ชิงหลวนอึ้งไป ไม่รู้จะบอกความรู้สึกของตนเองเช่นไร
ตั้งแต่รู้ว่านางยอมแต่งกับตนแล้วนั้น เหวินซงก็รู้สึกมีความสุขมาตลอด แต่ตอนนี้เห็นท่าทางของนาง ความรู้สึกของเหวินซงก็เศร้าลงทันที น้ำเสียงก็กลับมาเรียบสงบดังเดิม เม้มปาก พูดว่า “หากเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็ไม่บังคับเจ้า ข้าจะไปบอกนายหญิงท่าน”
“เจ้าไม่เต็มใจขอข้าอย่างนั้นหรือ” ชิงหลวนกล่าว แต่กลับถามคำถามที่ทำให้เหวินซงอึ้งไป
“ข้าเต็มใจอยู่แล้ว” เหวินซงรีบตอบ
“ข้าเองก็ยินดีแต่งกับเจ้า” ในที่สุดใบหน้าของชิงหลวนก็เริ่มแดงขึ้นมาบ้าง น้ำเสียงก็แฝงไปด้วยความเขินอาย
เหวินซงดีใจยิ่งนัก เบิกตามองโพลงและย้ำว่า “เจ้าพูดจริงหรือ เจ้าเต็มใจจะแต่งงานกับข้า?”
ชิงหลวนพยักหน้า น้ำเสียงมั่นใจ “อื้อ ข้าเต็มใจ”
“เจ้า…เจ้า…ข้าคิดว่า…” เหวินซงดีใจจนพูดไม่ออก
ชิงหลวนเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าไม่ต้องตระหนกไป หากข้าไม่เต็มใจ ก็ไม่มีใครมาบังคับข้าได้ แม้ว่าพวกเราจะได้สัมผัสใกล้ชิดกันน้อยครั้ง แต่ข้ามั่นใจว่าต่อจากนี้เจ้าจะดูแลข้าอย่างดี”
เหวินซงพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ “เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนที่ข้ารัก ข้าจะดูแลเจ้าไปตลอดชีวิตของข้า”
หน้าของชิงหลวนแดงขึ้นมา พูดว่า “นายหญิงรอให้ข้าไปรับใช้อยู่ ข้าต้องรีบกลับแล้ว”
“ให้ข้าไปส่งเจ้าเถอะ” เหวินซงรีบพูด
ชิงหลวนไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งสองเดินออกจากประตูไป
มองดูชิงหลวนขึ้นม้าอย่างรวดเร็ว และควบม้าไปไกล ในใจเหวินซงมีความสุขยิ่ง เดินกลับห้องด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับไปครึ่งชั่วยามจึงได้ตื่นขึ้น ลืมตาขึ้น เห็นหวงฝู่อี้เซวียนมองตนด้วยสายตาอ่อนโยน ในใจก็มีความสุขขึ้นมา มุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขา และมอบริมฝีปากน้อยๆ ของตนให้เขา
ตั้งแต่วันคืนส่งตัวเข้าหอแล้วนั้น หวงฝู่อี้เซวียนกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับลูกในท้อง จึงได้อดกลั้นใจตัวเองมาตลอด ไม่เคยได้ปล่อยกายทำตามใจ กลัวว่าจะรั้งแรงไว้ไม่อยู่ แต่ท่าทางรุกคืบของเมิ่งเชี่ยนโยว นำพาความต้องการที่เขาพยายามข่มไว้นานออกมา เขาจูบตอบนาง จากนั้นก็ถามด้วยเสียงพร่าว่า “ได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับด้วยรอยยิ้มยั่วยวน หวงฝู่อี้เซวียนดีใจมาก แต่เมื่อจะเริ่มขึ้นตอนต่อไปนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาไว้ “เร็วที่สุดก็อีกสามเดือนต่อจากนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดลง เงยหน้า มองหน้านางด้วยสายตาดุร้าย กัดฟันพูดว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงยั่วข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะด้วยอย่างมีความสุข เงยหน้าขึ้น จูบลงบนริมฝีปากของเขา พูดอย่างได้ใจว่า “ข้ายั่วโมโหเจ้า แล้วเจ้ามีปัญญาลงโทษข้าอย่างนั้นหรือ”
มองใบหน้างามที่กำลังยิ้มแย้มอยู่ ฟังเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของนาง หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าอย่างเหลืออด ขยับกายออกห่างจากตัวนาง ดุนางว่า “เจ้ารอก่อนเถิด ดูว่าต่อไปข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นกว่าเดิม
หวงฝู่อวี้ที่ทีแรกจะเข้าไปกล่าวทักทายทั้งสองในเรือน ได้ยินเสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงหยุดฝีเท้าลง คิดเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปยังห้องของตน รอจนอาหารเย็นเสร็จทำเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เดินตามกลิ่นหอมออกมา
