บรรยากาศในจวนสงบสุขแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลใจ พระชายารู้สึกว่าสองสามวันมานี้ไม่มีเรื่องอะไรทำ กำลังคิดว่าจะเย็บเสื้อผ้าให้หลานตัวน้อยสองคนที่ยังไม่ลืมตาดูโลก เมื่อได้ยินคำของเมิ่งเชี่ยนโยวดังนั้น ดวงตาจึงเกิดประกายความตื่นเต้นขึ้นมา ถามว่า “ถึงเวลาแล้วหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมพยักหน้า “เหลือแค่ขั้นสุดท้ายแล้วเจ้าค่ะ ต้องการให้เสด็จแม่ออกโรงแล้ว”

 

 

“ได้” พระชายาตอบรับ วางเสื้อผ้าตัวน้อยในมือลง “ให้เป็นหน้าที่ของข้า มีข้าอยู่ตรงนี้ไม่มีเรื่องใดทำไม่ได้”

 

 

ดังนั้น เมื่อกัวเฟยควบม้ามาส่งเมิ่งซื่อ ภรรยาของเมิ่งต้าจิน และยังมีเมิ่งเย่ว์กับเซิ่งเอ๋อร์มาที่นี่นั้น ก็พบเข้ากับบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องกำลัง แอบๆ ซุบซิบคุยกันอยู่ โดยบังเอิญ

 

 

“พระชายารับสั่งแล้ว ว่าอีกชั่วยามหนึ่งจะหาคู่ให้แม่นางจูหลีสาวใช้ข้างกายของซื่อจื่อเฟย ให้ชายหนุ่มที่อายุเหมาะสมไปรวมตัวกันที่ลานหลังจวน ให้นางเลือกเอาตามใจ”

 

 

“นี่มันบุญหล่นทับโดยแท้เลย แม่นางจูหลีรูปลักษณ์ใช้ได้ ซ้ำยังมีวิชาต่อสู้ ทั้งยังเป็นคนข้างกายที่เก่งมากของซื่อจื่อเฟย ภายหน้าจะต้องก้าวหน้ามากเป็นแน่ ผู้ใดได้ครองคู่กับนางถือว่าโชคดีไปอีกแปดชาติเลยทีเดียว”

 

 

“ใครว่ามิใช่เล่า ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ระหว่างทางที่ข้ามา มีคนไปไม่น้อยเลยทีเดียว อีกครู่พวกเราก็ต้องรีบไป จะได้มิถูกแย่งชิงไปเสียก่อน”

 

 

“ใช่ ใช่ ใช่ พวกเรารีบไปกันเถิด แม้ว่าแม่นางจูหลีผู้นี้จะมิค่อยยิ้มสักเท่าใด ดูท่าทีจะเขาถึงยากยิ่งนัก แต่หากออกเรือนกันไปแล้ว อบรมสั่งสอนนางเสียหน่อย ดีไม่ดีนางจะเชื่อฟังเสียยิ่งกว่าหญิงทั่วไปเสียอีก”

 

 

เสียหัวเราะสมทบตามมา

 

 

สีหน้ากัวเฟยเคร่งขรึม แผ่เอาความรู้สึกดุร้ายออกมา

 

 

คนที่กำลังคุยกันอยู่ราวกับว่ารู้สึกได้ถึงไออำมหิตของเขา มองไปทางเขาด้วยความหวาดกลัว หลบถอยไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

 

 

ไออำมหิตของกัวเฟยแพร่อออกไป หน้าขรึมไม่พูดไม่จา ครู่ใหญ่ ราวกับว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เดินก้าวใหญ่ไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

ชิงหลวนและจูหลีเห็นเขาพร้อมกัน จูหลีเม้มปากไม่พูดไม่จา ชิงหลวนรู้ดีว่าเขาต้องการจะทำอะไร จึงได้มองมาด้วยความยินดี

 

 

กัวเฟยเดินมาหาจูหลี ยื่นมือขวาที่เหลืออยู่ข้างเดียวของเขาไปจับมือของนางเอาไว้ ขณะที่นางกำลังอึ้งอยู่นั้นเขาจ้องตานาง ถามว่า “หากเจ้าไม่รังเกียจที่ข้าพิการ อย่างนั้นก็ขอให้เจ้าไปขอร้องนายหญิงกับข้า”

 

 

จูหลีอึ้งไป จากนั้นก็มีน้ำตาไหลออกมา พยักหน้าด้วยวามดีใจ ตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก

 

 

กัวเฟยปวดใจ ปล่อยมือจากนาง เช็ดน้ำตาให้นางอย่างทุลักทุเล ยกแขนเสื้ออันว่างเปล่าของตนเองขึ้นแล้วพูดว่า “ดูสิ เรื่องง่ายๆ เพียงนี้ข้าก็ยังทำให้ดีไม่ได้ เจ้าต้องคิดให้ดีๆ หากไปขอร้องนายท่านแล้ว เจ้าก็ไม่มีโอกาสจะเดินกลับหลังอีกแล้ว”

 

 

น้ำตาของจูหลีไหลออกมามากกว่าเดิม พูดทั้งน้ำตาว่า “ข้าไม่ต้องการโอกาสแก้ตัว หากเจ้าทำไม่ได้ อย่างนั้นต่อไปข้าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว”

 

 

กัวเฟยเองก็เริ่มตาแดง ลูบหัวนาง พูดว่า “เด็กโง่!”

 

 

จูหลีหัวเราะทั้งน้ำตา

 

 

ชิงหลวนเองก็เริ่มตาแดง หันหลัง รายงานต่อคนด้านในห้องว่า “นายหญิง กัวเฟยมีธุระจะขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่ในห้องมองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ “ให้เขาเข้ามาเถิด”

 

 

กัวเฟยจูงมือจูหลีเดินเข้ามาด้านใน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำสีหน้าตกใจ เบิกตาโพลง ชี้ไปที่มือที่จับจูงกันของทั้งสอง พูดติดอ่าง “เจ้า พวกเจ้า พวกเจ้า…”

 

 

ทั้งสองคุกเข่าลงต่อหน้านางและหวงฝู่อี้เซวียน กัวเฟยปล่อยมือจูหลี คำนับให้เมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง ข้าน้อยหวังจะสู่ขอจูหลีมาเป็นภรรยา ขอให้ท่านตอบรับด้วยเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจยิ่งกว่าเดิม “กัวเฟย เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา”

 

 

“ทราบดีขอรับ”

 

 

“เจ้าไม่รู้!” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงแหลม “จูหลีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น เจ้าเล่า เจ้าอายุเท่าใด เจ้าอายุเท่าใด เจ้าอายุเท่าใดกันแล้ว” ถามเขาติดๆ กัน เพื่อเพิ่มความรู้สึกไม่พอใจ “อายุของเจ้ามากพอจะเป็นพ่อของนางได้แล้ว เจ้ายังมีหน้ามาสู่ขอนางกับข้าอีกหรือ”

 

 

ใบหน้าของกัวเฟยแดงก่ำ แต่สีหน้าไม่เปลี่ยน ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด “นายหญิง ข้าน้อยรู้ดีว่าไม่คู่ควรกับจูหลี ข้าน้อยเองก็เคยคิดยอมถอย กระทั่งเคยคิดจะปล่อยนางไป แต่ไม่ได้ เช้าวันนี้ข้าน้อยได้ยินคนในจวนคุยกันว่าจะหาคู่ให้นาง ข้าน้อยรู้ได้ทันทีว่าข้าน้อยจะเสียนางไปไม่ได้ นายหญิงจะกล่าวโทษข้าน้อย จะทุบตีด่าทอก็แล้วแต่ ข้าน้อยไม่สนใจ ขอเพียงนายหญิงมอบจูหลีให้ข้า”

 

 

ในที่สุดชายคนนี้ก็ยอมเปิดใจพูดเสียที ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวมีความสุขยิ่งนัก แต่กลับแสดงออกว่าโกรธยิ่งกว่าเดิม ถามจูหลีด้วยเสียงโกรธว่า “เจ้าเล่า เจ้าเองจะยอมออกเรือนกับเขาหรือไม่”

 

 

จูหลีเองก็คำนับอย่างตั้งใจ เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “นายหญิง ข้ายินดีเจ้าค่ะ ชาตินี้ข้าจะไม่ออกเรือนกับใครนอกจากเขา”

 

 

สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเคร่งขรึมลง ดูท่าทีจะระงับน้ำเสียงโกรธไว้ไม่ได้แล้ว พูดเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าตัดสินใจแล้วหรือ”

 

 

