ตอนที่ 387 วายร้ายตัวฉกาจ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เรื่องที่เขาตกลงกับพี่ใหญ่ไว้นั้นถูกต้องแล้ว ในเมื่ออกหัก ก็ต้องใช้บุรุษงามมารักษา หากว่าคนเดียวยังไม่พอ ก็เพิ่มเป็นสอง

 

 

สองคนยังไม่พอ ถ้างั้นก็โขยงหนึ่งไปเลย!

 

 

ดูสิ นับตั้งแต่ที่แยกทางกับฮ่องเต้ต้าโจวเป็นต้นมา น้องเล็กก็มีความสุขดีมิใช่หรือ?

 

 

รอบกายมีแต่บุรุษโฉมงามรายล้อม ได้รับความเคารพจากคนทั้งแผ่นดิน

 

 

พวกราษฏร์ที่ถูกทอดทิ้งในแคว้นเหยียน ก็ได้รับการดูแลจากนางเป็นอย่างดี

 

 

ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าน้องเล็กมีฝีมือในการปกครองแคว้น!

 

 

ก่อนหน้านี้ยามอยู่ในแคว้นต้าโจว ตู๋กูเจวี๋ยมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถเคียงคู่กับฉางซุนซิ่ว ตอนนี้พอได้ยินน้องสาววิจารณ์การปกครองออกมา ก็ต้องตื่นตะลึงไป

 

 

อะไรคือหลักการปกครองที่ว่า ต้องกินอิ่มนอนอุ่นก่อน จึงจะมีความคิดทำนุบำรุงแว่นแคว้นได้ ก่อนหน้านี้ตู๋กูเจวี๋ยไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อนเลย

 

 

เรื่องสร้างสถานศึกษา สนับสนุนให้ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ยิ่งทำให้เขาตะลึงจนอ้าปากค้าง

 

 

สรุปว่าตอนนี้แคว้นเหยียนถือว่ากลับมามีพลังอีกครั้งแล้ว

 

 

ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินข่าวสารที่ส่งมาว่าคนในครอบครัวก่อกบฏ เขายังอยู่ในจวนแทะเมล็ดแตงอยู่เลย

 

 

นี่มันแบบว่า……..เอ่ยถึงสายลมแต่กลับมาเป็นพายุฝนแท้ๆ ทำเอาคนตกใจแทบตาย

 

 

เขาต้องถึงกับม้วนเสื้อหลบหนีมาทั้งคืน ยังดีที่วิ่งได้เร็ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะถูกจีเฉวียนกลั่นแกล้งอย่างไรบ้าง

 

 

ดูเอาสิ คนเขาลำบากตรากตรำตีแผ่นดินมาได้ แต่กลับถูกน้องเล็กฮุบมาเช่นนี้ แล้วจะไม่โกรธได้หรือ?

 

 

พูดไปแล้วก็นับว่าแปลกอยู่ ทำไมช่วงหลายวันมานี้ ทางด้านต้าโจวถึงได้สงบนิ่งนัก

 

 

แผ่นดินที่ชิงมาถูกฮุบไปแล้ว แต่กลับยังสงบนิ่งได้อย่างไม่น่าจะเชื่อ

 

 

ดังนั้นเขาจึงแอบส่งคนไปสืบเสาะดู นี่เรียกว่าตอนไม่รู้ก็ยังแล้วไป พอได้รู้เท่านั้นเป็นต้องตกใจแทบกระโดด

 

 

แม่นางน้อยที่นามว่าฉางซุนอิงผู้นั้น ถึงกับมีฝีมืออันร้ายกาจ……

 

 

แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆก็กลายเป็นหอมกรุ่นจนระอุไปทั่วทั้งวังหลังแล้ว?

 

 

ขนาดซูหวงกุ้ยเฟยที่กำลังทรงพระครรภ์ยังถูกนางจัดการจนแท้ง แล้วถูกส่งเข้าตำหนักเย็นไป?

 

 

เรื่องนี้ทำเอาคนล้วนไม่เข้าใจ

 

 

ขนาดตู๋กูเจวี๋ยยังรู้สึกสงสารซูเม่ยขึ้นมา…..ทราบข่าวว่า หลังจากที่ถูกส่งเข้าไปในตำหนักเย็น ซูหวงกุ้ยเฟยก็ไม่อาจทนรับความลำบากได้ไหวถึงกับแขวนคอตายไปแล้ว

 

 

หย่งเฉิงอ๋องและพระชายาพอได้ทราบข่าว ก็เป็นลมหมดสติไปในทันที

 

 

ตำหนักหย่งเฉิงอ๋องแขวนผ้าขาวตลอดหนึ่งเดือน พระชายาเปลี่ยนเป็นสติเลื่อนลอย เอาแต่ร้องไห้ด่าทอฮ่องเต้ว่าบ้าอำนาจโหดร้ายอยู่เป็นพักๆ

 

 

เรื่องเล่านี้ ตู๋กูเจวี๋ยไม่กล้าบอกกับนาง

 

 

ใครจะไปคิดว่า จีเฉวียนจะกลายเป็นคนเช่นนี้?

