ไม่กี่วันต่อมา อวี่ฉีก็มาถึงนิยายเรื่องใหม่
นางเอกของนิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘ซูเวยเวย’ แม้เธอจะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน แต่ก็เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง สามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เด็กสาวใช้ชีวิตโดยเฝ้าดูแลประคับประคองแม่และน้องสาวอีกคนมาตั้งแต่เด็กจนโต
จนกระทั่งเธออายุสิบแปดปี แม่ของเธอก็ล้มป่วยหนัก ดังนั้นเพื่อที่จะหาเงินมาใช้จ่ายค่าเล่าเรียนของตัวเองและน้องสาว รวมไปถึงค่ารักษาพยาบาลจำนวนมหาศาลของแม่ เธอจึงตัดสินใจติดตามผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าหานเซ่า
ถ้าหากผู้ชายคนนี้เป็นพระเอก นิยายเรื่องนี้คงเหมาะกับแท็ก ‘ชิงรักหักสวาท’ สุด ๆ น่าเสียดายที่เขาเป็นแค่ตัวร้ายคนหนึ่ง ซูเวยเวยก็เลยไม่มีความรู้สึกดี ๆ ให้เขาเลยสักนิด
ผู้หญิงที่ภายนอกดูไม่มีความมั่นใจ มักซ่อนความทระนงตนเช่นนี้ไว้ภายในเสมอ หากคุณเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเธอแล้วละก็ ต่อให้คุณเสนอเงินทองแก่เธอมากขึ้นแค่ไหน หรือช่วยเหลือเธอมากเพียงใด เธอก็ยังรู้สึกว่าคุณกำลังใช้อำนาจตบหน้าเธออยู่ดี
ส่วนพระเอกที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้คืออาจารย์มหาวิทยาลัยของเธอ ‘หลินเซียว’ เป็นชายหนุ่มสุภาพเรียบร้อย บุคลิกคงแก่เรียนมากคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง ครั้งแรกที่ซูเวยเวยเข้าเรียนในคลาสของเขา เธอก็ตกหลุมรักอีกฝ่ายเข้าอย่างจังทันที
ด้วยเหตุผลนี้เอง แท็ก ‘ชิงรักหักสวาท’ ก็เลยถูกเปลี่ยนไปเป็น ‘รักต้องห้าม’ ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ซะงั้น แถมสิ่งที่ชวนดราม่าที่สุดของเรื่องก็คือ การที่ซูเวยเวยหลงรักอาจารย์ของตนเอง แต่เธอกลับต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ชายอีกคนหนึ่งเพื่อหาเลี้ยงปากท้องอย่างไม่มีทางเลือก
อันที่จริงแล้ว ถ้าเทียบกับตัวร้ายคนอื่น ๆ หานเซ่าถือเป็นตัวร้ายที่ทำเรื่องชั่วช้าน้อยที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา เรื่องที่เขาสมควรถูกประณามมีอยู่เพียงเรื่องเดียวคือการที่เขาใช้อำนาจในการยึดครองนางเอกให้อยูข้างกายตัวเองมาโดยตลอด เขาไม่มีความคิดอย่าง ‘เพราะรักจึงต้องปล่อยให้เธอไปมีความสุข’ เลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับตำแหน่งตัวร้ายไป
เด็กสาวที่อวี่ฉีต้องสวมบทในครั้งนี้มีชื่อว่า ‘ซูอวี่ฉี’ ใช่แล้ว…แซ่ของเธอคือ ‘ซู’ เหมือนกับนางเอก ในนิยายเรื่องนี้เธอคือน้องสาวที่ซูเวยเวยคอยประคับประคองเลี้ยงดูและร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา และคงเพราะสองพี่น้องโตมาโดยขาดพ่อตั้งแต่เด็กจึงทำให้พวกเธอทั้งสองคนมีสเป็กผู้ชายที่ชอบเหมือน ๆ กัน
ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่เธอได้ตามพี่สาวไปร่วมโต๊ะอาหารกับพระเอกหลินเซียวแค่มื้อเดียว ซูอวี่ฉีที่เป็นน้องสาวก็ตกหลุมรักชายผู้อ่อนโยนคนนี้ทันที สุดท้ายเธอจึงเปิดศึกแย่งชิงหัวใจพระเอกกับพี่สาวของตัวเอง และได้รับการขนานนามว่าเป็นนางร้ายของเรื่องไปโดยปริยาย
ความจริงแล้ว ขอแค่เธอทำให้หานเซ่าหลงรักตัวเองให้ได้ และกันไม่ให้อีกฝ่ายไปยุ่งวุ่นวายกับพี่สาวซูเวยเวยและอาจารย์หลินเซียวตามเนื้อเรื่องอีก แค่นี้ก็สำเร็จภารกิจของนิยายเล่มนี้ได้แล้ว
