ต้วนจิ่นเหยียนเวอร์ชั่นหนุ่มน้อยยังไม่ได้เป็นจักรพรรดิแห่งการแสดงเหมือนตัวเขาในอีกสิบปีข้างหน้า จูบนี้ของอวี่ฉีจึงทำให้อีกฝ่ายตกใจจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าแข็งเกร็งไปวูบหนึ่ง แต่บอสอย่างไรก็คือบอส เพียงพริบตาเดียวก็กลับไปนอนหลับด้วยท่าทางผ่อนคลายเหมือนเดิมได้
อวี่ฉีจับจ้องเขาอยู่นานมาก อดทนแล้วอดทนอีก แต่ก็กลั้นยิ้มไม่ไหวอยู่ดี เธอจึงรีบออกจากห้องแล้วลงไปชั้นล่างทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเผลอหัวเราะออกมาต่อหน้าต้วนจิ่นเหยียน
หลังจากสั่งให้แม่บ้านจางทำข้าวต้มพร้อมกับอาหารรสอ่อนจำนวนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว อวี่ฉีก็เดินอ้อมไปที่ห้องครัว เทน้ำอุ่นแก้วหนึ่ง จากนั้นก็ถามหายาลดไข้จากแม่บ้านจาง ก่อนจะนำทั้งหมดยกกลับไปที่ห้องของต้วนจิ่นเหยียน
บอสเวอร์ชั่นหนุ่มน้อยยังคงพยายามแกล้งหลับอย่างเอาเป็นเอาตาย อวี่ฉีปิดประตูแล้วนำแก้วน้ำกับกล่องยามาวางไว้บนหัวเตียงของอีกฝ่ายอย่างเบามือ จากนั้นก็หมุนตัวไปดึงผ้าม่านให้เปิดออกเล็กน้อย เพื่อให้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ข้างนอกส่องเข้ามา
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว เธอก็ไปหาผ้าขนหนูสะอาด ๆ ผืนหนึ่งในห้องน้ำมา ลงมือชุบน้ำแล้วเดินกลับมาวางแปะไว้บนหน้าผากของต้วนจิ่นเหยียน พร้อมถือโอกาสสอดเก็บชายผ้าห่มให้ด้วย
ต้วนจิ่นเหยียนดูเหมือนยังคงไม่คิดจะตื่นขึ้นมา อวี่ฉีหัวเราะแบบไม่มีเสียง ถือโอกาสนั้นยื่นมือไปเลือกหยิบหนังสือจากชั้นหนังสือของอีกฝ่าย แล้วนั่งหันข้าง อ่านหนังสือเล่มนั้นตรงหัวเตียงของเขา
ยังดีที่หนังสือที่เธอหยิบมามั่ว ๆ เล่มนี้ใช้ได้เลยทีเดียว หรืออาจบอกได้ว่ารสนิยมของต้วนจิ่นเหยียนนั้นไม่เลวเลยก็ได้ นี่เป็นหนังสือรวบรวมผลงานของยิบราน นักประพันธ์ของโลกผู้เป็นความภาคภูมิใจของเลบานอน อวี่ฉีลองพลิกอ่านดูสองหน้า ก็อ่านเจอย่อหน้าหนึ่งที่น่าสนใจมาก
“คือการรู้แจ้งว่านักบุญและคนบาปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน บิดาของพวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่อันทรงศักดิ์ของพวกเรา และหนึ่งในนั้นเกิดก่อนอีกคนเพียงชั่วขณะ ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงยอมรับเขาว่าเป็นเจ้าชายผู้ทรงมงกุฎ”
จนกระทั่งเธอรู้สึกเหนื่อย อวี่ฉีจึงแหงนคอที่ปวดเมื่อยขึ้นมามองเห็นนาฬิกาปลุกที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ เธอถึงได้พบว่าเวลาผ่านไปถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว
เธอกินข้าวเช้ามาแล้วก็เลยไม่รู้สึกอะไร แต่ต้วนจิ่นเหยียนยังไม่ได้กินทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้า ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง ครุ่นคิดไปมาอวี่ฉีก็รู้สึกว่าเวลานี้เขาควรจะตื่นได้แล้ว เธอจึงวางหนังสือในมือลง ก่อนจะกุมมือขวาส่วนที่ยื่นพ้นออกจากผ้าห่มของต้วนจิ่นเหยียนเอาไว้เบา ๆ แทน
อะไรคือหัวใจหลักของการดูแลคนป่วยน่ะหรือ
มันก็คือการค่อย ๆ ยิ้มภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นให้เขาในชั่ววินาทีที่อีกฝ่ายฟื้นขึ้นจากความเจ็บป่วยอ่อนล้ายังไงล่ะ และถ้าตอนนี้ได้กุมมือเขาเอาไว้ด้วยแล้วละก็ จะยิ่งได้ผลดีที่สุด
ถึงคุณบอสต้วนจะกำลังแกล้งหลับอยู่ แต่อาการเจ็บป่วยและความอ่อนล้านั้นเป็นของจริง เธอเล่นไม้นี้ก็น่าจะยังได้ผลอยู่บ้าง
