ตอนที่ 385 แม่เลี้ยงตัวน้อยจะเป็นฮ่องเต้หญิงเอง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีกันถึงสิบหมื่นนาย!

 

 

แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพยายมมีชีวิต นั่นจะนับเป็นอะไรได้!

 

 

พวกเขาถึงกับเข่นฆ่าผีดิบจำนวนนับไม่ถ้วนมาตลอดทาง

 

 

ตอนนี้พอเหล่าทหารทั้งหลายนึกย้อนไปต่างก็รู้สึกหวาดหวั่นใจ หากว่าพวกเขายังคงมัวเมาต่อต้านไทเฮาน้อยต่อไป…..ตอนนี้ก็คงจะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของก้อนเนื้อบดเละๆ กองหนึ่งจริงๆ

 

 

อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนยังไม่ทันขึ้นไปบนกำแพงเมือง ก็เห็นตู๋กูถิงนำกำลังทัพเข้ามาอย่างขึงขัง

 

 

ดวงเนตรหงส์ของฝ่าบาทเคร่งขรึมลง เงยพระพักตร์ทอดพระเนตรขึ้นไปบนกำแพงเมือง

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์ประทับอยู่ด้านล่างถึงเพียงนี้ แล้วทอดพระเนตรขึ้นไปมองดูนาง

 

 

นางดูราวกับแม่ทัพหญิงที่นำกองทัพนับหมื่น สูงส่ง สง่างามเกินใครเทียบ

 

 

พระองค์ไม่เคยเห็นนางในมุมนี้มาก่อนเลย

 

 

ก่อกบฏสองคำนี้พระองค์ทรงได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อสองปีก่อนก็เคยได้ยินมาแล้ว วันนี้พอถูกยกขึ้นมาอีกครั้งทำเอาพระองค์ทรงงุนงงไปในช่วงสั้นๆ

 

 

แคว้นเหยียนนี้……ทรงมีพระประสงค์จะตีมาให้นางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!

 

 

เพื่อที่จะให้นางได้เปลี่ยนแปลงฐานะอย่างเหมาะสม จากไทเฮาของต้าโจวกลายเป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นเหยียน

 

 

ถึงตอนนั้นฮ่องเต้แห่งต้าโจวจะทรงขออภิเษกสมรสกับฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเหยียน…..กลายเป็นการร่วมมือที่เข้มแข็ง ทั้งยังปิดปากพวกที่มีวาจาไร้สาระทั้งหลายได้อย่างสนิท

 

 

ใต้หล้านี้จะไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวตำหนินางแม้แต่ครึ่งคำ หากจะพูด ก็มีแต่จะด่าว่าพระองค์ที่เป็นฮ่องเต้ต้าโจวเท่านั้น

 

 

จีเฉวียนทรงคิดคำนวนทุกอย่างเอาไว้อย่างจริงจังแต่แรกแล้ว

 

 

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า…..

 

 

“ฝ่าบาท เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรดี?” เหล่าทหารของต้าโจวต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด

 

 

ใครมันจะไปคาดคิดกันว่า ตระกูลตู๋กูคิดจะก่อกบฏก็แล้วไปเถอะ แต่กลับจะมากบฏเอาตำตาเสียขนาดนี้!

 

 

นี่มิใช่เท่ากับว่าปล้นชิงตามไฟ ฉวยโอกาสให้ได้มาหรอกหรือ?

 

 

จีเฉวียน “ไม่ต้องรีบร้อน”

 

 

เหล่าผู้ติดตาม “ฝ่าบาท ไฟไหม้ลามถึงหัวคิ้วแล้ว ยังไม่รีบได้อีกหรือพะยะค่ะ?”

 

 

ฮ่องเต้มิได้ทรงตรัสตอบ เพียงทอดพระเนตรตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนกำแพงเมือง ทรงคิดจะตรัสอะไรกับนางสักสองประโยค แต่ว่านางมิได้หันมามองที่พระองค์เองเลยสักนิด

 

 

นางกำลังโกรธ กำลังโกรธอย่างยิ่ง

 

 

“ฮ่องเต้น้อย!” ในตอนนั้นเอง ท่านผู้เฒ่าขี่สุนัขป่าตัวใหญ่มาถึงเบื้องพระพักตร์ของจีเฉวียน แค่ประโยคที่เรียกพระองค์เป็นฮ่องเต้น้อย ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเขากำลังโกรธาถึงขนาดไหนกัน

 

 

จีเฉวียน “เราอายุยี่สิบห้า ไม่เด็กแล้ว”

 

 

ท่านผู้เฒ่าเกือบจะถ่มน้ำลายใส่พระพักตร์ของฝ่าบาทอยู่รอมร่อ ขณะที่มองดูจีเฉวียนด้วยความขุ่นเคือง หอกในมือของเขายังเสียบศีรษะของคนผู้หนึ่งเอาไว้อยู่เลย “เจ้ามันเหมือนกับจีจ้านปู่ของเจ้า จีเย่พี่น้องของเจ้าจริงๆ ต่างก็รู้จักแต่ใช้คำพูดอ่อนหวานประสาดอกไม้มาหลอกล่อหญิงสาว! ยังดีที่เราผู้เฒ่าดวงตาแจ่มใส ถึงได้ไม่ยอมให้หลันหลันหลงกลของเจ้าเข้า!”