กัวเฟยและจูหลีมองตากัน จากนั้นก็ก้มลงคำนับ “ตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ ขอร้องนายหญิงได้โปรดตอบรับด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

 

กัวเฟยและจูหลีอึ้งไป

 

 

ชิงหลวนที่อยู่ด้านนอกแปลกใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพร้อมส่ายหน้า

 

 

หัวเราะจนน้ำตาแทบไหล เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้หยุดหัวเราะ พูดว่า “คืนวันนั้น เรื่องที่พวกเจ้าคุยกันในบ้าน ข้าได้ยินหมดแล้ว ในใจข้ารีบร้อน จึงได้ไปตกลงกับเสด็จแม่ คิดแผนการณ์นี้ออกมา ครานี้ดีแล้ว กัวเฟยยอมเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตนเองเสียที เจ้าทั้งสองรักใคร่ลงเอยกัน ข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก รอให้พี่เมิ่งเหรินสอบจอหงวนเรียบร้อยแล้ว ข้าจะจัดการเรื่องงานแต่งของพวกเจ้าและชิงหลวน”

 

 

กัวเฟยและจูหลีมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความเหลือเชื่อ

 

 

เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของทั้งสอง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เป็นอย่างไรกัน ดีใจจนตกตะลึงไปเลยหรือ หรือว่าพวกเจ้าไม่เต็มใจจะแต่งงานกัน”

 

 

จูหลีรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ ไม่ ไม่เจ้าค่ะ”

 

 

กัวเฟยกลับพยักหน้าด้วยความดีใจ “เต็มใจขอรับ เต็มใจ”

 

 

ครานี้เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นกว่าเดิม “ตกลงพวกเจ้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจกันแน่”

 

 

ครานี้ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน ตอบพร้อมกันว่า “ข้าน้อยเต็มใจเจ้าค่ะ/ขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้ม “ดีแล้ว อีกครู่ข้าจะไปหาท่านแม่ทั้งสอง ตกลงเรื่องการหมั้นหมายของพวกเจ้าเสียก่อน พวกเจ้ารอฟังข่าวเถิด”

 

 

กัวเฟยและจูหลีดีใจยิ่งนัก กล่าวขอบคุณอีกครั้ง ยืนขึ้น เดินออกไปด้านนอก

 

 

ชิงหลวนเองก็ดีใจมากกว่าปกติ แสดงความยินดีกับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

 

 

สีหน้าของกัวเฟยเต็มไปด้วยความตื้นตัน “แม่นางชิงหลวน ขอบใจที่เจ้าเตือนสติข้า”

 

 

ชิงหลวนโบกมือ “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก จูหลีกับข้าโตมาด้วยกัน รักกันราวพี่น้องท้องเดียวกัน ข้าทำเพื่อนาง”

 

 

ครั้งแรกในชีวิต ที่จูหลีเปิดเผยความรู้สึกของตน นางยื่นมือออกมา โอบชิงหลวนเอาไว้ ขอบคุณนางจากใจจริง “ชิงหลวน ขอบใจเจ้ามากนะ”

 

 

ชิงหลวนตบหลังนางเบาๆ

 

 

ในห้องเมิ่งเชี่ยนโยวมีความสุขจนยิ้มไม่หุบปาก หวงฝู่อี้เซวียนมองนาง ยิ้มและถามว่า “สนุกหรือไม่”

 

 

นางพยักหน้าด้วยท่าทีราวกับเด็กน้อย เบิกตาโต ตอบว่า “สนุก รอถึงตาของอวี้เอ๋อร์ยิ่งจะสนุกกว่านี้”

 

 

นางมีท่าทีราวกับเด็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนลูบหัวของนางด้วยความเอ็นดู มองนางด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยี

 

 

พระชายาฉีได้ยินคำที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกแล้ว ก็ดีใจจนเผลอตบเข่าตัวเองอย่างลืมตัว แต่เมิ่งซื่อกลับตะลึงเล็กน้อย แต่ว่าไม่นานก็ยิ้มออกมาได้ “นี่เป็นเรื่องดี จูหลีและกัวเฟยต่างเคยสละชีวิตเพื่อช่วยเจ้า รอจนพวกเขาแต่งงานกัน เจ้าจะต้องมอบของกำนัลให้พวกเขาเยอะๆ ด้วยล่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพยักหน้า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ เสด็จแม่”

 

 

ภรรยาของเมิ่งต้าจินไม่ค่อยรู้จักจูหลีเท่าใด แต่รู้จักกับกัวเฟย จึงได้ยิ้มและพูดว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ ด้วย หากคนรอบตัวของเราต่างมีโชคดีเช่นนี้ก็ดีสินะ”

 

 

คนพูดไม่คิดอะไร แต่คนฟังคิด สิ้นคำของนาง ในหัวของเมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกอะไรออกมาได้ นางรีบหันหลัง พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “อี้เซวียน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบด้วยเวียงอ่อนโยน ถามว่า “คิดอะไรสนุกๆ ออกอีกแล้วหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหลายที “อื้ม ข้าอยากให้เจ้าช่วย”

 

 

“เรื่องอะไรหรือ”

 

 

“ข้าอยาก…” เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะพูด ด้านนอกก็มีเสียงรายงานของหลิงหลงว่า “พระชายา แม่นางหลินแห่งจวนราชเลขาหลินมาขอพบเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายาฉีชะงักไป หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ผงะไปเช่นกัน จากนั้นก็ยิ้มออกมา ดูทีแม่นางหลินผู้นี้คงจะสิ้นไร้ไม้ตรอกเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้น หึหึ…นางมีเรื่องสนุกที่ต้องทำอีกแล้ว เมื่อดีใจ จึงได้ลืมคำที่จะพูดเมื่อครู่ พูดกับเมิ่งซื่อและภรรยาของเมิ่งต้าจินว่า “เสด็จแม่มีธุระ ท่านแม่กับท่านป้าพาเย่ว์เอ๋อร์กับเซิ่งเอ๋อร์ไปเรือนของข้าก่อนเถิด”

 

 

เมิ่งซื่อกับภรรยาของเมิ่งต้าจินยืนขึ้นพร้อมกัน หยิบงานเย็บปักถักร้อยของตนมาด้วย หลังจากร่ำลาพระชายาฉีแล้ว ก็เดินตามหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกจากเรือนพระชายาไป

 

 

เย่ว์เอ๋อร์โตแล้ว เข้าใจว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีครรภ์หมายถึงอะไร เมื่อออกมาจากเรือนของพระชายาแล้ว จึงเดินไปด้านหน้าอีกฝั่ง ค่อยๆ พยุงแขนของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอยางชาญฉลาดว่า “ท่านอา ค่อยๆ เดินขอรับ”

 

 

เซิ่งเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ ทำได้เพียงเลียนแบบ ร่างน้อยๆ เดินมาคั่นกลางระหว่างหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว จูงมืออีกข้างของเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นกัน พูดด้วยเสียงน้อยๆ ว่า “ท่านอา ค่อยๆ เดินนะขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับด้วยความดีใจ เดินกลับไปกับคนตัวน้อยสองคนด้วยความระมัดระวัง

 

 

เมิ่งซื่อและภรรยาของเมิ่งต้าจินเดินตามไปด้านหลัง มองทั้งสามคนด้วยหัวใจพองโต

 

 

แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะถูกเบียดไปอีกฝั่ง แต่บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

 

 

หลังจากทุกคนเดินออกไปหมดแล้ว พระชายาจึงรับสั่งหลิงหลงว่า “เชิญแม่นางหลินเข้ามาด้านใน”

 

 

หลิงหลงเดินออกไปยังหน้าเรือนด้วยตนเอง

 

 

หลินหันเยียนยืนรออยู่หน้าเรือนด้วยจิตใจไม่เป็นสุข คอยแต่ชะเง้อมองมาด้านใน

 

 

หลิงหลงเดินมาหานาง พูดอย่างมีมารยาทว่า “แม่นางหลิน เรียนเชิญเจ้าค่ะ”

 

 

สีหน้าของหลินหันเยียนดีใจขึ้นมา รีบจับชายกระโปรงเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา รีบเดินก้าวใหญ่ไปยังเรือนของพระยาชา

 

 

ตั้งแต่เด็กนางมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน นางคุ้นเคยกับทุกสิ่งในเรือนพระชายาเป็นอย่างดี ต่อให้หลับตาเดิน นางก็ยังคงสามารถเดินไปยังเรือนพระชายาได้ เมื่อเห็นบรรยากาศที่คุ้นเคยในจวน ก็หวนให้นึกถึงวันเวลาที่นางและหวงฝู่อวี้ได้เล่นด้วยกันอย่างมีความสุข ใจของหลินหันเยียนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา กรอบตาเริ่มแดงขึ้น

 

 

พระชายาไม่ได้ออกมาต้อนรับนางอย่างเคย ใจของหลินหันเยียนก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อเดินเข้าไปด้านในตามหลิงหลง ทำความเคารพตามพิธีแล้วนั้นก็กล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์เสียมารยาทมารบกวนพระชายา ขอพระชายาได้โปรดอภัยด้วย”

 

 

พระชายายิ้ม กวักมือเรียกนางไปหา จับมือของนางพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้นี่ จะเกรงใจข้าไปใย ข้าเองคิดว่าหลังจากที่เจ้าถอนหมั้นจากหวงฝู่อี้เซวียนไปแล้ว จะไม่มาพบข้าอีกตลอดไปเสียอีก”

 

 

หลินหันเยียนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไหลรินออกมาทันที

 

 

พระชายาตกใจ “เป็นอะไรไปเจ้า เยียนเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นหรือ”

 

 

หลินหันเยียนคุกเข่าลงต่อหน้าพระชายา “พระชายา เยียนเอ๋อร์มีเรื่องจะขอร้องพระชายาเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายาตกใจยิ่งกว่าเดิม โน้มตัวลง หวังจะพยุงนาง “เจ้าลุกขึ้นมาก่อน มีเรื่องอะไรว่ามาตรงๆ เถิด”

 

 

หลินหันเยียนไม่ขยับ เงยหน้าขอร้องเขา “แม้ว่าคำนี้จะดูหน้าไม่อาย ดูผิดธรรมเนียมของผู้หญิง แต่ข้ายอมหน้าด้านมาของร้องท่าน ท่านได้โปรดช่วยพูดกับพี่อวี้ว่าข้าอยากออกเรือนกับเขา”

 

 

พระชายาตกใจจนต้องปล่อยมือลง เบิกตาโพลง ถามอย่างเหลือเชื่อว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”

 

 

หลินหันเยียนพูดซ้ำเดิม

 

 

พระชานยาทรุดลงกับเบาะนิ่ม ชะงักไปครู่หนึ่งจึงได้พูดออกมาว่า “เด็กน้อย เจ้ามาสายไปเสียแล้วล่ะ ข้าได้ทำการหมั้นหมายให้อวี้เอ๋อร์ไปแล้ว อีกสองสามวันก็คงจะมาทำการหมั้นหมายกันแล้ว”

 

 

สีหน้าของหลินหันเยียนซีดเผือด พูดด้วยความร้อนใจว่า “ข้าทราบแล้ว ข้าจึงได้รีบแบกหน้ามาขอร้องท่าน ยังดีที่พวกเขายังไม่ได้หมั้นหมายกัน ทั้งหมดยังทันนะเจ้าคะ”

 

 

พระชายารู้สึกค่อนข้างลำบากใจ “แต่ว่านี่เป็นเพียงความต้องการของเจ้าเพียงฝ่ายเดียว อวี้เอ๋อร์จะคิดอย่างไรยังไม่รู้ได้ อีกอย่าง เรื่องใหญ่เช่นนี้ จะมาทำเล่นๆ ไม่ได้ พวกเราสองฝ่ายตกลงวันหมั้นหมายกันแล้ว จวนอ๋องของเราจะมาเปลี่ยนแปลงตามใจชอบได้อย่างไรกัน”

 

 

เมื่อเห็นว่าพระชายาไม่ยอมใจอ่อน หลินหันเยียนจึงหมดหวัง คลานเข่ามาด้านหน้า คว้ามือของพระชายาเอาไว้ “พระชายาเจ้าขา ท่านเอ็นดูข้ามาตั้งแต่เด็ก เห็นข้าเป็นลูกสาวคนหนึ่ง ครานี้ขอร้องท่านได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด”

 

 

พระชายาถอนหายใจออกมาเบาๆ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเองก็รู้ดีว่าเรื่องที่เจ้าและอี้เซวียนถอนหมั้นกันนั้น จวนอ๋องของเราก็เข้าหน้าไม่ติดกับจวนราชเลขาของเจ้า แม่ของเจ้าก็มีท่าทีห่างเหินต่อข้า ต่อให้ข้ายอมถอยก้าวหนึ่ง ยอมรับข้อตกลงของเจ้า แต่แม่เจ้าจะยอมหรือ”