อวี่ฉีรออยู่ราว ๆ สิบห้านาที ในที่สุดแพขนตาของต้วนจิ่นเหยียนก็เริ่มสั่นไหวเบา ๆ เธอรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าเขากำลังจะตื่น จึงรีบจัดท่าและองศาการนั่งที่เหมาะสมให้เสร็จในพริบตา
ก่อนหน้านี้เคยกล่าวไปแล้วว่า อวี่ฉีเป็นตัวร้ายระดับแนวหน้าของวงการ การแสดงของเธอเรียกได้ว่าแทบจะไร้ที่ติ ฉะนั้นหากคนอย่างเธอตั้งใจจะทำให้ใครสักคนหวั่นไหวละก็ น้อยคนนักที่จะโชคดีหลุดมือเธอไปได้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มที่เติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แถมขาดความรักและความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็กด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น ตอนที่ต้วนจิ่นเหยียนค่อย ๆ ลืมตาคู่นั้นขึ้นมา เขาจึงได้เห็นภาพนี้
แสงอาทิตย์อันอบอุ่นและสว่างไสวสาดส่องเข้ามาจากกระจกหน้าต่างโปร่งใส คล้ายอาบไล้ไปบนร่างของเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างอ่อนโยน แม้แสงสะท้อนจะทำให้มองเห็นใบหน้าของเธอได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่านัยน์ตาสีดำขลับแสนงดงามคู่นั้น กลับเป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏชัดอยู่ในสายตาอันพร่ามัวของเขา ดวงตาที่ปกติมักจะเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ยามนี้กลับไม่หลงเหลือร่องรอยของความหยิ่งยโสหรือดูแคลนใด ๆ เธอแค่จ้องมองเขาอย่างใจจดใจจ่อและจริงจังด้วยท่าทางที่แฝงไปด้วยความกังวลที่แทบไม่เคยได้เห็น หลังจากที่เห็นเขาตื่นขึ้นมา เธอก็นิ่งงันไปชั่วขณะ นัยน์ตาสีดำคู่นั้นค่อย ๆ อาบย้อมไปด้วยความยินดี
เขาเห็นมุมปากของเธอคล้ายจะยกโค้งขึ้นมา อวี่ฉีที่ชอบทำหน้าเย็นชาเคร่งขรึมและวางอำนาจมาโดยตลอด เมื่อยิ้มน้อย ๆ ออกมาแล้ว ก็ราวกับหิมะกำลังหลอมละลาย น้ำแข็งเปราะบางพลันแตกออก ประหนึ่งเหล่าดอกสาลี่มากมายบนกิ่งที่บานสะพรั่งอย่างพร้อมเพรียง ดูแล้วงดงามเกินจะบรรยาย แค่มองไปก็รู้สึกเหมือนกับว่าเวลาในตอนนี้ได้หยุดหมุนแล้ว
ต้วนจิ่นเหยียนเหม่อมองอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนส่งรอยยิ้มอ่อนแรงกลับไปให้เธอตามจิตใต้สำนึก
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง” ในตอนที่ถามคำถามนี้ออกไป อวี่ฉีก็ได้เก็บรอยยิ้มกลับไปแล้วหวนคืนสู่สีหน้าเย็นชาดังเดิม
อะไรยิ่งหายากก็ยิ่งล้ำค่า โดยปกติแล้วเนื่องจากลู่อวี่ฉีไม่เคยยิ้ม ดังนั้นเมื่อเธอยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนั้นจะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกตกตะลึงกับความงามที่หาใดเปรียบ
ต้วนจิ่นเหยียนกระแอมสองครั้ง พยายามจะทำให้คอโล่ง แต่สุดท้ายก็ยังเจือความแหบแห้งจากอาการป่วยอยู่ดี “เธอไม่ไปเรียนเหรอ”
อวี่ฉีจ้องตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่ได้ยิ้ม ดังนั้นจึงดูเคร่งขรึมขึ้นมาก “ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ ว่านายคือคนของฉัน”
“แล้ว…” ต้วนจิ่นเหยียนไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรตัวเองถึงได้เลี่ยงที่จะสบสายตาอีกฝ่าย ขนตายาวหนาของเขากะพริบถี่รัว
ด้วยสติปัญญาของต้วนจิ่นเหยียน ไม่มีทางจะไม่เข้าใจความหมายแฝงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเธอ ฉะนั้นการที่เขาถามกลับเช่นนี้คือการแกล้งโง่อย่างไม่ต้องสงสัย มีเด็กสาวบางคนก็แกล้งโง่เพื่อให้พวกผู้ชายหยอดคำหวานกับตัวเองมากขึ้น ส่วนต้วนจิ่นเหยียนที่แกล้งโง่นั้น…หรือเขาคิดจะปฏิเสธเธอ?
