GGS:บทที่ 829 คนนำทาง
หลังจากซูจิ้งกลับถึงบ้านแล้ว เขาได้ตรงเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯทันที อย่างแรกที่เขาทำเมื่อถึงที่นี่นั่นก็คือดูค่าการใช้ประโยชน์
เขาได้เห็นแล้วว่าค่าการใช้ประโยชน์ในตอนนี้อยู่ที่ 3,800 หน่วย และยังคงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ
อัตราที่เพิ่มขึ้นนี้สูงกว่าตอนที่เขาถ่ายภาพหัวใจพระสูตรและพระพุทธปล่อยลงอินเตอร์เนต และตอนที่อัญเชิญพระอจละไปวัดยังวัดหลานเล่อเพื่อให้ผู้คนไปนมัสการซะอีก
นี่เป็นการบ่งบอกว่าวิธีการของเขาถูกต้องแล้ว หากเขายอมขายไปตรงๆล่ะก็ต้องกลับมานั่งเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้เผยแพร่หัวใจพระสูตรและพระพุทธ พร้อมทั้งเผยแพร่เพลงหมัดวัวคลั่งออกไปนั้น
ถึงแม้ค่าการใช้ประโยชน์ที่ได้จากส่วนนี้เริ่มลดลงแล้วก็ตาม
แต่เมื่อใดที่เขาถูกพูดถึงก็มักจะมีคนกล่าวถึงสมบัติและวิชายุทธ์นี้อยู่บ่อยครั้ง
เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่วีดิโอของเขาและสมบัติถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เนต ทำให้เหมือนกับเป็นการกระตุ้นการสร้างค่าการใช้ประโยชน์ขึ้นมาอีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ทางสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขาในตอนนี้ได้ขยายมากกว่าเดิมประมาณ 10 เท่าไปแล้ว
นั่นทำให้ความสามารถในการผลิตปฏิสสารของเขาตอนนี้อยู่ที่ 0.06 กรัมต่อเดือน โดยต้องผลาญเงินตกเดือนละ 1.8 พันล้านหยวน
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถขยายสถาบันวิจัยได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้นั้นมาจากผงเม่ยหยาน(ผงเสริมความงาม) ผงเสริมทรวงอก แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ร้านเสื้อผ้าของฉือชิง และผลิตภัณฑ์ต่างๆของเขานั้นได้เป็นที่นิยมในตลาดอย่างล้นหลามจนทำให้เขามีรายรับต่อเดือนอยู่ที่ 1 พันล้านหยวน
ซึ่งถือได้ว่ามากกว่าเงินที่เขาได้มาจากการขายสมบัติจากกองขยะห้วงเวลาฯของเขาเมื่อปีก่อนซะอีก นี่ขนาดว่าเขาต้องจ่ายค่าดำเนินการของระบบในราคาสูงนะเนี่ย
เพียงไม่ถึงเดือนดี เขานั้นมีปฏิสสารเก็บสำรองไว้อยู่ที่ 0.052 กรัม นี่คือจำนวนที่เหลือจากการเผาและย่อยสลายขยะไปเรียบร้อยแล้ว เทียบกับก่อนหน้านี้ที่จำนวนที่เหลืออยู่นั้นแทบจะไม่เพียงพอเลย
ในตอนนี้สามารถบอกได้เลยว่าหากเขาต้องการจริงๆล่ะก็ เขานั้นสามารถจะขยายสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ
เพียงแต่ตอนนี้เขายังเลือกที่จะไม่ขยายออกไปต้องการเก็บสำรองปฏิสสารเอาไว้ก่อน
เขาเองก็ได้อธิบายกับฉิงหยุนไปแล้วว่าเขานั้นพร้อมจะขยายก็ต่อเมื่อสามารถหยุดการเทลงมากองของขยะห้วงเวลาฯก่อนเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เขาพร้อมที่จะขยายสถานีฯแห่งนี้ในทันที
เหตุผลก็คือเมื่อเทียบกับค่าการใช้ประโยชน์ที่เขามีอยู่ในตอนนี้ถือได้ว่าจำนวนปฏิสสารที่เขาเก็บเอาไว้นั้นมันช่างต่างกันราวกับฟ้าและเหว
ตอนนี้ซูจิ้งพยายามเรียนรู้การทำงานของระบบคำนวนค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มเติม
เขานั้นกำลังหาวิธีที่ในการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์การสร้างความสมดุลในธรรมชาติด้วยขยะห้วงเวลาฯของเขา เพื่อที่จะได้รับค่าประโยชน์จากปัจจัยในวงกว้าง
เหตุผลที่เขามีความคิดนี้ขึ้นมานั่นก็เพราะตอนนี้ถึงแม้ว่าค่าการใช้ประโยชน์ที่เขาได้นั้นจะค่อยเพิ่มสูงขึ้นก็จริง แต่มันก็สมควรจะเป็นแค่ในระยะสั้นๆเท่านั้น หากขาดการกระตุ้นก็ยากที่จะเพิ่มค่าเหล่านี้ได้ ซึ่งเขาเองก็ขี้เกียจจะคอยยุ่งยากทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆ
กลับกันหากเขาใช้ขยะห้วงเวลาฯไปทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งในระบบสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดี
ถึงแม้ในระยะสั้นค่าใช้ประโยชน์จะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไงซะมันถือว่าเป็นการลงทุนในระยะและเขาเองก็สมควรจะไม่จำเป็นที่จะต้องคอยออกสื่อบ่อยๆแบบนี้
และจะให้ดีที่สุดก็คือเขาจะต้องหาวิธีการในการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์และเพิ่มเงินที่ใช้ในการผลิตปฏิสสารไปพร้อมๆกัน
สองวันต่อมา ซูจิ้งและหวังซือหยาได้เซ็นสัญญากับเตียนจงยี่และได้กลายเป็นหุ้นส่วนกันอย่างเป็นทางการ
มีหลายคนที่โทรมาหาซูจิ้งเพื่อที่จะพยายามของซื้อสมบัติของซูจิ้ง แต่ซูจิ้งก็หาได้สนใจพวกเขาแต่อย่างใด เขานั้นได้ส่งมอบสมบัติทั้งหมดไปยังหอประมูลห้วงเวลาฯ นั่นคือที่ที่เหมาะที่สุดแล้วที่เขาจะได้ชื่อเสียงจากของเหล่านั้น
ต่อมานาหลันเฟยและเลาชงได้โทรหาซูจิ้งเพื่อกล่าวขอบคุณเขาที่เขาช่วยเหลือทั้งสองคนจากเรื่องของมนุษย์แมงมุมที่พวกเขาโดนตีตราจากสังคมอย่างหนักจากการที่ทั้งสองยืนหยัดอยู่ข้างมนุษย์แมงมุมจนสุดความสามารถ
ถึงแม้ว่าผอ.ของSARFTจะเป็นคนที่ช่วยทั้งสองในท้ายที่สุดก็ตาม
ตอนแรกทั้งสองก็คิดเพียงว่าเป็นเรื่องของโชคเข้าข้างเท่านั้น
แต่เมื่อสองวันการพวกเขาเองก็ได้ดูวีดิโอการถ่ายทอดงานเลี้ยงนั้นเหมือนกัน
และพอพวกเขาได้ยินมาว่าภรรยาของ ผอ.SARFTตั้งครรภ์เพราะได้ซูจิ้งช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากให้
พวกเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นซูจิ้งที่อยู่เบื้องหลังการช่วยเหลือนี้