ทว่าหานเซ่าไม่ใช่คนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีเข้าถึงได้ง่ายเหมือนหลินเซียว ตัวซูอวี่ฉีก็ไม่เคยเจอเขามาก่อน แถมวงจรชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้พบกันเลยสักนิด เพราะตั้งแต่ซูเวยเวยต้องติดตามไปอยู่กับหานเซ่า หญิงสาวก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่งของเขา จนกลายเป็นนกคีรีบูนที่อยู่ในกรง แต่ซูอวี่ฉียังคงอยู่บ้านเดิม และใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละเดือนด้วยค่ากินอยู่ที่พี่สาวส่งมาให้
เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะทำให้หานเซ่าตกหลุมรักเธอเลย แค่ได้เห็นหน้าเขาสักครั้งยังยากเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม วันที่สามหลังจากอวี่ฉีมาถึงที่นี่ โอกาสแรกก็มาถึง
คืนนั้น เธอได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง เป็นซูเวยเวยที่โทรมาหา
น้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกปนเสียงสะอึกสะอึ้นชัดเจนดังมาตามสายอย่างชัดเจน ทำให้อวี่ฉีรู้ว่าอีกฝั่งกำลังร้องไห้อยู่ เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเรียกพี่สาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สอบถามอีกฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกซูเวยเวยยังปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา ต้องรอให้ผ่านไปพักใหญ่อีกฝ่ายถึงยอมเปิดปากขอร้องเธอด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉีฉี มารับพี่ได้ไหม พี่ไม่มีที่ให้ไปแล้ว”
อวี่ฉีรู้ทันทีว่าซูเวยเวยทะเลาะกับหานเซ่าอีกแล้ว ลางสังหรณ์บอกกับเธอว่านี่คือโอกาสทอง จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด
ทว่าดูเหมือนจู่ ๆ ซูเวยเวยจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ค่ำมืดดึกดื่นจะปล่อยให้เด็กผู้หญิงมัธยมปลายคนหนึ่งออกจากบ้านมารับตัวเองนั้นดูเอาแต่ใจเกินไปจริง ๆ เธอเลยพยายามเรียกกำลังใจตัวเองแล้วฝืนหัวเราะกลบเกลื่อน “พี่แค่ล้อเล่น ฉีฉี พี่ไม่เป็นไร ไม่ต้องมารับพี่นะ พี่จะกลับไปเอง”
อวี่ฉีรีบเอ่ย “พี่อยู่ที่ไหน ฉันจะรีบไปรับพี่เดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง นี่มันดึกมากแล้ว…”
อวี่ฉีตัดบทเธอด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “พี่อยู่ที่ไหนคะ”
ซูเวยเวยก็ยอมแพ้และบอกที่อยู่กับอวี่ฉี เธอปลอบพี่สาวต่ออีกไม่กี่คำก่อนวางสาย แล้วรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกจากบ้าน ระหว่างนั้นก็คิดไปด้วยว่าจะไปรับใครสักคนต้องเตรียมตัวประมาณไหนดีถึงจะเหมาะ เธอจึงคุ้ยเสื้อคลุมตัวหนึ่งที่ซูเวยเวยทิ้งไว้ที่นี่ จากนั้นก็ออกจากบ้านไปโดยไม่ลืมล็อกประตู
เนื่องจากคราวนี้เธอมาอยู่ในครอบครัวยากจนไม่เหมือนกับตอนข้ามมิติหลายครั้งก่อน ๆ อวี่ฉีจึงต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาเส้นทาง แล้วนั่งรถประจำทางเพื่อรีบเร่งไปหาพี่สาว
ยิ่งเวลาผ่านไปรถประจำทางก็ยิ่งแล่นออกห่างตัวเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ยี่สิบกว่านาทีต่อมาอวี่ฉีก็ลงจากรถมายืนอยู่ตรงป้ายรถประจำทางที่ร้างผู้คน เธอกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นซูเวยเวยนั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหน้าธนาคารไอซีบีซีห่างออกไปไม่ไกลมากนัก
อีกฝ่ายอยู่ในชุดกระโปรงสั้นเปิดหลังสีขาวดูมีราคา สวมรองเท้าส้นสูงสิบเซนติเมตรคู่หนึ่ง บนลำคอประดับด้วยสร้อยอัญมณีเนื้องาม แต่สีหน้าของเธอกลับดูไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง ตรงข้ามกันเลยใบหน้าที่ก้มต่ำของเธอในตอนนี้ราวกับลูกสุนัขที่ถูกเจ้าของทอดทิ้งไม่มีผิด เนื้อตัวที่สั่นระริกเพราะลมหนาวงองุ้มอย่างน่าสงสาร
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้ แต่ซูเวยเวยที่สวมชุดแบบนี้กลับยังรอเธออยู่ด้านนอกเกือบครึ่งชั่วโมงได้!
