ตอนที่ 386 บุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แคว้นเหยียน เมืองหลวงหวงตู 

 

 

ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่หิมะละลายจนหมดสิ้น สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดโชย นำพาให้ทุกชีวิตฟื้นคืน 

 

 

ภายในวังหลวง ณ ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้หญิง 

 

 

กลางวันแท้ๆแต่กลับหับหน้าต่างจนหมดสิ้น ปิดผ้าม่าน จุดเพียงโคมไฟ 

 

 

ที่จริงนี่ก็ถึงยามเที่ยงแล้วแท้ๆ แต่บนเตียงบรรทมของฮ่องเต้หญิง ขาที่เรียวยาวข้างหนึ่งยังเลื้อยลงมาจากบนเตียง 

 

 

ผ้าโปร่งสีแดงพลิ้วไหวเบาๆ แสงเทียนสลัวๆ บนเตียงบรรทมมีเสียงลมหายใจแผ่วเบา ทั้งนุ่มนวลและสงบสุข 

 

 

ในความง่วงงุน ตู๋กูซิงหลันพลิกตัว มือไปสัมผัสกับเนื้อนุ่มๆบางอย่าง 

 

 

นางจึงค่อยๆกระพริบตาสองครั้ง….อืม นุ่มดี ลื่นดีมาก อืม ผิวดีจริงๆ 

 

 

จากนั้นจึงค่อยลืมตาขึ้นมาดูอย่างจริงจัง  

 

 

พอลืมตาขึ้นมามองก็เห็นใบหน้าดวงหนึ่งกระจ่างอยู่ตรงหน้า หนุ่มน้อยผู้นั้นนอนอยู่ข้างกายนาง 

 

 

เขามีริมฝีปากแดงฟันสีขาว พอเห็นว่านางกำลังมองดูตนเองอยู่ก็รีบก้มหน้าลงไป กล่าวอย่างเขินอายคำหนึ่งว่า “ฝ่าบาท ทรงตื่นแล้ว~” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหม่อลอยไปเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บมือที่สัมผัสบนใบหน้าของเขากลับมาอย่างเงียบงัน 

 

 

ค่อยเหลือบตามองดูหนุ่มน้อยที่ผอมบาง และเสื้อผ้าเนื้อบางที่หลุดรุ่ย 

 

 

หนุ่มน้อยดูเขินอายกว่าเดิม พลางเขยิบเข้ามาด้านข้างอีกนิด “ฝ่าบาท ข้าพึ่งจะเข้ามาอยู่ในวัง ไม่รู้ขนบธรรมเนียม ……. เสื้อผ้าเช่นนี้ก็ออกจะน่าอายไปสักหน่อย …… แต่ว่าใต้เท้าตู๋กูบอกว่า …..ต้องสวมใส่แบบนี้ฝ่าบาทจึงจะทรงโปรด” 

 

 

หนุ่มน้อยยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลงไป แทบจะเอาใบหน้ามุดลงไปกับเตียงบรรทมอยู่แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” 

 

 

นางลุกขึ้นนั่ง พิงร่างลงไปกับเบาะอิงนุ่มๆ มองดูหนุ่มน้อยที่เขินอายเสียจนใบหน้าแดงก่ำ ด้วยสายตาพิจารณาอย่างจริงจัง 

 

 

หนุ่มน้อยหลุบตาลง ไม่กล้าสบตากับนาง เปลี่ยนเป็นนั่งอย่างเรียบร้อยอยู่ข้างเตียง ในใจก็เต็มไปด้วยความประหม่าได้แต่คาดหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากนาง 

 

 

นับตั้งแต่ฮ่องเต้หญิงทรงขึ้นครองราชย์ ก็ผ่านมาได้หลายเดือนมากแล้ว มีบุรุษโฉมงามไม่น้อยถูกคัดเลือกเข้ามาถวายงานรับใช้ฝ่าบาทในวัง 