 

 

ท่านผู้เฒ่าโทสะครอบงำ จนไม่สนใจขนบธรรมเนียมใดๆ อีกแล้ว

 

 

มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ายามที่เขาได้อ่านจดหมายที่หลันหลันทิ้งเอาไว้ฉบับหนึ่งว่าจะมาช่วยฝ่าบาท เขาวิตกกังวลจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง

 

 

พอมาถึงก็ได้ข่าวว่าจีเฉวียนรังแกนาง ย่อมต้องโกรธเคืองจนร่างจะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว

 

 

“ความจริงใจของเรา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

 

 

จีเฉวียนตรัสพลางก็โผขึ้นไปกับสายลมท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหลาย เพียงได้ยินเสียงสะบัดพระบาทไม่กี่ครั้งก็เสด็จขึ้นไปถึงบนกำแพงเมืองแล้ว จากนั้นก็ร่อนลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลันอย่างแผ่วเบา

 

 

เพียงแค่ครู่เดียวบนกำแพงเมืองก็เต็มไปด้วยผู้คน

 

 

ขณะที่จีเฉวียนกำลังร่อนลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ก็ถูกตู๋กูจุนถลันเข้ามาขวางเอาไว้

 

 

สีหน้าของพี่ใหญ่ไม่พอใจอย่างยิ่ง พอคิดถึงเหตุการณ์ในตำหนักบรรทมเมื่อครู่ เขาก็โมโหแทนน้องสาวจนไฟลุก

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองกลับตกอยู่ในความงุนงง นางอยู่ของนางดีๆ ตอนนี้ก็จะให้ไปก่อกบฏ?

 

 

พอหันศีรษะไปมองดูฮ่องเต้สุนัข หน้ากากใบนั้นก็ปิดบังใบหน้าเอาไว้ จนมองอารมณ์ของเขาไม่ออก เห็นแต่ว่าดวงตาของเขามีแต่เส้นเลือดขึ้นมาเต็มไปหมด

 

 

นี่ใช่ว่ากำลังโกรธจนระเบิดแล้ว คิดจะมาสังการ ‘กบฏ’ แล้วใช่ไหม?

 

 

“ซิงซิง เราสามารถอธิบายให้ฟังได้” จีเฉวียนประทับอยู่ตรงหน้านาง อยากจะตรัสกับนางดีๆ เหลือเกิน

 

 

เรื่องของฉางซุนอิง นางไม่ได้เรียบง่ายเหมือนดั่งที่เห็นภายนอก

 

 

“ยังมีอะไรจะต้องอธิบายกัน! สตรีผู้นั้นถึงกับจูบคอเจ้าแล้ว! แต่เจ้ากับไม่ปฏิเสธเลยสักนิด แถมยังบอกว่าจะดูแลนางอีก!” พี่ใหญ่ตอนนี้ถึงกับระเบิดความสามารถในการพูดจาของตระกูลออกมาแล้ว

 

 

สำหรับบุรุษแล้ว การไม่ได้ปฏิเสธก็แสดงว่าเป็นการยอมรับ

 

 

เขาเป็นฮ่องเต้วังหลังจะมีหญิงสาวมากมายถึงเพียงใดก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในขณะที่เขากำลังไล่จีบน้องเล็กอย่างบ้าคลั่งนั้น เขาไม่ควรผุดสตรีอื่นขึ้นมาอีกมิใช่หรือ?

 

 

จีเฉวียน “….”

 

 

ท่านปู่ก็ติดตามขึ้นมาเช่นกัน “ฝ่าบาท ขณะที่พระองค์กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ก็อย่าได้มายุ่งกันหลันหลันจะดีกว่า ถึงแม้ว่าข้าไม่อาจกบฏต่อต้าโจว แต่ว่าหากจะให้นางเป็นฮ่องเต้หญิงของแคว้นอื่น ก็มิใช่เรื่องยากอันใด!”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” ไม่ใช่แล้ว คนเราจะกบฏก็สามารถทำได้อย่างอาจหาญถึงเพียงนี้เลยหรอ?

 

 

นางไม่ได้คิดจะแย่งชิงแคว้นเหยียนกับจีเฉวียนเลยสักนิด รู้ไหม?

 

 

ก็แค่มีอาชีพบ้าช่วยเหลือสรรพชีวิตนะ เข้าใจไหม?

 

 

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดกันเรื่องนี้ แคว้นเหยียนกำลังวุ่นวาย ท่านปู่ พี่ใหญ่ รัชทายาทแคว้นเหยียน พวกเรามีแต่ต้องร่มมือกันทำลายผีดิบและหยุดการแพร่เชื้อจึงจะสำคัญที่สุด”

 

 

ตู๋กูซิงหลันกล่าวอย่างสงบอารมณ์

 

 

ฮ่องเต้ทรงได้ยินว่าจะอย่างไรนางก็มิได้นับพระองค์เองเข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วย พระทัยก็หล่นวูบลงไป

 

 

“ไอ้ตัวประหลาดพวกนั้นมันติดตามกลิ่นของคนเป็นมาจนถึงหวงตูเมืองหลวงแคว้นเหยียนแล้ว รอให้พวกมันรวมตัวกันเข้า ก็จัดการเผาให้วอดในครั้งเดียว” ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาอีกว่า “ซิงซิง ไม่จำเป็นต้องกังวลใจไป”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….”

 

 

นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า แสงจันทร์ในดวงใจของเขากลับมาแล้ว เขายังจะสามารถเรียกนางได้เช่นนี้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนลมหายใจไม่สะดุดได้อย่างไรกัน

 

 

“ตอนนี้แคว้นเหยียนสับสนวุ่นวาย การฟื้นฟูหลังจากถูกเผาทำลายจึงจะเป็นงานหนักที่ยากลำบาก ทั่วทั้งเมืองหวงตูยังตกอยู่ในสภาวะที่ขาดแคลนทั้งน้ำและอาหาร เจ้าไม่เคยปกป้องราชสำนักมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร”

 

 

จากนั้นจีเฉวียนก็ทรงเสริมขึ้นอีกประโยค “เราจะช่วยเจ้า”

 

 

“ขอบคุณมาก แต่ไม่จำเป็น”

 

 

มีครอบครัวอยู่ข้างๆ ย่อมทำให้นางกล้าขึ้นมาอีกหลายขั้น

 

 

“เรื่องเหล่านี้ล้วนมิต้องให้ฝ่าบาทกังวลพระทัยแล้ว” ท่านผู้เฒ่าตู๋กูและพี่ใหญ่ล้วนสนับสนุนอยู่ด้านข้าง

 

 

……………………….

 

 

เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาแผ่นดินนี้แล้ว

 

 

แคว้นเหยียนถูกถล่ม ถล่มโดยต้าโจว!

 

 

แต่ว่าเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่กับมิใช่โอรสสวรรค์แห่งต้าโจว….เดาสิว่าเป็นใครกัน?

 

 

แซ่ตู๋กูต่างหาก!

 

 

นี่เป็นข่าวใหญ่ที่ดังไปทั้งแผ่นดินเลยทีเดียว!

 

 

กี่ปีมาแล้วใต้หล้านี้ไม่มีฮ่องเต้หญิง?

 

 

เกรงว่าจะต้องมีมากว่าพันปีกระมัง!

 

 

ฟังมาว่าโอรสสวรรค์แห่งต้าโจวผู้นั้นเกือบจะได้ครองต้าเหยียนอยู่รอมร่ออยู่แล้ว …… แต่ว่าสุดท้ายแล้ว กลับถูกแม่เลี้ยงของตนเองยกพลมา แย่งเอาไป!

 

 

ฟังมาว่าไทเฮาน้อยผู้นั้นทอดทิ้งหน้าที่ ไม่ต้องการตำแหน่งไทเฮาอีกต่อไปแล้ว กลับนั่งเป็นฮ่องเต้หญิงอย่างสุขสบายใจ

 

 

ผีดิบในแคว้นเหยียนถูกเผากำจัด ทั่วทั้งแคว้นรกร้างว่างเปล่า แทบจะมีแต่ซากปรักหักพัง

 

 

แต่ว่าฮ่องเต้หญิงผู้นั้นกลับรู้จักวิธีการปกครองอยู่บ้าง จัดสรรที่ดินใหม่ สร้างบ้านเรือน ขุดคลองเพิ่ม ละทิ้งข้อกฏระเบียบเดิมๆ ของราชวงศ์เหยียน จัดตั้งกฏระเบียบแบบแผนใหม่

 

 

แถมทักษะทางการเมืองการปกครองนั้นก็แสนจะยอดเยี่ยม มีแต่ฝีมืออันแพรวพราวที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ทำเอาพวกเขาถึงกับงุนงงจนหูตาลาย

 

 

ใครเลยจะคิดว่า ไทเฮาน้อยผู้นั้นจะมีความสามารถถึงเพียงนี้?

 

 

ตอนนี้แคว้นเหยียนทั้งคนชั้นบนและชั้นล่างต่างก็รวมใจกัน แทบจะอยากยกนางเทิดทูนเป็นบรรพชนอยู่แล้ว

 

 

โดยเฉพาะเหล่าราษฏร์ทั้งหลาย ต่างก็พูดกันว่านางเป็นเทพเซียนลงมาจุติ เพื่อปกครองแผ่นดิน

 

 

ส่วนฮ่องเต้ต้าโจวผู้นั้นก็เท่ากับขุดหลุมฝังตนเอง หากว่าตอนนั้นเขาถือทิฐิให้มากกว่านี้หน่อย ต่อให้ตายก็ไม่ยอมยกบัลลังก์ฮ่องเต้ให้ ก็คงจะทำให้ตนเองไม่ต้องมาเผชิญกับปัญหาใหญ่โตถึงเพียงนี้แล้ว

 

 

 

 

……………………………

 

 

ตอนต่อไป “บุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน”