้ไม่มีโอกาส เธอก็ต้องเสกมันขึ้นมาเอง นี่ถือเป็นความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพที่พนักงานระดับเหรียญทองควรมีอย่างหนึ่ง
ในตอนที่ขากางเกงถูกม้วนถึงบนข้อเท้า สีหน้าของต้วนจิ่นเหยียนพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย และแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน เขาหดขากลับไปด้านหลัง แล้วใช้มือข้างหนึ่งกดมือของเธอเอาไว้ “ไม่เป็นไรหรอก”
ยากมากที่อวี่ฉีจะได้เห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมานอกจากสีหน้าสงบนิ่งตอนปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงขึ้นมา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ความว่องไวของเธอลดลง กว่ามือของเขาจะกดลงมา เธอก็เลิกขากางเกงของเขาเลยหัวเข่าขึ้นไปแล้ว
เหนือหัวเข่าของต้วนจิ่นเหยียนมีรอยแผลถลอกที่ดูเด่นสะดุดตาอยู่แผลหนึ่ง บริเวณปากแผลมีเลือดไหลซึมออกมา แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาจริง ๆ กลับเป็นแผลน้ำร้อนลวกขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือตรงกลางน่องของอีกฝ่ายต่างหาก แผลนี้น่าจะมีมานานแล้ว ผิวหนังตรงจุดนั้นมีสีชมพูเข้มทั้งนูนเว้าและไม่ได้ขาวเรียบเนียนเหมือนกับผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ดูแล้วน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง
อวี่ฉีนึกไม่ออกว่าในข้อมูลมีกล่าวถึงเรื่องที่อีกฝ่ายถูกน้ำร้อนลวกจนได้แผลในบ้านตระกูลลู่ตอนไหน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเรื่องคงเกิดช่วงที่อีกฝ่ายยังอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือไม่ก็บ้านเดิมสมัยที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ แต่ไม่ว่าแบบไหน ก็คงไม่มีทางเป็นความทรงจำที่ดีแน่นอน
เธอได้แต่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เพ่งจุดสนใจไปยังบาดแผลสดใหม่บนหัวเข่าของเขาอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันไปเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์มาให้”
อวี่ฉีพบเจอตัวร้ายมามาก จึงเข้าใจจิตใจของพวกเขาได้เป็นอย่างดี พวกที่พยายามเก็บซ่อนบาดแผลไว้น่ะ ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะรอให้มีใครสักคนมาปลอบโยนตัวเองอย่างอ่อนโยน ความจริงแล้ว การที่พวกตัวร้ายเหล่านี้พยายามกลบเกลื่อนรอยแผลเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณนั้น เป็นเพราะว่า หนึ่ง พวกเขาต่างมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองเกินกว่าคนปกติทั่วไปมาก สอง พวกเขาทุกคนไม่อยากถูกคนอื่นจับจุดอ่อนได้ ขืนทะเล่อทะล่าเข้าไปซอกแซกถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย หรือหลับหูหลับตาปลอบโยนแล้วละก็ ผลลัพธ์ที่ได้จะตรงข้ามกับที่คิดไว้แน่นอน
“ไม่ต้องหรอก ผมทำเองได้” ต้วนจิ่นเหยียนปฏิเสธ พลางขยับขาอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก เขาจามอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเผยรอยยิ้มบาง ๆ “แผลเป็นมันค่อนข้างน่าเกลียดน่ะ”