 

 

ตอนแรกๆ ที่ถูกคัดเลือกเขาเองก็ยังรู้สึกต่อต้าน 

 

 

ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาลล้วนถือธรรมเนียมเคารพบุรุษกดขี่สตรีมานานหลายปี แต่ว่าตอนนี้อยู่ๆก็มีฮ่องเต้หญิงปรากฏพระองค์ขึ้นมา ….ทั้งยังต้องการให้มีบุรุษปรนิบัติ นี่มันช่างน่าละอายเหลือเกิน 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้มีสงคราม ในบ้านแทบจะขาดแคลนจนไม่มีอาหารเพียงพอจะรับประทาน เขาก็คงจะไม่ขายตัวเข้ามาอยู่ในวังหรอก 

 

 

ก่อนที่จะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หญิง เขาก็พยายามบ่ายเบี่ยงอยู่หลายครั้ง แต่ว่าตอนนี้….ความกังวลใจทั้งหมดล้วนหายไปจนสิ้นแล้ว 

 

 

เขาถูกคัดเลือกขึ้นมาจากเหล่าบุรุษอายุเยาว์ที่มีความโดดเด่น จนมาถึงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติได้ปีนเตียงของฝ่าบาทได้แล้ว 

 

 

คนทั่วไปต่างก็กล่าวว่า ฮ่องเต้หญิงทรงเป็นผู้ที่มีสิริโฉมงดงามเหนือผู้ใดในโลกหล้า ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าคำพูดเหล่านั้นออกจะเกินจริงมากไป 

 

 

  

 

 

แต่พอตอนนี้ได้มาเห็นแล้ว ดวงเนตรดอกท้อที่สามารถควักวิญญาณได้ เส้นคิ้วโก่งโค้งดั่งไต้หยู่ ริมฝีปากที่ชุ่มฉ่ำดั่งผลอิงเถาอีก แล้วยังจะมีเรียวขาที่โผล่ออกมา ทั้งตรง ยาว ขาวกระจ่างกว่าหิมะ ทั้งยังงดงามยิ่งกว่าเนื้อหยก 

 

 

ไม่รู้ว่าสวรรค์จะต้องทุ่มเทจิตใจเท่าใดจึงจะสร้างขึ้นมาได้…… 

 

 

ยามนี้หากว่าสามารถได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทสักแวบหนึ่ง เกรงว่าจะทำให้เขาแม้ตายก็ไม่รู้สึกเสียดายแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสวมใส่แต่เพียงชุดนอน นางค่อยๆเก็บขาที่โผล่ออกมาด้านนอกกลับเข้าไป หลังจากสำรวจหนุ่มน้อยอยู่พักใหญ่ ค่อยตรัสว่า ขอโทษที เจ้าไม่ใช่แบบที่ข้าชอบ” 

 

 

หนุ่มน้อยรู้สึกเหมือนถูกราดน้ำเย็นไปทั้งศีรษะในทันที 

 

 

“ฝ่าบาท….เป็นเพราะว่าข้าทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่? ข้าจะต้องแก้ไขเป็นอย่างดี ฝ่าบาทอย่าได้ทรงผลักไสข้าได้หรือไม่?” หนุ่มน้อยน้อยอกน้อยใจ ดวงตากลมโตแทบจะมีน้ำตาไหลรินออกมา 

 

 

นี่เรียกว่า ได้โปรดสงสารข้าเถิด! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบปาดเช็ดน้ำตาให้เขา “ โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ โอ๋ ไม่ร้อง ตัวน้อยที่น่าสงสาร….” 

 

 

วิญญาณทมิฬ “หลันหลัน เจ้าทำเช่นนี้ดูวิปริตอย่างยิ่ง” 

 

 

ทั้งที่ไม่ได้ชมชอบผู้อื่น แต่กลับเรียกผู้อื่นเป็นตัวน้อยที่น่าสงสาร  นี่ไม่เท่ากับว่ากำลังหย่อนเบ็ดตกปลาหรอกหรือ? 

 

 

ยิ่งทียิ่งเสเพล ยิ่งกล้าใหญ่แล้ว หยอดคนอื่นเขาไปทั่ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันค้อนตาขวาใส่มันครั้งหนึ่ง ค่อยๆบรรจงช่วยเช็ดน้ำตาให้หนุ่มน้อย “เด็กน้อยเจ้าหน้าตาดี ช่างน่าเอ็นดู มาอยู่ข้างกายข้าทุกๆวันยกน้ำเทชาดีกว่า เตียงนี้ ต่อไปไม่ต้องขึ้นมาแล้ว ได้ไหม? 

 

 

หนุ่มน้อยน้ำตาหยดปรอยๆ พอได้ยินว่ายังสามารถรั้งอยู่ข้างกายนางได้ ก็คลี่ยิ้มออกมา 

 

 

“ข้าจะตั้งอกตั้งใจรับใช้ฝ่าบาท” 

 

 

เขารีบลงจากเตียง โขกศีรษะหนักๆติดๆกัน ใบหน้ายังคงแดงก่ำไม่หาย กล่าวเสียงหวานว่า “ข้ามีชื่อเรียกว่า เซี่ยวเหลี่ย……” 

 

 

หากว่าฝ่าบาททรงจดจำชื่อแซ่ของตนเองได้นั่นจะเป็นโชคดีถึงเพียงไหน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันแย้มยิ้มอย่างงดงาม โบกพระหัตถ์เบาๆ “รู้แล้วล่ะ ครั้งหน้าสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยค่อยมาดูแลเราเถอะ” 

 

 

พอหนุ่มน้อยล่าถอยออกไป ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี 

 

 

“น้องเล็ก ครั้งนี้เป็นอย่างไร พอใจหรือไม่?” 

 

 

“พี่รอง บอกท่านไปตั้งหลายครั้งแล้ว ข้าไม่ขาดแคลนบุรุษ ยิ่งไม่อยากจะพอลืมตาตื่นมาก็เห็นบุรุษน้อยน้ำตาไหลเปาะแปะอยู่ตรงหน้า” ตู๋กูซิงหลันลงจากเตียงด้วยเท้าเปล่า ค่อยยืนอยู่บนพรมที่อ่อนนุ่ม 

 

 

หลังจากผ่านการรักษามานานหลายเดือน ขาของนางก็ดีขึ้นมากแล้ว 

 

 

นางสวมใส่ชุดนอนสีขาวตลอดทั้งร่าง เส้นผมสีดำสนิทยาวสยายล้อมวงหน้าของนางที่งดงามเกินใดจะเปรียบ 

 

 

ภายใต้แสงเทียนอ่อนจาง ทั่วทั้งร่างของนางเปล่งประกายสูงส่งอย่างอธิบายไม่ถูก 

 

 

พี่รองได้แต่บ่นพึมพำว่า “หากไม่ต้องการแล้วทำไมเจ้าถึงยิ้มเหมือนพวกอาอี้เลยละ?” 

 

 

“ตอนนี้เจ้าเป็นฮ่องเต้หญิงแล้ว! แล้วจะปล่อยให้วังหลังว่างเปล่าได้อย่างไร?” ตู๋กูเจวี๋ยกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “พวกพี่ๆเสาะหาบุรุษมาให้เจ้า ย่อมต้องผ่านการเลือกสรรเป็นอย่างดี รับรองว่าแต่ละคนจะต้องทั้งสายตา ทั้งในใจต้องมีแต่เจ้าเท่านั้น เจ้าสนใจแค่คอยจัดการพวกเขาก็พอ พอเบื่อแล้วพวกเราก็เปลี่ยนเป็นคนใหม่!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกคำพูดของเขาทำเอาตาโตขึ้นมาบ้างแล้ว 

 

 

นี่พี่ๆของนางไปประสบอะไรเข้าจนไม่พอใจขึ้นมา? 

 

 

วันๆถึงได้คิดแต่จะผลักบุรุษขึ้นเตียงของน้องสาว….. 

 

 

แต่อย่าว่าไป สายตาของพวกพี่ๆช่างดีจริงๆ พ่อเนื้ออ่อนเหล่านี้แต่ละคนยิ่งทียิ่งนุ่มดีงามขึ้นเรื่อยๆ ช่วยกระตุ้นเลือดลมดีนัก ขนาดดูเฉพาะแค่รูปร่างหน้าตานะ ล้วนไม่มีแพ้เหล่าดาราหนุ่มในยุคปัจจุบันเลย 

 

 

 ตลอดหลายเดือนมานี้ ทุกช่วงระยะเวลาไม่กี่วัน ตู๋กูซิงหลันลืมตาขึ้นมาเป็นต้องได้เห็นใบหน้าใหม่ๆอยู่บนเตียงของนางอยู่เสมอ 

 

 

ว่าก็ว่าเถอะ พี่ชายน้อยๆที่หน้าตาดีเหล่านั้น จะผลักไสออกไปย่อมไม่ดี ได้แต่ต้องรั้งเอาไว้คอยปรนนิบัติในวังแล้ว  

 

 

ยกน้ำชา เทน้ำ หากใช้การอะไรไม่ได้ก็มาคอยตบบ่านวดไหล่ให้นางก็แล้วกัน 

 

 

แค่ช่วงสั้นๆเพียงไม่กี่เดือนนี้ เหล่าพี่ชายตัวน้อยที่คอยปรนนิบัติในตำหนักบรรทมของนางก็มีมากเสียจนจะตั้งทีมเตะบอลได้แล้ว 

 

 

ยามที่ตู๋กูเจวี๋ยโผมาถึงเบื้องหน้าของนางนั้น เขาก็พูดอย่างมีลับลมคมนัยว่า “บอกข่าวดีให้เจ้าฟัง เมื่อเร็วๆนี้พวกพี่ๆหมายตาบุรุษอันดับหนึ่งในเมืองหวงตูเอาไว้แล้ว ตระเตรียมจะใช้เชือกไปมัดมาส่งให้กับเจ้า คราวนี้เจ้าจะต้องถูกตาถูกใจอย่างแน่นอน!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เมืองหวงตูมีบุรุษอันดับหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” 

 

 

เรื่องที่พวกพี่ๆจับบุรุษกลับมานั้น นางเห็นจนชินชาเสียแล้ว เรื่องการบังคับยัดเยียดมาให้นี้นางไม่เพียงแต่ห้ามไม่อยู่ ตอนนี้ยังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เฝ้ารออยู่บ้างเหมือนกัน? 

 

 

พอได้เป็นฮ่องเต้หญิงขึ้นมา วังหลังก็เต็มไปด้วยอู๋เสี่ยงฝายเอย หลัวเสี่ยวซีเอย หูเสี่ยวเกอเอย อี้เสี่ยงสี่เอย เป็นใคร ใครจะอยากปฏิเสธกัน! 

 

 

ต่อให้วันๆได้แต่ปล่อยให้เดินไปเดินมาอยู่ในวัง นั่นก็ยังถือว่าเป็นทัศนียภาพที่น่าชื่นชมอย่างหนึ่งแล้ว! 

 

 

  

 

 

ตอนนี้อยู่ๆก็มีบุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งของหวงตูขึ้นมา จะต้องงดงามถึงเพียงไรถึงจะสามารถมีความมั่นใจในตนเองได้เช่นนั้น? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันชักจะเกิดความสนใจขึ้นมาแล้ว 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยเห็นดวงเนตรทั้งสองของนางทอประกายแวววาว ก็เงียบขรึมไปครู่หนึ่ง 

 

 

…………………………………….