ปลายเดือนมกราคมเป็นช่วงที่อากาศเย็นที่สุดของเมืองนี้
แถมตอนนี้ยังเป็นช่วงเวลาพลบค่ำซึ่งเป็นช่วงหนาวที่สุดของวัน ผู้สัญจรไม่กี่คนบนถนนจึงพากันซุกหน้ากับปกคอเสื้อรีบร้อนเดินไป แม้แต่คนที่ห่อตัวด้วยผ้าพันคอผืนหนายังหนาวจนแก้มแดงปลั่ง แต่ซูเวยเวยที่ไม่ได้สวมเสื้อกันหนาวสักตัวกลับยังนั่งเปลือยแผ่นหลังอยู่ท่ามกลางลมหนาวยะเยือกได้อีก
อวี่ฉีรีบวิ่งเหยาะ ๆ ไปหาซูเวยเวย ก่อนคลี่เสื้อคลุมที่พาดตรงข้อพับแขนมาคลุมบนไหล่ของอีกฝ่ายไว้
ร่างของซูเวยเวยที่ขดตัวอยู่สั่นน้อย ๆ พอเงยหน้าขึ้นเห็นว่าเป็นเธอก็แย้มรอยยิ้มเจือความขมขื่นออกมา เอ่ยเรียกเธอครั้งหนึ่งด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉีฉี”
อวี่ฉีขานรับหนึ่งคำ เธอใช้มือลูบแก้มเย็นเฉียบของอีกฝ่าย “เกิดอะไรขึ้นคะพี่”
ซูเวยเวยส่ายศีรษะ ไหล่สองข้างคู้ลงราวกับมีภาระหนักหน่วงกดทับอยู่ ดวงหน้างดงามของเธอแฝงร่องรอยความอ่อนล้าอย่างชัดเจน “พี่ไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว มันเหนื่อยเกินไป”
อวี่ฉีโอบอีกฝ่ายมากอดเอาไว้ ทันใดนั้นเอง เธอก็เหลือบเห็นเงาร่างผอมสูงเงาหนึ่งท่ามกลางแสงสลัวของค่ำคืนอันมืดมิด จึงเลื่อนสายตาขึ้นมองโดยอัตโนมัติ
บรรยากาศตอนกลางคืนดูมืดมัว ถึงจะมีแสงไฟลอดมาจากบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ไม่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ราตรีอันเหน็บหนาวของฤดูหนาวนี้ได้เลยสักนิด
ชายคนนั้นยืนเงียบ ๆ อยู่ในจุดที่มืดที่สุด สูทสีดำสนิทถูกคลุมทับไว้ด้วยเสื้อโค้ตเข้ารูปสีดำ ยืนตัวตรงราวใบมีด แม้อวี่ฉีจะมองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่เธอก็พอสัมผัสได้ว่ารอบกายของเขามีกลิ่นอายความดุร้ายและเย็นชาราวภูเขาน้ำแข็งสูงใหญ่กลางมหาสมุทรอันมืดมิดที่แผ่ไอเย็นมหาศาลออกมากดดันผู้คนรอบข้าง
อวี่ฉีอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “คนคนนั้นคือหานเซ่าเหรอคะ”
ซูเวยเวยมองตามสายตาของน้องสาวไป แต่เหลือบมองเพียงแวบเดียวก็เบือนหน้าหนี ก่อนตอบว่า “อืม” ด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
อวี่ฉีหรี่ตาลง เธอย่อตัวเพื่อสบตาซูเวยเวยด้วยแววตาสงบนิ่ง “พี่คะ พี่ยังมีเงินเก็บเหลืออยู่อีกเท่าไหร่ พอจ่ายค่ารักษาแต่ละวันของแม่ไหวไหม” อวี่ฉีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ซูเวยเวยเอ่ยค้าน “ไหนจะค่าเรียนของฉันกับพี่อีกล่ะ? ไม่ใช่ว่าพี่อยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศหรอกเหรอ เรื่องพวกนี้น่ะต้องใช้เงินทั้งนั้นนะคะ ฉันพูดถูกไหม แล้วตอนนี้เราทั้งคู่ยังหาเงินเองไม่ได้ อย่างน้อยพวกเรายังต้องพึ่งเขาอยู่นะคะพี่”
