ทว่า สตานิส เดโมกอร์กอนแห่งดวงตา ผู้ไต่สวนหกกร และผู้มีพลังชั้นตำนานคนอื่นๆ หาได้หวาดกลัวจนสิ้นหวังไม่ เมื่อยามนี้ชั้นตำนานระดับสูงสุดของทั้งสองฝ่ายต่างแข็งแกร่งทัดเทียมกัน แม้ว่าฝ่ายตนจะมีคนน้อยกว่า แต่พวกเขาก็ยังมีโอกาสหลบหนีไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนอย่างราชาแห่งฝันร้ายที่มีวิธีการรักษาชีวิตอย่างมากมายหลากหลาย อย่างไรเสีย เมื่อพวกเขาอยู่ในระดับทัดเทียมกัน พวกเขาย่อมไม่เสียเปรียบทางด้านจำนวนที่มากกว่าสองเท่าในการต่อสู้ แต่พวกเขาจะไม่ถูกสังหารภายในพริบตา และตราบใดที่พวกเขาไม่ตายในพริบตาเดียว พวกเขาย่อมมีโอกาสในการหนีรอดด้วยวิธีการรักษาชีวิตที่พวกเขามี

ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้มีพลังชั้นสูงแห่งโลกมืดที่ต่างก็ผ่านประสบการณ์การสู้รบมาอย่างโชกโชน จึงไม่นึกหวาดกลัวหรือสิ้นหวังแต่อย่างใด

ท่ามกลางม่านหมอกที่ราชาแห่งฝันร้ายสร้างขึ้น กระแสจิตของฝ่ายเขาต่างก็สื่อสารกันผ่านทางทักษะเหนือธรรมชาติของตนเอง พวกเขาตัดสินใจทุ่มพลังเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป ในตอนนี้ พวกเขาต่างรู้สึกทั้งโชคดีและเกลียดชังลูเซียน เจ้าหนุ่มสารเลวที่เป็น ‘ตัวนำความหายนะ’ และ ‘ตัวแทนแห่งความโชคร้าย’ ได้นำพาความตายและหายนะมาให้พวกตนอย่างแท้จริง แต่มันก็ยังนับเป็นโชคดีสำหรับพวกเขาเช่นกันที่ลูเซียนอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้น คงมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรอดชีวิตไปได้หากว่าดานิซอสกับแดรกคูลา ชั้นตำนานระดับแนวหน้า กระโจนเข้าร่วมศึกในคราวนี้!

มีอยู่ครู่หนึ่งที่สตานิสคิดจะทิ้งเดโมกอร์กอนแห่งดวงตากับคนอื่นๆ แล้วหลบหนีไปตามลำพัง อย่างไรเสีย เขาก็มีเวทมนตร์ระดับตำนานที่คล้ายคลึงกับ ‘เวทชุมนุมย้อนกลับ’ ร่ายกำกับไว้กับตัว และเขาก็สามารถกลับไปยังมิติพิเศษของตนเองหลังจากกระตุ้นใช้เวทมนตร์เหล่านั้น แต่เขากลับตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อ เพราะทั้งโอเกอร์และฟิเทียต่างก็คุ้นเคยกับวิธีการหลบหนีของนักเวท พวกเขาคงจะเตรียมการรับมือกับการหลบหนีของเขาแล้วเป็นแน่ หากเขาเลือกที่จะหนีไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ก็เป็นไปได้มากที่เขาจะติดกับดัก ฉะนั้น เขาจึงควรอยู่ที่นี่กับคนอื่นๆ พร้อมกับมองหาโอกาสที่ดีกว่านี้ไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเลือกสร้างความปั่นป่วนให้กับเหล่ามังกรแห่งบรรพกาล เจ้าชายแวมไพร์ และศัตรูคนอื่นๆ ด้วยม่านหมอกอย่างสมกับเป็นราชาแห่งฝันร้าย เขาท่องไปในจิตใจของอีกฝ่าย สร้างภาพมายาที่สะท้อนต้องกับความเป็นจริง พร้อมกับลอบใช้เวทมนตร์พยากรณ์เพื่อหาเส้นทางหลบหนีที่ปลอดภัยที่สุด

ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็ให้ความสนใจกับสถานะของลูเซียนด้วยเช่นกัน แม้ว่าลูเซียนจะค่อนข้างอึ้งงั้นอยู่เบื้องหน้าแดรกคูลาและอยู่ภายใต้การลอบโจมตีจากลมหายใจและเวทมนตร์แห่งกาล-อวกาศของดานิซอส สตานิสก็เชื่อมั่นในตัวเขา ผู้ที่เคยสร้างปาฏิหาริย์มาแล้วมากมายและเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนเองโดยมิได้เตรียมตัวรับเหตุฉุกเฉินมาแล้วหลายต่อหลายคน

แต่ทันใดนั้น สายฟ้าสีแดงโลหิตที่ด้านนอกก็พลันฟาดลงมาจากเมฆสีเข้มอย่างหนักหน่วง และสายฟ้าเหล่านี้ก็แทบจะอยู่ในระดับเดียวกับหอคอยเวทมนตร์ในชั้นนี้ เป็นเหตุให้ม่านหมอกเลือนรางมีสีเข้มทึบทึมยิ่งขึ้น และความโกลาหลของ ‘แดนฝัน’ ก็ยิ่งโกลาหลปั่นป่วนและไร้เหตุผลยิ่งขึ้นเมื่อยามนี้ภาพสะท้อนทางจิตบางส่วนสูญหายไป!

มังกรแห่งบรรพกาลทั้งหก รวมถึงมิเลอเรียส ต่างละทิ้งร่างมนุษย์และเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงเพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ของตนอย่างเต็มกำลัง!

มังกรแดงที่ลำตัวยาวหลายร้อยเมตร พ่นไฟออกมา ส่งผลให้ความร้อนระอุแผ่ไปทั่วพื้นที่ ท่ามกลางเปลวเพลิงอันโชติช่วง เกล็ดสีทับทิมนั้นเปล่งแสงแรงกล้า ลมหายใจรูปร่างดั่งงูเหลือมที่บรรจุความเย็นเยียบแช่แข็งและความเป็นอัมพาติ ถูกพ่นออกมาจากมังกรตนหนึ่งที่มีลักษณะสง่างาม ควบรวมม่านหมอกให้กลายเป็นน้ำแข็งเพื่อสกัดกั้นพายุคมมีดจากผู้ไต่สวนหกกร…

เมื่อมังกรแห่งบรรพกาลเผยร่างที่แท้จริง แม้แต่ตัวที่มีขนาดเล็กที่สุดก็ยังยาวถึงหนึ่งร้อยเมตร ถึงแม้หอคอยเวทมนตร์ของนาทราวอสจะค่อนข้างสูงและกว้างในแต่ละชั้น มันก็ยังใหญ่ไม่พอจะให้สัตว์อสูรร่างมโหฬารมารวมตัวอยู่ด้วยกันได้ ทว่า สิ่งต่างๆ กลับเหนือความคาดหมายไปไกล หอคอยเวทมนตร์ผุพังดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับป่าปีศาจอันลึกล้ำและไร้ขอบเขต กระทั่งมังกรแห่งบรรพกาลทั้งเจ็ดที่บินโฉบเฉี่ยวและพ่นลมหายใจอย่างอุกอาจก็ยังมิถูกจำกัดแต่อย่างใด

“เกิดอะไรขึ้นกันนี่” ความผิดปกติพรรค์นั้นทำให้ผู้มีพลังชั้นสูงอย่างสตานิส ที่รู้จักนักเวทชั้นตำนานเป็นอย่างดีรู้สึกแปลกๆ

การจะแสดงพลังที่ทับซ้อนกันของหอคอยเวทมนตร์กับมิติพิเศษนั้นจะต้องควบคุมผู้อารักขาหอคอยในยามที่หอคอยเวทมนตร์ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง หรือไม่ก็ควบคุมเจ้าของหอคอยเพื่ออัญเชิญพลังของมิติพิเศษมาในยามที่หอคอยเวทมนตร์ใกล้จะพังทลาย ในเมื่อเห็นได้ชัดว่าผู้อารักขาหอคอยถูกลบล้างไปกับพายุแห่งการทำลายล้างแล้ว แล้วใครกันที่ควบคุมหอคอยเวทมนตร์ และอัญเชิญพลังของป่าปีศาจ