ถ้าหากมีคนรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ ซูจิ้งนี้น่าจะได้หน้าไม่น้อยเลย
ในระหว่างนี้ เหล่าสมบัติของซูจิ้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหัวใจพระสูตรและพระพุทธ เพลงหมัดวัวคลั่ง องค์พระอจละ และสมบัติอย่างอื่น ต่างก็ช่วยทำให้ค่าการใช้ประโยชน์ฯของฉิงหยุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแม้แต่น้อย
ตอนนี้ซูจิ้งหาได้ใส่ใจกับค่าการใช้ประโยชน์ฯที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด
ตอนนี้เขาได้เตรียมตัวจะก้าวไปยังขั้นตอนต่อไปของแผนการของเขา
เริ่มจากการส่งหอยลายเสือไปยังทะเลทรายของเกาะทะเลทราย และได้สะกดจิตให้ปลาเขี้ยวหยกจำนวนมากคอยพิทักษ์ปกป้องหอยลายเสือ และควบคุมไม่ให้ปลาเขี้ยวหยกรุ่นหลังมาโจมตีหอยลายเสือได้
นอกจากนั้นเขายังได้คุยกับซูเหลียงและซูเสี่ยวหลินให้พวกเขาเตรียมพื้นที่ในการเพาะพันธุ์หอยลายเสือ เพื่อให้เขามีสมบัติมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
แน่นอนว่า เขาเองก็ต้องสงวนสายพันธุ์หอยลายเสือของเขาเอาไว้อย่างดีเช่นเดียวกัน เพราะหอยที่มีความล้ำค่าขนาดนี้ต้องมีหลายคนละโมบอยากได้อยู่แล้ว
ต่อให้คนงานไม่ขโมย แต่ก็ยังมีโอกาสที่หอยพวกนี้จะว่ายหนีออกไปได้อยู่ดี
หลังจากซูจิ้งเสร็จงานส่วนนี้ไปแล้ว ซูจิ้งยังได้ให้เสี่ยวไป๋ดำเนินการฟื้นฟูเศษซากขยะห้วงเวลาฯต่อไป แต่เขาก็ไม่ได้พบอะไรที่มีค่าเพิ่มเติม
หลังจากที่เสร็จงานตามแผนของเขาแล้ว ซูจิ้งวางแผนที่จะศึกษาสมุดบันทึกที่เขาได้เจอมาก่อนหน้านี้
ซูจิ้งได้ประเมินคร่าวๆว่าสมุดบันทึกเล่มนี้สมควรจะทำขึ้นด้วยเหตุผลที่คล้ายๆกับหัวใจพระสูตรและพระพุทธ นั่นก็คือมีวัตถุประสงค์ในการใช้ฝึกฝน และดูจากลักษณะลายมือแล้วเขาเข้าใจว่ามาจากคนเดียวกัน และผู้ที่เป็นเจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้พอเขาดูๆไปแล้วค่อนข้างมีทักษะในการเขียนและเข้าใจหลักของวิชาได้อย่างถึงแก่น
แต่ก็ดูเหมือนว่ายังเป็นแค่การลอกเลียนแบบเสียมากกว่าจะเป็นการเข้าใจเองเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งได้ลองพิจารณาสมุดบันทึกเล่มนี้อย่างถี่ถ้วนและเคร่งเครียดจนต้องขมวดคิ้วจนต้องพูดออกมาลอยๆว่า “สมุดบันทึกเล่มนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดชนิดที่ถี่ยิบเลยแหะ แต่ก็อีกล่ะนะคนผู้นี้แต่ให้มีทักษะเพลงยุทธ์สูงยังไงแต่คนนี้เองก็ไม่ได้มีฝีมือในการใช้พู่กันและลายเส้นเลยแม้แต่น้อย”
สำหรับเรื่องฝีมือในการใช้พู่กันและลายเส้นนั้นซูจิ้งเองก็ไม่ได้ร่ำเรียนมาจากที่ไหน แต่เขาฝึกฝนเองเสียมากกว่า
หรือต่อให้ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเขาก็จะหาดูจากในอินเตอร์เน็ตมากกว่าการจะไปศึกษาโดยตรง
ถึงแม้มันจะดูกักขฬะไปบ้างแต่ว่ามันก็ได้ผลดีสำหรับเขาก็พอแล้ว
เอาจริงๆแม้ว่าเขาจะอยากเรียนขนาดไหนก็ตาม แต่เขาเองก็ยังไม่เคยเจอปรมาจารย์คนไหนในโลกที่ดูมีแววพอสอนเขาได้เลย
“ในมือของฉัน…ในสายตาของเธอ… จะมีที่ไหนที่เหมาะสมกับเราสอง ที่ที่มีต้นหญ้าเขียว…. ”
เสียงเพลงจากโทรศัพท์ได้ดังขึ้นมา ซูจิ้งมองดูเมื่อเห็นเป็นหวังซือหยาเขาก็ได้รับสายในทันที
“อาจิ้งอยู่บ้านรึเปล่าเนี่ย” หวังซือหยาถามออกมา
“อยู่” ซูจิ้งตอบ
“นายจำเชิงชิเหยาได้รึเปล่า” หวังซือหยาถามออกมา
“นางแบบขาคนนั้นใช่รึเปล่า ถ้าใช่ก็คือฉันจำได้นะ มีอะไรหรอ” ซูจิ้งถามออกมา
“เห้อะ นี่นายจำได้แต่ขาของเธอใช่ไหมเนี่ย” หวังซือหยาหัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อว่า “ตอนนี้ชิเหยากับเพื่อนกำลังจะไปที่ชายหาดของเมืองฉิงหยุนเพื่อวาดน้ำและวาดรูปน่ะ ถ้านายว่างก็ช่วยพาเธอเที่ยวหน่อยสิ”
“ว่างอยู่นะตอนนี้มาถึงกันรึยังล่ะ” ซูจิ้งพูดตอบรับอย่างรวดเร็ว เขาเองก็มีความรู้สึกดีๆให้เชิงชิเหยาไม่น้อยเหมือนกันเพราะว่าเธอนั้นก็สวยไม่น้อย แต่ยังไงซะเขาเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้คู่ครอง
เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอเขาเองก็เป็นเพียงสุภาพบุรุษและคนที่ดูดีคนหนึ่งแค่นั้นเอง
อีกอย่างเขาเองก็สนิทกับซือหยาอยู่แล้ว หากมีคนของซือหยามาในถิ่นของเขา เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องเป็นคนดูแล
อย่างน้อยเขาก็น่าจะพอเป็นคนพาเที่ยวประจำถิ่นนี้ได้อยู่แล้ว แถมช่วงนี้เขาเองก็ทำงานหนักจนอยากหาเวลาพักผ่อนเหมือนกัน
“พวกเธอน่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันส่งเบอร์มือถือของชิเหยาไปให้ละกัน” หวังซือหยาพูดเสร็จก็ได้วางสายไป หลังจากนั้นเธอก็ได้ส่งข้อความมาเป็นเบอร์โทรของชิเหยาให้กับซูจิ้ง เพื่อจะได้โทรหากันได้โดยตรง
เมื่อเขาได้เบอร์มาแล้วเขาก็ได้รีบโทรไปทันทีเพื่อไม่ให้คลาดกัน แต่กลายเป็นว่าเมื่อโทรไปแล้วกับไม่มีสัญญาณ ไม่ว่าจะโทรซ้ำกี่ครั้งก็ไม่มีสัญญาณอยู่ดี
ซูจิ้งเริ่มรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ต่อให้พวกเธอไปถึงที่ชายหาดแล้วที่นั่นยังไงก็มีสัญญาณแน่ๆ แถมเสาโทรศัพท์ก็ยังอยู่ตรงนั้นอีกด้วย
เขาได้รีบไปที่ชายหาดในทันที ที่นั่นถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่หนึ่งในเมืองฉิงหยุน
เขาได้ลองถามคนแถวนั้นดู ต้องขอบคุณความสวยของเชิงชิเหยาทำให้มีคนจำเธอได้อย่างฝังใจตั้งแต่แรกเห็น
จนในที่สุดเขาไปเจอร่องรอยว่าพวกเธอได้ไปเช่าเรือแล้วขับออกไปในทะเล ทำให้ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจมากนัก