เดิมทีต้วนจิ่นเหยียนเข้าใจว่าการมีแฟนสาวที่เย่อหยิ่งและชอบยกตนข่มท่านนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเหนื่อยและลำบากมากซะอีก เพราะเด็กผู้หญิงที่เติบโตมาอย่างดาวล้อมเดือนเช่นนี้ มากน้อยยังไงพวกเธอทุกคนก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าคนอื่นจะยินยอมหรือไม่ เอาแต่เหยียบย่ำซ้ำเติมความภาคภูมิใจของคนอื่นโดยไม่คิดจะออมแรงเลยสักนิด

 แต่ลู่อวี่ฉีนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของเขา หากมองเธอจากไกล ๆ เธอจะเปรียบได้กับดอกกุหลาบที่หยิ่งผยองดอกหนึ่ง งดงามทว่ามีหนามแหลมคม แต่เมื่อได้เด็ดมาแล้วเขาถึงเพิ่งได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วอวี่ฉีคือดอกโบตั๋นดอกหนึ่ง เธอมีความเข้าอกเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าสถานการณ์ไหนควรรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา และไม่เคยทำให้คนอื่นรู้สึกลำบากใจจนทนไม่ไหว

อันที่จริง การได้อยู่กับอวี่ฉีนั้นทำให้เขารู้สึกสบายใจมาก ไม่ได้มีความรู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งตัวและหัวใจเหมือนเวลาที่อยู่กับเด็กผู้หญิงคนอื่นเลย

เธอไม่พูดมาก ไม่เกาะแกะคนอื่น ไม่เหมือนผู้หญิงบางคนที่วันวันเอาแต่โทรหาเขาเป็นสิบสาย ส่งข้อความเป็นสิบครั้ง แถมเขายังต้องเปลืองแรงคอยมาโอ๋เอาใจตลอดเวลา

ต้วนจิ่นเหยียนเคยคิดว่าเป็นเพราะลู่อวี่ฉีมีนิสัยเย่อหยิ่งเธอเลยไม่ทำเรื่องพวกนั้น แต่ทุกครั้งที่เขาโทรศัพท์หรือส่งข้อความไปหา เธอจะตอบกลับเร็วมาก และไม่มีการรีบตอบอย่างขอไปทีเลยสักครั้ง

ถึงเธอจะชอบแสดงท่าทีเหมือนวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่ที่จริงแล้วเธอให้ความเคารพคนรอบข้างมาก ทุกเรื่องที่เธอทำนั้นผ่านการพิจารณามาแล้วอย่างถี่ถ้วน ไม่เคยทำให้ใครต้องอึดอัดใจเลยแม้แต่นิดเดียว

ในเวลาปกติสีหน้าของเธอจะเย็นชาเกินจะพรรณนา แต่ความจริงแล้วเธอกลับถูกหยอกล้อให้ยิ้มได้ง่ายมาก และท่าทางตอนยิ้มแย้มของเธอก็ดูสวยเป็นที่สุด

จริง ๆ แล้วต้วนจิ่นเหยียนถือเป็นคนที่ค่อนข้างน่าสงสารเลยทีเดียว ตั้งแต่เล็กจนโต ผู้หญิงที่เขาได้พบเจอ ถ้าไม่ใช่เด็กมอมแมมหัวรุนแรงในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็เป็นคุณหนูคนสำคัญจากตระกูลร่ำรวยที่อยู่ในโรงเรียน เพราะแบบนี้ในสายตาของต้วนจิ่นเหยียนถึงได้มองสิ่งที่เด็กผู้หญิงทุกคนทำกันได้ถ้าครอบครัวสั่งสอนมาดีเป็นเรื่องหายากไปหมด

แต่นี่ยังไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของอวี่ฉี เพื่อที่จะแสดงเป็นคุณหนูใหญ่ผู้หยิ่งยโสได้อย่างแนบเนียน เธอต้องลดมาตรฐานของตัวเองลงมาถึงสองระดับเลยทีเดียว แต่ยังดีที่ความต้องการของต้วนจิ่นเหยียนนั้นไม่ได้มากมายอะไร มาตรฐานเท่านี้จึงเพียงพอแล้ว

——————-

เพียงชั่วพริบตาก็ย่างเข้าช่วงเดือนธันวาคม อากาศค่อย ๆ หนาวเย็นลงแล้ว เสื้อผ้าที่สวมอยู่บนตัวก็ค่อย ๆ หนาขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนที่ต้วนจิ่นเหยียนเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก เขาถึงกับต้องนิ่งอึ้งไป เพราะข้างในนั้นมีทั้งเสื้อไหมพรม เสื้อกันลม และเสื้อขนเป็ดแบรนด์เนมยัดเอาไว้จนเต็มตู้

คนที่ทำแบบนี้ได้มีเพียงลู่อวี่ฉีเท่านั้น

วันรุ่งขึ้น ต้วนจิ่นเหยียนเตรียมคำพูดไว้มากมาย แต่กลับไม่ได้ใช้เลยสักประโยคเดียว เพราะเดิมทีอวี่ฉีไม่เคยถามคำถามจำพวก ‘นายชอบเสื้อผ้าที่ฉันให้ไหม หรือว่าเสื้อผ้าที่ฉันให้นายสวยรึเปล่า’ อยู่แล้ว เธอทำเพียงมองดูเขาสวมใส่เสื้อกันลมสีดำแล้วพูดยิ้ม ๆ ว่าหล่อดี

นับตั้งแต่นั้นมา ต้วนจิ่นเหยียนก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถใช้สายตามองเหยื่อกับเด็กสาวคนนี้ได้อีกต่อไป เขาถึงขั้นรู้สึกเคารพเลื่อมใสเธอด้วยซ้ำ เธอไม่เคยถามเขาเลยว่าเสื้อผ้าพวกนั้นดีไหม ไม่ได้เล่าว่าเสื้อตัวไหนมียี่ห้ออะไร ใช้เงินไปเท่าไร เลือกนานแค่ไหน เธอแค่พูดชมเขาด้วยคำ ๆ เดียวว่าหล่อดีด้วยน้ำเสียงชื่นชมจากใจจริง

ลู่อวี่ฉีหยิ่งยโสก็จริง แต่ก็เป็นความหยิ่งยโสที่มีน้ำใจกว้างขวาง

มีคนบางจำพวกที่เสียสละแค่นิดหน่อยก็ตามทวงบุญคุณคนอื่นอยู่ได้ร่วมครึ่งเดือน แต่เธอไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ต้วนจิ่นเหยียนพลันรู้สึกว่าเขาช่างโชคดีที่มีแฟนแบบนี้

อีกไม่กี่วันก็เป็นเทศกาลคริสต์มาสแล้ว ตอนที่คนขับรถมารับพวกเธอนั้นมีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

อวี่ฉีมองดูกล่องของขวัญที่ห่ออย่างสวยงามซึ่งวางอยู่บนเบาะนั่งข้างคนขับ “ให้ภรรยาเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ ให้ลูกสาว เธอบอกผมว่าอยากได้มานานแล้วน่ะครับ” คนขับรถหมุนพวงมาลัยพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

อวี่ฉียิ้มจาง ๆ “คุณเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่ง” เมื่อเธอพูดจบประโยค ต้วนจิ่นเหยียนก็หันหน้ามามองเธอ

เธออดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมา “มีอะไร?”

ต้วนจิ่นเหยียนยกมือขึ้นลูบจมูก เขาใช้นิ้วชี้เรียวยาวที่มีข้อต่อชัดเจนถูไปตามสันจมูกที่ค่อนข้างโด่งของตัวเอง ทุกการเคลื่อนไหวดูแล้วสบายตาสบายใจ หลังจากนั้นเธอก็เห็นเขายกยิ้มมุมปากขึ้นมา ราวกับกำลังเคอะเขินเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าช่วงนี้เธอจะยิ้มบ่อยนะ”

อวี่ฉีหัวใจเต้นแรง ลอบตำหนิตัวเองว่าช่วงนี้หย่อนยานเกินไปหน่อย ก่อนจะรีบแสดงสีหน้าท่าทางยโสเย็นชาออกมา “เหรอ?”

บางทีอาจเป็นเพราะนาน ๆ ทีจะได้เห็นท่าทางลนลานของเธอ ริมฝีปากบางของต้วนจิ่นเหยียนจึงยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข พลางพูดหยอกล้อเธอว่า “เธอน่าจะยิ้มบ่อย ๆ นะ เวลายิ้มเธอสวยมากเลย”

อวี่ฉีจ้องเขาอยู่สักพัก แล้วอดไม่ได้จนต้องยิ้มออกมาด้วย “นายก็เหมือนกัน”

ต้วนจิ่นเหยียนนั้นแทบไม่เคยถูกใครหยอกล้อมาก่อน จึงใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าจะไหวตัวได้ว่า ‘นายก็เหมือนกัน’ ของอวี่ฉีหมายถึงอะไร รอยยิ้มที่มุมปากของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นแข็งค้างไปในทันที เขาไอแห้ง ๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเบนสายตาไปราวกับขัดเขิน

ภายในรถเงียบสงัดไปชั่วครู่ ทว่าความเงียบนี้ไม่นานก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่ค่อนข้างดังแสบแก้วหู คนขับรถเหลือบมองโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ด้านข้าง เขาไม่ได้รับสาย น่าจะเป็นเพราะคิดว่าไม่ควรรับโทรศัพท์ส่วนตัวในเวลาทำงาน

สายตาของอวี่ฉีไวมาก มองไปแวบเดียวก็เห็นคำว่า ‘เมีย’ แสดงอยู่บนหน้าจอที่สว่างอยู่ “รับเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

เป็นภรรยาของเขาโทรมาจริง ๆ เธอบอกว่าลูกสาวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างทางกลับจากโรงเรียน ตอนนี้กำลังช่วยเหลืออยู่

คนขับเหยียบเบรกรถทันที ร่างของอวี่ฉีกับต้วนจิ่นเหยียนจึงโน้มไปข้างหน้าตามแรงเบรกกะทันหัน ส่วนกล่องของขวัญสีชมพูที่วางอยู่บนที่นั่งข้างคนขับนั้นพุ่งตกลงไปด้านล่างแล้ว

อวี่ฉีอดสงสารไม่ได้ จึงเปิดปากกล่าวว่า “คุณไปโรงพยาบาลเถอะ พวกเรากลับเองได้ ยังไงก็เหลืออีกไม่ไกลแล้ว”

คนขับรถมองเธอด้วยสายตาซาบซึ้ง แต่เห็นได้ชัดว่ายังคงรู้สึกผิดอยู่ ทว่าอวี่ฉีกับต้วนจิ่นเหยียนก็ก้าวลงจากรถไปแล้วอย่างรวดเร็ว

“ขอบคุณมากครับ” คนขับรถเอ่ยจบก็เหยียบคันเร่งสุดเท้าทันที หักพวงมาลัยแล้วกลับรถพุ่งทะยานจากไป

ยังไม่ทันหกโมงเย็น แต่ท้องฟ้ากลับมืดไปครึ่งหนึ่งแล้ว บนถนนที่ว่างเปล่าและสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบนั้นไม่มีรถราสักคัน ครั้นมองลอดลำต้นและกิ่งก้านสีดำไปจะเห็นคฤหาสน์หลายหลังที่อยู่ด้านหน้าได้อย่างเลือนราง

ไม่เหมือนกับภายในรถที่เปิดฮีตเตอร์ อากาศด้านนอกนั้นหนาวเย็นจนเสียดกระดูก หายใจออกมาเบา ๆ ก็เกิดไอสีขาวบาง ๆ ขึ้นมาได้แล้ว

อวี่ฉีย่ำเท้าไปมา แล้วคล้องแขนของต้วนจิ่นเหยียนไว้อย่างเป็นธรรมชาติ “พวกเราไปกันเถอะ”

สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านแก้มไป ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ความอบอุ่นในร่างกายจางหายไปอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บที่แทรกซึมผ่านเข้ามาทางคอเสื้อและแขนเสื้อไม่หยุดหย่อน หนาวเสียจนร่างกายสั่นสะท้าน

เงาของคนทั้งสองถูกดึงให้ยาวขึ้นมากภายใต้แสงไฟบนถนน แต่กลับแนบชิดอิงแอบอยู่ด้วยกัน

เดินมาสักพัก มือของอวี่ฉีที่อยู่ด้านนอกก็ถูกลมหนาวพัดจนเกือบจะแข็งไปแล้ว เธอจึงนำมือที่คล้องอยู่กับข้อศอกของต้วนจิ่นเหยียนเลื่อนไปทางด้านหลัง แล้วซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของอีกฝ่ายเพื่อรับความอบอุ่น แต่เธอกลับต้องตกใจเมื่อพบว่ามือของต้วนจิ่นเหยียนนั้นเย็นจัดไม่ต่างจากมือของเธอที่ถูกลมเย็นพัดมานานเลยสักนิด

เธออดไม่ได้ที่จะเบนหน้าไปมอง “ให้โทรไปเรียกคนขับรถมาไหม” ลู่เทียนเหล่ยน่าจะกลับถึงบ้านแล้ว ให้คนขับรถซึ่งทำหน้าที่รับส่งเขาทุกวันขับมาอีกรอบนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ต้วนจิ่นเหยียนสูดจมูก บางทีอาจเป็นเพราะว่าคัดจมูกแล้ว เสียงของเขาจึงค่อนข้างอู้อี้ “ไม่ต้องหรอก อีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”

อวี่ฉีพลันหยุดฝีเท้าลง ต้วนจิ่นเหยียนจึงหยุดเท้าตามด้วยความสงสัย พอหันไปมองก็พบว่าอวี่ฉีกำลังแกะผ้าพันคอของตัวเองอยู่ เขาจึงหลุดถามออกไปว่า “เป็นอะไรไป?”

เธอไม่ได้ตอบ แต่เขย่งปลายเท้าขึ้นและยกมือทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบคอของเขาแทน จากนั้นก็บรรจงผูกผ้าพันคอที่ยังเหลือความอบอุ่นจากร่างกายของเธอให้

วันนี้เธอใส่เสื้อโคตที่มีหมวกฮู้ด แค่ดึงหมวกฮู้ดขึ้นมาสวมก็สามารถกันลมหนาวได้แล้ว แต่อวี่ฉีก็จงใจที่จะไม่ใส่มันด้วยความเจ้าเล่ห์

ใช่แล้ว…เธอจงใจทำ เธอกำลังใช้แผนทรมานตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่

เมื่อต้วนจิ่นเหยียนเห็นสิ่งที่เธอทำ เขาถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ความคิดที่จะห้ามเธอหรือขอบคุณเธอล้วนถูกลืมไปจากสมอง เขาได้แต่มองเธออย่างเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น

อวี่ฉีกำลังเงยหน้าอยู่ ปลายจมูกของเธอเย็นเฉียบจนแดงก่ำ ดวงตาสีดำสนิทดูงดงามภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี 

ทันใดนั้นเองลมหนาวอีกระลอกก็พัดผ่าน เธอตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่งและหดคอลงโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่เป็นแบบนั้นเธอก็ยังผูกพ้าพันคอในมือต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ

ต้วนจิ่นเหยียนรู้สึกอ่อนระทวยไปหมดเมื่อมือของเธอสัมผัสโดนตัวเขาอย่างไม่ทันระวัง หัวใจของเด็กหนุ่มพลันบีบรัดแน่นอยู่ชั่วขณะก่อนคลายออกอย่างนุ่มนวล ราวกับคลื่นระลอกบาง ๆ ถาโถมใส่เขาทีละชั้นในเวลาสั้น ๆ จนร่างทั้งร่างของเขาอบอุ่นขึ้นมาพริบตา

เขาอดไม่ได้ที่จะเรียกเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อวี่ฉี”

เธอเพิ่งจะขานรับเพียงคำเดียวก็ถูกจุมพิตเสียแล้ว ริมฝีปากที่ทั้งนุ่มและเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งของเขาทาบทับลงมาพร้อมกับไอหนาวยะเยือก

ทันใดนั้นต้วนจิ่นเหยียนก็ไม่คิดอยากจะแก้แค้นอะไรอีกต่อไปแล้ว ยึดเครือตระกูลลู่ได้แล้วจะเป็นอย่างไร เอาชนะลู่เทียนเหล่ยได้แล้วอย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเทียบไม่ได้กับการที่มีเธออยู่เคียงข้างในคืนฤดูอันหนาวเหน็บนี้

——————————-