‘นี่นาทราวอสยังไม่ตายเช่นนั้นรึ’

‘เขาก็เป็นพันธมิตรกับดานิซอสและแดรกคูลาด้วยหรือ’

‘ไม่สิ นาทราวอสอาจขัดขวางลูเซียน อีวานส์ จากการหาข้อสรุปบางประการโดยปกปิดสถานะชีวิตของเขาได้ แต่เขาไม่มีทางแกล้งตายต่อหน้าเวทโหราศาสตร์ของผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงได้ ดังนั้น “เจ้าแห่งอเวจี” ย่อมตายไปแล้วเป็นแน่’

‘ถ้าเช่นนั้น เป็นผู้ใดกัน’

ในขณะที่พวกเขาต่างตกตะลึงและนึกกังขา เสียงหัวเราพขบขันก็ดังมาจากหมู่เมฆที่นอกหน้าต่าง “ข้าหรือก็รอให้ใครสักคนหลบหนีไปโดยใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้าย ความสามารถที่น่าทึ่งที่สุดของ ‘ป่าปีศาจ’ ที่แสนโกลาหลก็คือการทำลายเวทมนตร์ประเภทนั้น”

หมู่เมฆกระจายตัว พร้อมกับที่สายฟ้าสีแดงโลหิตเปล่งแสงวูบ บุรุษผู้หล่อเหลาที่มีเส้นผมยาวใสประดุจคริสตัลกับผิวสีเข้มลอยอยู่กลางอากาศขณะก้าวเข้ามาใกล้ เขาอยู่ในชุดสูทหางยาวสีดำ ดูสง่างามและหล่อเหลา

“เดโมกอร์กอนแห่งความมืด!”

“กอนไฮล์ม!”

เสียงเรียกชื่อแต่ละอย่างนั้นคือการยืนยันตัวตนของผู้มาใหม่ เขาก็คือกอนไฮล์ม เจ้าชายปีศาจตนใหม่นั่นเอง!

สตานิส โซนิเต เดโมกอร์กอนแห่งดวงตาพลันตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง แผนการร้ายที่บงการทุกคนได้อย่างถูกต้องแม่นยำคงจะเป็นเจ้าชายปีศาจที่วางแผนการขึ้นอย่างแน่นอน!

ก็เหมือนกับเหล่าดยุกปีศาจในนรก เขาคือผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความเจ้าเล่ห์และมากแผนการ!

ทว่า เขามาเยือนยังโลกหลักอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน แล้วเขาสามารถควบคุมมิติพิเศษของนาทราวอสได้เช่นไร

ราวกับล่วงรู้ถึงคำถามในใจพวกเขาและเพื่อสร้างบรรยากาศสิ้นหวังยิ่งขึ้น กอนไฮล์มแย้มยิ้ม “จริงๆ แล้ว เจ้าจะเรียกข้าว่า ‘นาทราวอส’ ด้วยก็ได้ เพราะยามนี้เขานับเป็นส่วนหนึ่งของข้าแล้ว”

ขณะที่ถ้อยคำนั้นลอยเข้าหูอีกฝ่าย ร่างของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นภาพมายา ราวกับมันมีอยู่ในจิตใจของทุกคน และใบหน้าอันหล่อเหลาก็กลับกลายเป็นน่าเกลียดน่ากลัว โดยมีดวงตาสามดวง โหนกแก้มสูง และริมฝีปากยื่นๆ มันก็คือ ‘นาทราวอส’!

สตานิสที่พอจะรู้เกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้ พลันรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง เดโมกอร์กอนแห่งความมืดได้แปรสภาพโดยสมบูรณ์โดยใช้นาทราวอสเป็นภาชนะ นอกจากนี้ เดโมกอร์กอนแห่งความมืดยังสามารถมาเยือนโลกหลักได้อย่างมั่นคงผ่านทางมิติพิเศษและร่างกายของนาทราวอส!