 

 

ทั้งๆที่รู้ว่าฉางซุนอิงผู้นั้นไม่ใช่แม้แต่มนุษย์ ก็ยังจะเอาเข้าไปไว้ในวังหลังอีก

 

 

ตอนนี้เขาโชคดีแล้ว น้องเล็กกลายเป็นฮ่องเต้หญิง เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องทำงานอยู่ข้างกายจีเฉวียนอีกต่อไป

 

 

เพราะฉะนั้นบุรุษโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินผู้นั้น จะอย่างไรก็ต้องจับมัดมาสร้างความยินดีให้น้องเล็ก

 

 

นับตั้งแต่ที่ขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิง การแต่งกายของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนแปลงไป

 

 

ตอนนี้นางอายุสิบเจ็ดแล้ว รูปร่างยิ่งทีก็ยิ่งงดงาม นางสวมชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัว เอวที่บอบบางและ ท่อนขาที่เรียวยาวเปิดเผยออกมาเป็นบางครั้งอย่างไม่ตั้งใจ ริมฝีปากแดงฉ่ำ ยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ของฮ่องเต้หญิงขึ้นมา

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยจับจ้องอยู่ที่น้องสาวของตนเอง เห็นนางนั่งอยู่ข้างโต๊ะแต่งหน้า นำชาดทาปากสีแดงก่ำทาลงบนริมฝีปาก

 

 

นางยังแต่งขอบตาด้วยเส้นสีดำที่ดึงดูดวิญญาณผู้คน ทาขอบตาด้วยสีแดงอ่อน ปัดคิ้วด้วยขนปีกนก

 

 

เขานั่งลงตรงข้างนาง วางมือลงบนหัวไหล่ ชื่นชมอยู่เป็นนาน

 

 

“น้องเล็ก เจ้างดงามน่าดูมากอยู่แล้ว สิ่งของพวกนี้ไม่จำเป็นจะต้องเอามาทาถูใบหน้าก็ได้มั้ง?”

 

 

เขาทนดูไม่ไหว ชาดทาปากที่แดงจนเกือบดำเช่นนี้…….ใครทาเข้าไปก็ดูเป็นมารร้าย!

 

 

“หากว่าข้าไม่แต่งหน้าทาปากใครจะรู้ว่าข้าเป็นฮ่องเต้หญิง?” ตู๋กูซิงหลันว่าพลางทาชาดทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง

 

 

ตอนที่อยู่ในวังหลวงของต้าโจว นางมีลูกสะใภ้มากมายเป็นโขยง ในเมื่อตนเองเป็นไทเฮา จะมาแต่งหน้าทาปากให้มากไปก็รู้สึกไม่ดี

 

 

ตอนนี้เป็นฮ่องเต้หญิงแล้ว อยากจะทำอย่างไรก็ย่อมได้

 

 

วิญญาณทมิฬตัวสั่นสะท้านอยู่ในมุมๆหนึ่ง สตรีที่อกหักช่างน่ากลัวจริงๆ ดูหลันหลันเป็นตัวอย่างก็รู้แล้ว

 

 

แต่งหน้าแต่งกายเช่นนั้น….มันจำได้อย่างแม่นยำ เป็นวิธีการแต่งตัวยามที่นางสวมบทเป็นวายร้ายตัวฉกาจตอนแสดงละครในโลกก่อน

 

 

หลังจากที่ถูกบุรุษสุดที่รักทอดทิ้ง ตัวร้ายฝ่ายอธรรมก็แต่งกายเช่นนี้ สุดท้ายแล้วทุกคนในละครก็ถูกตัวร้ายผู้นี้ฆ่าทิ้งจนเหลือแต่ชื่อ

 

 

จุ๊ จุ๊ จุ๊ ……พูดตามตรงนะ ละครเรื่องนั้นได้ทิ้งเงามืดที่น่ากลัวเอาไว้ในใจของมันอย่างไม่อาจลืมเลือน

 

 

อย่าได้เห็นว่าภายนอกนางดูปลอดโปร่งสบายๆ ปากบอกว่าไม่ได้สนใจไยดีฮ่องเต้สุนัข แต่เกรงว่าในใจคงจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำไปแล้ว

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยหยิบบรรดาขวดและตลับต่างๆของนางขึ้นมาดู พลางถามอย่างจริงจังว่า “สตรีทั้งหลายชอบสิ่งของพวกนี้มากหรือ?”