แพขนตาของซูเวยเวยไหวระริก ครู่ต่อมาเธอก็เอ่ยเสียงเบา “ฉีฉี เธอไม่เข้าใจ เขาคนนั้น…” เธอชะงักคล้ายกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะสม น้ำเสียงจึงลังเลอยู่บ้าง “เขาน่ะมีนิสัยแปลก ๆ อารมณ์ก็แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชอบทำตัวปลีกวิเวกเฉยชาจนพี่เอาใจไม่ถูก อยู่กับเขาแล้วพี่เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ…”
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปเอง” อวี่ฉีเอ่ยเรียบ ๆ น้ำเสียงของเธอสงบไม่เร่งร้อน “พี่ควรจะพักได้แล้ว พี่คะ นับจากวันนี้เป็นต้นไปให้ฉันเป็นคนดูแลพี่กับแม่เอง พี่จะได้ไปหาคนที่พี่ชอบจริง ๆ แล้วก็ทำทุกอย่างที่พี่อยากทำ”
ซูเวยเวยตกตะลึงกับคำประกาศของอวี่ฉี เมื่อตั้งสติทำความเข้าใจคำพูดที่เธอจะสื่อได้ก็ปฏิเสธเสียงแข็งทันทีโดยไม่ต้องคิด “ไม่ได้!”
อวี่ฉีไม่พูดอะไรอีก เธอยืดตัวกอดพี่สาวครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวออกวิ่งไปทางหานเซ่า
เขาไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว แต่กำลังเดินอย่างเชื่องช้าไปทางรถยนต์สีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทาง เงาแผ่นหลังผ่ายผอมของอีกฝ่ายที่สะท้อนแสงไฟในยามค่ำคืนอันเงียบเหงา แลดูอ้างว้างอย่างถึงที่สุด
หลังจากที่ขายาว ๆ ของเขาก้าวเข้าไปในรถแล้วปิดประตูลง อวี่ฉีก็ตามมาทันในที่สุด เธอหอบหายใจพลางเคาะหน้าต่างรถ แล้วเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ดูฉลาดเฉลียวตามแบบฉบับของซูอวี่ฉี
ครู่ต่อมา กระจกหน้าต่างรถก็ค่อย ๆ ลดต่ำลง ด้วยแสงไฟภายในรถ ในที่สุดเธอก็ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของชายที่นั่งตรงเบาะหลังอย่างชัดเจน
ในนิยายต้นฉบับ หานเซ่ามีอายุสามสิบเจ็ดปี ซึ่งเป็นวัยที่ผู้ชายจะมีเสน่ห์มากที่สุดนอกจากนี้อีกฝ่ายน่าจะเป็นคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีมากจริง ๆ กาลเวลาจึงไม่ส่งผลให้เขามีริ้วรอยเท่าไรนัก แต่กลับส่งเสริมบุคลิกให้ดูเคร่งขรึมมีวุฒิภาวะแทน ให้ความรู้สึกมั่นคงและพึ่งพาได้ หากมองเผิน ๆ อาจจะคิดว่าเขาอายุไม่เกินสามสิบต้น ๆ ด้วยซ้ำ แสงไฟที่ส่องกระทบใบหน้าในยามนี้ ขับเน้นโครงหน้าหล่อเหลาของเขาให้คมสันยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้คนมองรู้สึกตราตรึงไปถึงส่วนลึกในจิตใจกลับเป็นดวงตาของเขา
ดวงตาเรียวยาวราวกับตาหงส์ดูโดดเดี่ยวและลึกล้ำอย่างถึงที่สุด คล้ายกับท้องฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืนหลังดอกไม้ไฟละลานตาได้จางหายไป ปรากฏเป็นความลุ่มลึกที่ยากจะคาดเดาขึ้นมาแทน
เสียงลมหนาวหวีดหวิวดังข้างหู อวี่ฉีจ้องมองดวงตาของเขา “คุณหาน ฉันชื่อซูอวี่ฉี เป็นน้องสาวของซูเวยเวยค่ะ”
หานเซ่าพยักหน้า สายตากวาดมองใบหน้าของเธอแวบหนึ่ง “สวัสดี” สุ้มเสียงของเขานุ่มนวลทุ้มต่ำต่างจากลักษณะภายนอกและกิริยาท่าทางที่ติดจะเย็นชา จังหวะการพูดรื่นหูน่าฟัง ทั้งช้าและชัดถ้อยชัดคำ ชวนให้คิดว่าผู้พูดอ่อนโยนและเป็นมิตร
อวี่ฉียิ้มน้อย ๆ พลางไขว้แขนสองข้างพาดลงบนขอบหน้าต่างรถ “ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าเป็นฉันได้ไหมคะ“
ร่างกายที่เธอสวมบทอยู่นี้อายุแค่สิบหกปีเหมือนลู่อวี่ฉีในโลกก่อน ยังอยู่ในวัยที่มีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา หน้าตาความอ่อนเยาว์ยังไม่โตเป็นสาวเต็มตัว ถึงร่างนี้จะไม่ได้มีความงามที่ข่มคนอื่นได้อย่างร่างของลู่อวี่ฉี แต่หน้าตายังจัดได้ว่าเป็นสาวงดงามอ่อนหวานคนหนึ่ง
ถ้าให้พูดกันตรงๆ หน้าตาของซูอวี่ฉีในตอนนี้สวยสู้ซูเวยเวยไม่ได้เลย แต่ที่เธอกล้ามาเสนอตัวเองตรง ๆ แบบนี้ เป็นเพราะเธอมีความมั่นใจ
ในฐานะที่เป็นพนักงานดีเด่นของสายอาชีพนี้ เธอไม่เคยทำศึกโดยไม่วางกลอุบายเพื่อชัยชนะ
ในนิยายต้นฉบับระบุไว้ชัดเจนว่าหานเซ่าชอบเด็กสาววัยรุ่น ตอนที่ซูเวยเวยเริ่มติดตามอีกฝ่าย เธอมีอายุแค่สิบแปดปี ส่วนเด็กสาวที่เคยอยู่กับเขาก่อนหน้านี้ คนหนึ่งอายุสิบเจ็ด อีกคนอายุสิบห้า แต่ละคนน่ารักบอบบางราวกับดอกไม้แรกแย้ม ใบหน้าแววตายังคงมีความไร้เดียงสาอ่อนต่อโลก
หานเซ่าใช้สายตาของผู้ชายเจนโลกมองประเมินอวี่ฉีเพื่อหยั่งเชิง ครู่ต่อมาเขาจึงยกมือขึ้นและใช้นิ้วเชยคางของเธอแผ่วเบาด้วยท่าทางสง่างาม
มือของเขาสวยและน่ามอง นิ้วมือเรียวยาว ผิวขาวเนียนละเอียด อาจเพราะอีกฝ่ายยืนตากลมหนาวข้างนอกนานเกินไป ปลายนิ้วที่สัมผัสคางของเธอจึงเจือไอเย็นเยียบที่แทรกลึกไปถึงกระดูก สัมผัสหนาวเหน็บนั้นถึงกับทำให้ร่างของอวี่ฉีสั่นเทาไปวูบหนึ่ง
ทว่าเด็กสาวก็ไม่คิดจะถอยหนี ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างว่าง่าย เธอแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยตามแรงมือของอีกฝ่าย ปล่อยให้เขาตรวจสอบเธอได้ตามใจชอบ โดยที่รอยยิ้มบนใบหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น
ครู่ต่อมา หานเซ่าก็ถอนมือกลับไป แล้วพยักหน้าเรียบ ๆ อย่างสงบนิ่ง “ขึ้นรถ”
อวี่ฉีคลี่ยิ้มออกมา แต่ไม่ได้รีบร้อนขึ้นรถทันที เธอหันไปปรายตามองซูเวยเวยแวบหนึ่ง “คุณหาน พี่สาวของฉันเธอ..”
หานเซ่าจ้องใบหน้าของเธอ พร้อมเอ่ยตัดบทอย่างเย็นชา “เสี่ยวจาง ไปส่งซูเวยเวยกลับบ้าน”
ชายที่นั่งข้างคนขับรับคำสั่งเขา จากนั้นก็ลงจากรถแล้ววิ่งตรงไปทางซูเวยเวยอย่างคล่องแคล่วว่องไว
อวี่ฉีเอ่ยขอบคุณหานเซ่าคำหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง
ตำแหน่งที่หานเซ่านั่งค่อนมาทางกึ่งกลางเบาะ ทำให้เมื่ออวี่ฉีขึ้นมานั่งบนรถ ไหล่ของเธอจึงแทบจะชนกับอีกฝ่าย เธอนั่งใกล้เขามากจนสามารถได้กลิ่นเย็นอ่อน ๆ จากตัวของเขา
เธอไม่ได้หดตัวขยับหนีไปอีกฝั่งเหมือนเด็กขี้ขลาด แต่ก็ไม่ได้ทำตัวระริกระรี้ที่จะใกล้ชิดอีกฝ่าย อวี่ฉีนั่งสงบเสงี่ยมอย่างเหมาะสม ท่าทางของเด็กสาวในยามนี้จึงดูรู้งานรู้การและมีไหวพริบเป็นพิเศษ
หลังนั่งเงียบ ๆ กันอยู่สักพัก หานเซ่าก็หันมามองเธอแวบหนึ่ง แล้ววิจารณ์ด้วยสีหน้านิ่งสนิท “เธอฉลาดกว่าพี่สาวของเธอ”
อวี่ฉีกำลังจะยกมุมปากเพื่อยิ้มตอบรับคำชมอีกฝ่ายอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ได้ยินประโยคถัดมาเสียก่อน “แต่ฉันไม่ชอบเด็กผู้หญิงที่ฉลาดเกินไป พอเก่งเข้าหน่อยก็เอาแต่คิดว่าตัวเองถูกตลอดเวลา ยุ่งยากน่ารำคาญ” เขามองตรงไปข้างหน้าโดยไม่เหลือบมองมาเลยแม้แต่นิดเดียว “เป็นผู้หญิงของฉันไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ฉลาดมาก ทำตัวเป็นแจกันดอกไม้ที่น่ามอง แล้วอยู่ในที่ที่ฉันบอกให้เธออยู่ก็พอ”
อวี่ฉีเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้า “ค่ะ คุณหาน”
ทันใดนั้นหานเซ่าก็หันหน้ามามองเธอ สีหน้าของเขาเรียบเฉยจนเดาความคิดไม่ออก อวี่ฉีถูกดวงตาหงส์ที่ลุ่มลึกคู่นั้นจ้องจนเริ่มรู้สึกประหม่า หัวใจโลดแรงขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเธอยังคงรักษาสีหน้ายิ้มแย้มไว้ได้
หลังจากความเงียบปกคลุมบรรยากาศครู่หนึ่ง หานเซ่าก็ยื่นมือมาสัมผัสศีรษะของเธอ แล้วลูบหัวแผ่วเบาราวกับกำลังปลอบประโลมสัตว์เลี้ยงที่กำลังตื่นกลัว เอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ราวกับว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งจริง ๆ
“เด็กดี”
คงเพราะเคยถูกอีกฝ่ายพูดจาเชือดเฉือนใส่ คำชมที่แสนเรียบง่ายคำนี้เลยทำให้เธอรู้สึกหัวใจพองโตด้วยความปลาบปลื้มมากกว่าปกติ กว่าจะตั้งสติได้เวลาก็ผ่านไปสิบกว่านาที นี่สินะที่คนเขาเรียกกันว่าตบหัวแล้วลูบหลัง คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายคนนี้จะใช้มันได้เก่งกาจช่ำชองจนไร้ที่ติขนาดนี้
ด้วยสกิลขนาดนี้ บวกกับเสน่ห์เฉพาะตัวดั้งเดิมของเขา การจะทำให้เด็กผู้หญิงสักคนเชื่องนั้นก็ง่ายแสนง่าย อวี่ฉีอดนับถือซูเวยเวยไม่ได้จริง ๆ ที่สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหวมาได้นานหลายปีขนาดนี้
ภารกิจครั้งนี้ เห็นทีจะไม่สำเร็จง่าย ๆ เสียแล้ว
——————–