อวี่ฉีเงยหน้ามองอีกฝ่าย จ้องมองนัยน์ตาสีนิลอันงดงามของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากยืนยันได้แล้วว่าคำพูดนี้ของเขาออกมาจากใจจริง ไม่ได้เสแสร้งทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจอะไรแบบนั้น เธอจึงพยักหน้าและยืนขึ้นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่ไม่สมควรทำมากที่สุดคือการพูดคำว่า ‘ฉันไม่เห็นรู้สึกว่ามันจะน่าเกลียดตรงไหนเลย’ ออกไปโดยไม่คิด แล้วดันทุรังที่จะช่วยทายาให้อีกฝ่ายต่อ การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ดูเหมือนเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ยังแฝงไปด้วยความโหดร้ายที่รังแต่จะทำลายความรู้สึกดีๆ ของอีกฝ่าย ซ้ำยังไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยสักนิด
อวี่ฉีพยักหน้า “งั้นนายก็ใส่ยาเองนะ แล้วห้ามอาบน้ำล่ะ เดี๋ยวจะเป็นไข้” กล่าวจบ ประตูห้องก็มีเสียงก๊อก ๆ ดังขึ้นสามครั้งอย่างมีมารยาท
ต้วนจิ่นเหยียนส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “เข้ามาเลย ประตูไม่ได้ล็อก”
ที่ด้านนอกประตูมีเสียงหมุนลูกบิดดังแว่วมา หางตาของอวี่ฉีกระตุกเล็กน้อย เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่เข้าห้องมาดันเผลอล็อกประตูโดยไม่จำเป็นไปแล้ว
อวี่ฉีเดินตรงไปเปิดประตู ทว่าทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างเล็กบอบบางร่างหนึ่งก็ถลาเข้ามาในอ้อมแขนของเธออย่างพอดิบพอดี
ร่างเด็กสาวที่ทั้งหอมและนุ่มนิ่มอิงแอบอยู่ในอ้อมแขน สองมือกดที่หน้าอกของตนเองอย่างตื่นตระหนก นัยน์ตากลมโตสีดำที่เด่นชัดนั้นเอ่อคลอไปด้วยประกายของหยดน้ำจากความหวาดกลัว ถึงรูปโฉมความงามจะอยู่แค่ระดับกลาง ๆ ค่อนไปทางสูง แต่ในวินาทีนี้กลับสามารถทำให้ผู้คนเกิดความคิดชั่ววูบว่าอยากจะกลืนเธอลงท้องไปให้ได้
อวี่ฉีรู้สึกโชคดีนิดหน่อยที่เธอเป็นคนมาเปิดประตูเอง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นต้วนจิ่นเหยียน ไม่รู้ว่าเขาจะยังหนักแน่นมั่นคงเหมือนกับตัวเธอได้หรือเปล่า
ซ่งเชียนเชียนวางมือไม้ไม่ถูกขณะผละมายืนทรงตัว ใบหน้าเล็ก ๆ ซีดเผือดจนน่ากลัว คล้ายกับเมื่อครู่เธอเพิ่งจะโผเข้าไปในอ้อมอกของซากศพพันปีอย่างไรอย่างนั้น เธอทำท่าเหมือนอยากจะขอโทษ แต่กลับทำได้เพียงอ้าปากพะงาบ ๆ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาทันที
อวี่ฉีกอดอกพิงขอบประตู มองดูกระต่ายน้อยที่ตื่นตูมจนความกล้าหาญแตกกระเจิงด้วยท่าทางสนอกสนใจ
ยิ่งกระต่ายน้อยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเธอก็ยิ่งกลัวจนแข้งขาอ่อนแรง ใบหน้าขาวซีดหันขวับไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากต้วนจิ่นเหยียนที่อยู่ด้านในห้อง
ขากางเกงของต้วนจิ่นเหยียนนั้นยังไม่ทันได้ถูกพับลงมา ซ่งเชียนเชียนที่เห็นแผลถึงกับตกตะลึงไปในทันที เธอลอบมองอวี่ฉีที่ยืนอยู่ด้านข้างแวบหนึ่งแล้วจึงกลับมามองต้วนจิ่นเหยียนด้วยความเป็นห่วง “นายได้รับบาดเจ็บเหรอ”
อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้นางเอกกับตัวร้ายฝ่ายชายได้อยู่ด้วยกันนั้นไม่ใช่วิธีการที่ชาญฉลาด
อวี่ฉียืดตัวตรงบดบังสายตาของซ่งเชียนเชียนเอาไว้ แล้วรีบตอบแทนต้วนจิ่นเหยียนด้วยเสียงตัดบท ก่อนที่คนถูกถามจะได้เปิดปากพูดซะอีก “อืม แค่แผลเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะ” ขณะเอ่ยเธอก็โอบเอวของซ่งเชียนเชียนเอาไว้ด้วย แล้วลากอีกฝ่ายออกไปนอกห้อง ก่อนที่จะปิดประตู เธอก็หันกลับไปมองเห็นต้วนจิ่นเหยียนรอบหนึ่ง แล้วพบว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้อย่างที่คิด เธอจึงพยักหน้าให้เขาทีหนึ่ง “พักผ่อนดี ๆ ล่ะ” กล่าวจบก็ปิดประตูลงทันที
อวี่ฉีหิ้วซ่งเชียนเชียนมาถึงหน้าประตูห้องของลู่เทียนเหล่ย เธอก้มหน้ามองนางเอกที่ตกใจจนเอ๋อไปแล้ว ก่อนจะกลั้นยิ้มพลางตบลงบนศีรษะของอีกฝ่ายเบา ๆ “เทียนเหล่ยทำคะแนนได้ไม่ดีเท่าไร เธอไปช่วยติวเสริมให้เขาซะ ก่อนถึงเวลาอาหารเย็น ฉันหวังว่าจะไม่เห็นเธอเดินออกมาจากห้องนี้นะ” เอ่ยจบก็ยื่นมือไปบิดลูกบิดประตูแล้วยัดอีกฝ่ายเข้าไป แต่อวี่ฉีกลับคาดไม่ถึงว่า ทั้งที่เลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว ซ่งเชียนเชียนและลู่เทียนเหล่ยต่างไม่มีใครโผล่หน้าสักคน รวมไปถึงต้วนจิ่นเหยียนด้วยเช่นกัน
แรงดึงดูดของพระเอกกับนางเอกนั้นรุนแรงมากจริงๆ เธอแค่ถือโอกาสช่วยผลักดันพวกเขาไปเบา ๆ เท่านั้น แป๊บเดียว ทั้งสองก็ตัวติดกันโดยอัตโนมัติไปซะแล้ว วันต่อมา ซ่งเชียนเชียนก็เดินตามก้นลู่เทียนเหล่ยต้อย ๆ ลงมาชั้นล่างราวกับเป็นสะใภ้ตัวน้อย ๆ ไม่มีผิด
ลู่เทียนเหล่ยแสร้งแสดงสีหน้ายโสโอหัง เพราะต้องการจะให้ซ่งเชียนเชียนนั่งลงร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วยกันให้ได้ ซ่งเชียนเชียนอึ้งไปก่อนจะเหลือบมองอวี่ฉีด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“เทียนเหล่ยบอกให้เธอนั่ง เธอก็นั่งลงสิ” อวี่ฉีตั้งใจเอ่ยอย่างเย็นชา ราวกับกำลังกักเก็บความไม่พอใจที่มีต่ออีกฝ่ายไว้เต็มอก
น่าเสียดายที่ลู่เทียนเหล่ยไม่มีความละเอียดอ่อนสักนิด นอกจากเขาจะฟังไม่ออกแล้ว ยังไม่ห่วงใยทะนุถนอมนางเอกอีกต่างหาก กลับเอาแต่ยิ้มร่าพลางตบบ่าของซ่งเชียนเชียน “นั่งสิ พี่ฉันบอกให้เธอนั่งแล้วนะ”
อวี่ฉีพลันเกิดความรู้สึกเห็นใจซ่งเชียนเชียนขึ้นมาหลายส่วน เธอจึงกระแอมครั้งหนึ่ง “ฉันกินอิ่มแล้ว เชิญพวกเธอตามสบายก็แล้วกัน”
สามีภรรยาตระกูลลู่ออกไปบริษัทตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว อวี่ฉีเดินขึ้นชั้นบนไปพลางใช้มือถือส่งข้อความหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอลาหยุด
เดิมทีร่างกายของต้วนจิ่นเหยียนก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว แถมเมื่อวานยังเปียกโชกไปทั้งตัวอีก ถึงได้ทั้งจามทั้งไอตั้งแต่เมื่อคืน คิด ๆ ดูแล้วอาการน่าจะยังไม่ค่อยดี ตอนมื้อเย็นเขาก็ไม่ได้ลงมา วันนี้ก็ยังไม่ได้ลุกขึ้นมากินอาหารเช้าอีก ไม่แน่ว่าอาจจะไข้ขึ้นแล้วก็ได้
เดินขึ้นมาถึงชั้นสอง อวี่ฉีก็ตรงไปยังหน้าห้องของอีกฝ่ายก่อนเคาะประตู “เข้าไปได้ไหม”
ไม่มีเสียงตอบรับ
ถึงแม้ว่าการเข้าไปในห้องนอนของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตออกจะเสียมารยาทไปบ้าง แต่ลู่อวี่ฉีที่หยิ่งยโสและนิสัยแย่ ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทมากอยู่แล้ว รออยู่พักหนึ่งเธอจึงเปิดประตูเดินเข้าไปเองอย่างไม่ลังเล
ต้วนจิ่นเหยียนนอนหันหลังให้ประตูอยู่บนเตียง จากมุมมองของเธอเห็นได้เพียงเส้นผมสีดำอันอ่อนนุ่มตรงท้ายทอยขาวซีดของอีกฝ่ายเท่านั้น
ผ้าห่มผืนหนาห่มคลุมอยู่บนร่างของเขาชั้นหนึ่ง ทั้งที่เป็นแบบนั้น ก็ยังสามารถมองออกได้ว่าร่างกายของเขาผ่ายผอมเพียงใด
หยุดยืนอยู่ที่ประตูได้ครู่หนึ่ง ลู่อวี่ฉีก็เดินเข้าไปในห้อง แล้วอ้อมปลายเตียงไปยืนอยู่เบื้องหน้าต้วนจิ่นเหยียน และเฝ้ามองเขาจากมุมที่สูงกว่า
หางตาที่เชิดขึ้นเล็กน้อยของเขาแดงก่ำผิดปกติ อีกทั้งใต้ขอบตายังเป็นรอยเขียวคล้ำจาง ๆ ริมฝีปากบางที่แต่เดิมชุ่มชื้น ตอนนี้กลับขาวซีดและแห้งผาก เขาน่าจะเป็นไข้แล้ว แถมยังเป็นไข้หนักเสียด้วย
แต่เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังหลับอยู่จริง ๆ หรือไม่นั้น ยังต้องพิสูจน์กันดูอีกที
ขนตาสีดำสนิทของต้วนจิ่นเหยียนสั่นไหวเบา ๆ ลูกตาที่อยู่ภายใต้เปลือกตาบางคล้ายกับกลอกไปมาเล็กน้อย บางทีอาจจะกำลังฝันร้าย หรือไม่ก็แกล้งหลับอยู่
อวี่ฉียืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นเองเธอก็โน้มกายลงไปอย่างรวดเร็ว จนใบหน้าแทบจะแนบติดหน้าของอีกฝ่ายแล้วนั่นละ เธอถึงยอมหยุดลงอย่างปุบปับ
อืม น่าจะกำลังแกล้งหลับ
ถ้าต้วนจิ่นเหยียนหลับอยู่จริง ๆ แล้วละก็ เขาคงไม่มีทางรู้ว่าเธอกำลังเข้าประชิดตัวอย่างกะทันหันแบบนี้แน่ แต่เมื่อครู่เขากลับเกร็งกล้ามเนื้อในตอนที่เธอเข้าใกล้ ถึงจะผ่อนคลายลงได้ในทันที แต่ก็ถือว่าโป๊ะแตกซะแล้ว
ว่าแต่ทำไมถึงต้องแกล้งหลับด้วยล่ะ คิดจะหยั่งเชิงเธองั้นเหรอ? หรือว่านี่คือแผนทรมานร่างกายของเขากันแน่? แต่ไม่ว่าจะมาไม้ไหน เธอก็วางแผนซ้อนแผนรับมือได้อยู่ดี ในเมื่อต้วนจิ่นเหยียนอุตส่าห์ยื่นโอกาสให้เธอได้แสดงฝีมือแล้วทั้งที ถ้าไม่ใช้ประโยชน์สักหน่อย เธอคงต้องรู้สึกละอายใจต่อเกียรติของพนักงานดีเด่นระดับเหรียญทองอย่างแน่นอน
อวี่ฉีค่อย ๆ ย่อตัวลงตรงหน้าเตียงของต้วนจิ่นเหยียน แล้วยื่นมือขวาไปลูบแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน เคลื่อนไหวแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับสัมผัสเครื่องปั้นดินเผาที่เปราะบางใบหนึ่ง นิ้วมือนุ่มนิ่มขาวกระจ่างลูบไล้ผ่านคิ้วและหางตาของเขาไปอย่างช้า ๆ สุดท้ายก็ไล่นิ้วลงมาบนริมฝีปากขาวซีดของอีกฝ่าย เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มศีรษะลงไป ประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากบางของเขาอย่างแผ่วเบา