 

 

“ย่อมใช่อย่างแน่นอน ไม่มีสตรีคนใดจะไม่ชอบ”

 

 

“เช่นนั้นให้พี่รองสักตลับได้หรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยพูดพลาง ก็ยัดสิ่งของเข้าไปในอกไปด้วย “คราวหน้าพอเจอกับชือหลี ให้นางได้ลองใช้สิ่งของของมนุษย์ธรรมดาพวกนี้ดู”

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองไป เห็นเขาเลือกเอาชาดสีชมพูจัดจ้านราวปากตุ๊กตาไปตลับหนึ่ง นางก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาในทันที “ชือหลีจะต้องชอบแน่นอน”

 

 

“แฮะ แฮะ” พี่รองหัวเราะราวกับว่าเป็นคนโง่ “ข้ายังนึกว่านางชอบดื่มเหล้าเสียอีก เยี่ยมเลย ต่อไปไม่เอาสุราไปฝากแล้ว ซื้อพวกชาดทาปากและแป้งฝุ่นพวกนี้ไปฝากนางให้มากๆดีกว่า!”

 

 

พอเอ่ยถึงชือหลี นับตั้งแต่ที่จากกันครั้งที่แล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้ข่าวคราวของนางแม้แต่น้อย

 

 

แต่กลับเป็นไข่มุกมังกรที่นางมอบให้ตน ช่วงนี้กลับเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาแล้ว

 

 

มุกมังกรสีฟ้า ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง

 

 

ช่วงนี้สีแดงยิ่งทีก็ยิ่งเข้มขึ้นมา……

 

 

ทิศตะวันตกของแคว้นเหยียนติดกับทะเลตะวันตก ที่จริงก็ไม่นับว่าไกลกันเท่าไหร่ เดิมตู๋กูซิงหลันก็เคยมีความคิดจะไปชมดูสักครั้งอยู่แล้ว

 

 

เมื่อหลายปีก่อน ศพของมารดาไทเฮาน้อยก็ถูกพบในสถานที่ที่ใกล้ๆกับทะเลตะวันตกเช่นกัน

 

 

ส่วนเรื่องฐานะของบิดาที่แท้จริงของนางนั้น ขนาดจนถึงตอนนี้ท่านปู่ก็ยังไม่อาจสืบได้ชัดเจน

 

 

บางทีหากว่านางเดินทางไปทะเลตะวันตกสักครั้งก็อาจจะได้ผลลัพธ์ออกมาบ้างก็ได้

 

 

ตอนนี้สถานการณ์ให้แคว้นเหยียนก็สงบลงแล้ว สองขาของนางก็ดีขึ้นมากแล้ว

 

 

นางยิ่งไม่คิดจะปล่อยตนเองให้อยู่ว่างอีกต่อไป พอว่างขึ้นมาก็จะคิดไปถึงเรื่องของจีเฉวียนและฉางซุนอิง

 

 

พอคิดหัวใจก็ว้าวุ่นไปหมด

 

 

หาเรื่องอะไรให้ตนเองทำจะได้ไม่ต้องไปคิดถึงมัน

 

 

“ฝ่าบาท ที่ด้านนอกมีบุรุษผู้หนึ่งบอกว่าตนคือโฉมงามอันดับหนึ่งในแผ่นดิน มาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”

 

 

ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคนรายงานเข้ามา

 

 

ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง ก็หันไปหัวเราะฮิฮิกับพี่รองของตนเอง “รวดเร็วอะไรเช่นนี้?”

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยยังคงมีสีหน้างงงัน เขายังไม่ทันจะได้ลงมือเลย …..นี่พี่ใหญ่ทำงานเร็วขนาดนี้เชียว?

 

 

ช่างสมกับเป็นพี่ใหญ่ที่เน้นหนักด้านการลงมือทำ พอบอกว่าลมพัดก็ส่งฝนมาเลย!

 

 

ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน เสด็จด้วยเท้าเปล่าไปบนพรมจนถึงปากประตูตำหนัก

 

 

ฉลองพระองค์สีแดงเพลิงพลิ้วไหวไปทั่งร่าง ส่วนที่เป็นกระโปรงผ่ายาวจนถึงต้นขา เผยให้เห็นเรียวขาขาว ยาว ตรง และนวลละเอียด

 

 

มงกุฏหงส์บนพระเศียรฮ่องเต้หญิงสั่นไหวเบาๆ ส่งเสียงกรุ้งกริ้ง ตู๋กูเจวี๋ยมองดูเงาหลังของนาง ได้แต่รู้สึกประทับใจจนบอกอะไรไม่ถูก

 

 

พอตู๋กูซิงหลันเสด็จมาถึงปากประตูตำหนัก ก็เห็นร่างที่สวมใส่ชุดสีแดงเพลิงเหมือนกับนางหันมาทางตน เขาเดินขึ้นบันไดหินอ่อนขึ้นมาทีละก้าวๆ คุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงเบื้องหน้านาง เอ่ยคำหนึ่งว่า “กราบทูลฮ่องเต้หญิง…..”

 

 

 

 

 

 

………………………………………………

 

 

ไรท์ : ใครมานะ?

 

 

ตอนต่อไป “ขอแต่งงาน”

 

 

ไรท์ : เฮ้ย เดี๋ยวสิ มาถึงก็จะขอแต่งเลย ใครมันกล้าขนาดนี้?