อันที่จริงแล้ว ด้วยวิสัยทัศน์ในการวิเคราะห์สถานการณ์โดยไม่เลือกวิธีการเพื่อประโยชน์สูงสุดของต้วนจิ่นเหยียนนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่น่าจะปฏิเสธเธอที่เป็นผู้กุมอำนาจในการสืบทอดกลุ่มธุรกิจตระกูลลู่อย่างแน่นอน อวี่ฉีจึงไม่กังวลใจ บางทีอีกฝ่ายอาจจะคิดเล่นตัว หรือเขาตั้งใจจะใช้แผนปล่อยเพื่อจับเธอกัน?
อวี่ฉีไม่คิดจะมอบโอกาสนี้ให้แก่อีกฝ่าย เธอตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “เพราะงั้น ฉันไม่คิดจะทิ้งแฟนของฉันที่กำลังเป็นไข้แล้วไปเรียนคนเดียวหรอกนะ”
เดิมทีต้วนจิ่นเหยียนกำลังยันแขนเตรียมจะลุกขึ้นมานั่ง เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น มือไม้ก็พลันอ่อนปวกเปียกและทิ้งตัวกลับลงไปบนเตียงทันที เขาทำหน้าอึ้งงันโง่งมราวกับว่าเรื่องราวพวกนี้น่าตกใจเกินกว่าตัวเองจะรับไหว
อวี่ฉีมองดูสีหน้าท่าทางของต้วนจิ่นเหยียน ภายในใจอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดอยากล้อเลียนอีกฝ่ายเล่นขึ้นมา เธอจึงเอียงตัว ยันเข่าข้างหนึ่งไว้ที่ขอบเตียง จากนั้นก็โน้มตัวลงไปใช้มือสองข้างกดบนศีรษะทั้งสองฝั่งของเด็กหนุ่มเอาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงกดต่ำลงคล้ายกับไม่พอใจขึ้นมาว่า “หรือนายไม่เต็มใจ?”
ใบหน้ารูปไข่อันงดงามของลู่อวี่ฉีมีมาดเคร่งขรึมแผ่ออกมา พอรวมกับท่าทางคุกคามของเธอเข้าไปด้วยแล้ว แม้กระทั่งต้วนจิ่นเหยียนเองก็ยังอดที่จะรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
“หืม?” อวี่ฉีหรี่ตามองเขา “ไม่เต็มใจจริง ๆ งั้นเหรอ”
ต้วนจิ่นเหยียนได้สติกลับมา หลุบตาลงแล้วเอ่ยเสียงเบา “เปล่าสักหน่อย”
ด้วยตำแหน่งที่ได้เปรียบในตอนนี้ เธอจึงจูบไปบนหน้าผากของเขาทีหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ “เด็กดี”
สมองของต้วนจิ่นเหยียนเหมือนจะเข้าสู่โหมดชัตดาวน์ไปอีกครั้ง อวี่ฉีกลั้นยิ้มแล้วลุกขึ้นจากเตียง “ยากับน้ำวางไว้ที่หัวเตียงของนายแล้ว อย่าลืมกินล่ะ”
ตอนที่เธอเดินออกจากห้องและกำลังจะปิดประตูนั้นเอง ต้วนจิ่นเหยียนก็พลันโพล่งถามขึ้นว่า “เธอจะไปไหน”
ไม่รู้เป็นเพราะว่าร่างกายอ่อนแอก็เลยส่งผลให้สภาพจิตใจเปราะบางตามไปด้วยหรือเปล่า น้ำเสียงของบอสต้วนในตอนนี้ถึงได้เหมือนกับเด็กน้อยที่รู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังเสแสร้งหรือรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ กันแน่