ที่สตานิสรู้สึกจิตใจหนักอึ้งมิใช่เพียงเพราะสาเหตุนั้น แต่ยังเป็นเพราะฝ่ายศัตรูมีผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดเพิ่มมาอีกคนแล้วตอนนี้ สถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่ไม่ชวนให้สิ้นหวังจนเกินไปนัก บัดนี้กลับดิ่งลงเหวอเวจี นอกจากนี้ ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดที่ต่อสู้ภายในมิติพิเศษของตนนั้นจะมีพลังเทียบเท่ามนุษย์ครึ่งเทพ แม้ว่านี่จะเป็นเพียง ‘ป่าปีศาจ’ ของผู้มีพลงชั้นตำนานระดับสอง แต่มันก็เพียงพอจะทำให้เดโมกอร์กอนแห่งความมืดสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้มากถึง 130%

สำหรับเขาแล้ว มันแทบจะเป็นเหมือนคำสั่งประหาร มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะต้านทานการโจมตีจากเดโมกอร์กอนแห่งความมืดได้ เขาจะต้องหนีไปบัดเดี๋ยวนี้!

เดโมกอร์กอนแห่งดวงตา เจ้าชายมนุษย์หมาป่า และอัศวินทมิฬ ไม่ว่าพวกเขาจะรู้เกี่ยวกับความลับในการแปรสภาพหรือไม่ ต่างก็ลอบสบถในใจ ‘เจ้าสารเลว นาทราวอส! เหตุใดเจ้าจึงต้องชื่นชอบการทำร้ายตัวเองด้สน เจ้าทำให้ตนเองต้องตายใช่ไหมเล่า แต่เหตุใดต้องมาลากเราไปตายกับเจ้าด้วย’

ในขณะเดียวกันนั้น เนื่องจากเวลาที่เชื่องช้าลง อีกฟากฝั่งที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นช้ากว่าก็บังเกิดสถานการณ์รูปแบบใหม่

เมื่อแดรกคูลา ผู้ครองแห่งรัตติกาล ยื่นมือขวาในถุงมือสีขาวผ่านห้วงกาล-อวกาศที่ถูกแช่แข็งเป็นกรงขัง เขาก็ตวัดมือใส่อกลูเซียนอย่างมั่นคง แม่นยำ และรวดเร็วยิ่ง

พลังป้องกันรอบตัวลูเซียนได้สลายหายไปภายใต้แรงระเบิดจากเวทมนตร์ภาษามังกรเมื่อก่อนหน้านี้ของดานิซอส และไม่สามารถขัดขวางการโจมตีจากแดรกคูลาได้เลยสักนิด นอกจากนี้ เขายังดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาที่อืดอาดยืดยาด หลังจากที่ถูกดานิซอสโจมตีใส่เมื่อครู่นี้!

‘เหอะๆ ข้าจะทำให้เจ้าอับอายยิ่งกว่าสิ่งที่เจ้าทำกับข้านับร้อยๆ เท่า!’

ทันทีที่ความปีติยินดีผุดขึ้นในใจแดรกคูลา มือขวาของเขาที่ปกคลุมด้วยเงามืดก็สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า

‘ว่างเปล่ารึ’

นัยน์ตาสีแดงโลหิตของแดรกคูลาพลันหดลง เขาเห็นว่าจู่ๆ ลูเซียนก็กลายเป็นภาพมายาและดูเหมือนจะแผ่ออกไปทั่วอากาศอย่างไร้ซึ่งตัวตนอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยเหตุนี้ การโจมตีของเขาที่ไม่ได้เสริมด้วยทักษะพิเศษจึงพลาดเป้าไปอย่างสิ้นเชิง!

‘เขาเปลี่ยนสถานะได้สำเร็จแล้วรึ’

‘มิใช่ว่าเขารังเกียจการแปรสภาพของเหล่าปีศาจแห่งบรรพกาลมาตลอดหรอกหรือ’

ความตกตะลึงและสับสนในใจแดรกคูลาเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ แต่ไม่นานเขาก็ได้คำตอบตายตัว ความเกลียดชังของลูเซียน อีวานส์ นั้นเป็นเพียงการอำพรางเท่านั้น และแท้จริงแล้วเขาก็ไม่ต่าอะไรกับเดโมกอร์กอนแห่งความมืด ราชินีเอลฟ์ เจ้าแห่งมหาสมุทรไร้พรมแดน ดานิซอสและตัวเขาเอง!

ม่านหมอกมายาอันท่วมท้นคล้ายกับจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่จู่ๆ มันก็พังทลายลงอย่างฉับพลันและไปรวมตัวกันเป็นร่างของลูเซียน ณ จุดที่อยู่ห่างออกไปไกล

ทันทีที่เป็นรูปเป็นร่าง ลูเซียนก็อัญเชิญภาพมายาสะท้อนมิติพิเศษของเขา ก่อนที่ดานิซอสจะสามารถร่ายเวทมนตร์ภาษามังกรอะไรได้อีก และก่อนที่แดรกคูลาจะมาถึงตัวเขาด้วยพลังท่องราตรี เพื่อที่โลกแห่งปัญญาของเขาจะสามารถส่งอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อมในโลกแห่งความเป็นจริงได้

จักรวาลอันมืดมิดไร้ขอบเขตปัดเป่าความโกลาหลของป่าปีศาจให้กระจายตัวออกไป จากนั้นบอลไฟขนาดใหญ่ยักษ์ที่เปล่งแสงเจิดจ้าและแผ่ความร้อนออกมาก็ปรากฏจากดวงดาวหลากสีสัน แสงสว่างมะลังมะเลืองนั้นดูเหมือนของจริงอย่างยิ่ง!

“ไม่!”

แดรกคูลากรีดร้องและหลบเลี่ยงบอลไฟยักษ์ไปโดยสันชาตญาณ โดยที่ร่างกายมีควันดำพวยพุ่งออกมา

หลังจากที่เขาค้นพบดวงอาทิตย์และจักรวาลที่แท้จริง หนึ่งในดาวหลักแห่งเทวลิขิตของลูเซียนก็เหมือนกับพระอาทิตย์ของจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และดวงอาทิตย์ก็คือหายนะสำหรับเหล่าแวมไพร์ ดังนั้น แม้ว่ามันจะไม่ถึงกับทำให้แดรกคูลาบาดเจ็บ แต่มันก็ทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอลงและทำให้เขาหวาดกลัวถอยห่างในช่วงเวลาสำคัญ!

เมื่อแดรกคูลากระวีกระวาดถอยไป ลูเซียนก็เอ่ยถ้อยคำด้วยเสียงแปล่งแปลกและซับซ้อน

“เวทพังทลายขั้นสุดยอด!”

เปรี๊ยะๆๆๆ

พลังป้องกันรอบๆ ตัวดานิซอสพลันแตกสลาย ‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ ที่มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดนั้นน่าหวาดเครงอย่างแท้จริง!

ทว่า ดานิซอสหาได้ตื่นตระหนกไม่ แค่เกล็ดและร่างกายเขาก็เพียงพอต่อการปัดป้องพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดแล้ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงร่ายเวทมนตร์ด้วยภาษามังกรต่อไป ด้วยหวังจะกักขังลูเซียนและกำจัดปัจจัยไม่คงที่ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ต้องขอบคุณพลังเร่งความเร็วในการร่ายคาถา เวทมนตร์ของเขาจึงร่ายเสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นว่าลูเซียน ที่ถือนาฬิกาพกสีเงินอยู่นั้น มิได้มีท่าทางเคร่งเครียดหรือตื่นตัวแต่อย่างใด ชายหนุ่มกลับแย้มยิ้มและมองเขาด้วยสายตาที่ดูเหมือนความเวทนา

‘นี่มันไม่ถูกต้อง!’

ทันทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้นในใจดานิซอส ลำแสงเลือนรางเย็นเยียบของดวงจันทร์ก็ส่องลอดหน้าต่างบานแคบเข้ามา ส่องกระทบพื้นทั้งชั้นด้วยแสงสีเงินชวนฝัน

……………………………………..