ฝีเท้าของอวี่ฉีชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เธอปิดประตูเบา ๆ ก่อนเดินลงไปยังห้องครัวชั้นล่าง แล้วยกข้าวต้มชามน้อยเดินขึ้นมา
ต้วนจิ่นเหยียนเหมือนจะเข้าใจว่าเธอไปแล้ว จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอปรากฏตัวในห้องอีกครั้งพร้อมชามข้าวต้มในมือ
อวี่ฉียัดชามข้าวต้มใส่มือของเขา แล้วหมุนตัวนั่งลงที่ฟากหนึ่ง “กินซะสิ นายยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าเลยนี่”
จริงอยู่ที่ว่า การเห็นต้วนจิ่นเหยียนในสภาพอ่อนแรงกำลังประคองชามข้าวต้มด้วยสองมือผอมบาง จะทำให้เธอรู้สึกวางใจไม่ลงอยู่บ้าง แต่อวี่ฉีก็ไม่มีความคิดที่จะป้อนข้าวต้มให้ต้วนจิ่นเหยียนเลยแม้แต่น้อย ในฐานะที่เป็นคุณหนูใหญ่ผู้เย่อหยิ่งคนหนึ่ง วันนี้เธอได้แสดงความอ่อนโยนออกไปมากเกินพอแล้ว หากยังแสดงมากกว่านี้อีกก็จะดูเฟคเกินไป
ต้วนจิ่นเหยียนใช้ช้อนคนข้าวต้มช้า ๆ ก่อนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “แผลน้ำร้อนลวกบนขาของผมนั่น ได้มาตอนที่เข้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าใหม่ ๆ”
อวี่ฉีได้ยินแล้วก็ชะงักไป ไม่คิดว่าต้วนจิ่นเหยียนจะเริ่มเปิดเผย ‘ปูมหลัง’ เร็วขนาดนี้ จึงรีบตีหน้าขรึมลง “หืม?”
“เด็กที่เข้ามาใหม่มักจะถูกกลั่นแกล้ง” เขากล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งที่ไม่อ่อนโยนจอมปลอมเหมือนยามปกติ แต่ฟังแล้วกลับรื่นหูไม่น้อย “เจ้าพวกนั้นใช้ให้ผมไปหาของในครัว ผมก็ไปตามที่บอก แต่ยังไม่ทันจะหาของเจอ พวกนั้นก็ปิดประตูห้องใส่ ในครัวมืดมากจนมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง ตอนนั้นผมอ้อนวอนพวกเขาให้ช่วยเปิดประตู แต่พวกเขากลับล็อกประตูแล้วเอาแต่หัวเราะอยู่ข้างนอก…” ระหว่างเล่าเขาก็ยิ้มออกมา เพียงแต่มุมปากที่โค้งขึ้นกลับดูแข็งทื่อไปบ้าง “สุดท้ายทุกคนก็ไปกันหมด แล้วทิ้งผมเอาไว้คนเดียว”
ในเวลาแบบนี้ การไม่พูดอะไรเลยย่อมดีกว่า อวี่ฉีขยับเข้าไปนั่งข้างหน้า คิดอยากจะกุมมือของต้วนจิ่นเหยียนเอาไว้ แต่ดันพบว่าในมือของอีกฝ่ายดันถือชามข้าวต้มอยู่ เธอจึงหมุนมือที่ยกขึ้นมาแล้วกลางอากาศ สุดท้ายก็แปะลงบนเส้นผมสีดำขลับอ่อนนุ่มของเด็กหนุ่ม ก่อนจะลูบไปมาอย่างปลอบโยน
ต้วนจิ่นเหยียนที่ถูกปฏิบัติเหมือนลูกหมาน้อยถึงกับอึ้งจนแข็งค้าง นานทีเดียวกว่าจะตั้งสติได้ แต่เหมือนเขาจะบิลด์อารมณ์เศร้าต่อไม่ได้อีก จึงได้แต่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จากนั้นผมก็ไม่ระวัง ทำน้ำร้อนที่กำลังเดือดหกใส่”