อาศัยช่วงเวลาอาหาร นำเรื่องที่ตนไปตรวจตราที่นามารายงานให้ทั้งสองได้ฟังว่า “สองสามวันมานี้ข้าได้ตรวจตราร้านรวงและที่นาจนหมดแล้ว โดยรวมถือว่าดี ไม่มีปัญหาอะไรมา”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เรื่องพวกนี้เจ้าจัดการได้เลย รอจนเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วบอกข้าอีกที ข้าจะได้นำเรื่องร้านรวงและที่นาของตำหนักแบ่งให้เจ้าได้ง่าย”
แค่ส่วนที่เฮ่อจางเหลือเอาไว้ให้ก็ทำเอาหวงฝู่อวี้ต้องเดินสายขาแทบขาด พูดจบปากแห้งแล้ว หากมอบส่วนของตำหนักให้เขาดูและอีก หวงฝู่อวี้ไม่กล้าคิดถึงภาพนั้นเลย
“พี่ใหญ่” หวงฝู่อวี้รีบบ่ายเบี่ยง “พี่สะใภ้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ท่านเองก็คงดูแลเรื่องเหล่านี้ได้ หากมอบให้ข้าทั้งหมด ไม่กลัวว่าข้าจะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดแล้วหนีไปหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาเล็กน้อย คีบอาหารของโปรดของเมิ่งเชี่ยนโยวให้นาง จากนั้นก็พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ไม่ต้องหนีไปหรอก เจ้าอยากไปที่ใดข้าจะให้คนไปส่งเจ้า รับรองว่าเจ้าจะอยู่สุขสบายจนไม่อยากกลับมาอีกเลยชั่วชีวิต”
คำพูดเช่นนี้เหตุใดฟังแล้วจึงรู้สึกน่ากลัวยิ่งนัก หัวใจของหวงฝู่อวี้สั่นเล็กน้อย ไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบเอาหัวมุดลงไปในถ้วยของตนเอง
“ข้าได้ยินมาว่า คุณชายที่แนะนำให้แม่นางหลินวันนี้มาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วัน แม่นางหลินก็คงตกลงเรื่องงานแต่งแล้ว เจ้าคิดให้ดีเถิด ว่าจะยอมแพ้จริงๆ หรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยความเย็นชา
หวงฝู่อวี้ชะงักไป มือกำตะเกียบไว้แน่น แน่นเสียจนเส้นเลือดใหญ่บนมือแทบระเบิดอยู่แล้วก็ยังไม่รู้ตัว จงใจทำน้ำเสียงไม่สนใจ พูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าเคยพูดหลายทีแล้วว่าเรื่องของนางไม่เกี่ยวกับข้า”
“อวี้เอ๋อร์” เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเขา
หวงฝู่อวี้เงยหน้ามองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ตะเกียบในมือของเขา พูดด้วยความ หวังดี ว่า “เจ้าจะหักตะเกียบอยู่แล้ว”
แปะ ตะเกียบในมือของหวงฝู่อวี้ร่วงลงโต๊ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมองไปทางเขาพร้อมกัน
เขารีบหยิบขึ้นมา เผยรอยยิ้มเขินอายออกมา รีบเปลี่ยนหัวข้อว่า “อาหารมื้อเย็นวันนี้อร่อยเหลือเกิน พี่ใหญ่ พี่สะใภ้กินเยอะๆ นะขอรับ ข้าหิวแล้ว ข้าไม่เกรงใจล่ะนะ” พูดจบ เพื่อพิสูจน์ว่าตนหิวจริงๆ จึงคีบอาหารคำใหญ่เข้าปาก กินเข้าไปอย่างเต็มปากเต็มคำ
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ล้วงความลับเขาต่อ ก้มหน้าลงกินข้าวพร้อมกัน
รอยยิ้มที่ถูกปั้นขึ้นมาของหวงฝู่อวี้หุบลง กินช้าลงทันที รู้สึกว่าอาหารในปากของตนขมเสียยิ่งกว่ามะระเสียอีก
หวงฝู่อวี้ที่วันปกติจะพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด วันนี้เงียบไม่พูดจา บนโต๊ะจึงได้เงียบไปโดยปริยาย หลังจากที่ทั้งสามกินข้าวอย่างเงียบเชียบแล้วนั้น หวงฝู่อวี้ก็รีบกลับเรือนของตนเองไปทันที นั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง ทอดสายตาเหม่อมองไปบนพื้น ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามได้ จึงได้ตะโกนสั่งเสียงดังว่า “ใครก็ได้มานี่ที!”
เฮ่ออีปรากฎตัวทันที คำนับ “คุณชาย”
“ไปสืบมาที ว่าคุณชายที่แม่นางหลินจะแต่งงานด้วยเป็นคนเช่นไร”
เฮ่ออีรับคำขณะที่กำลังจะออกไปนั้น เสียงของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ช่างเถิด ไม่ต้องไปแล้ว”
เฮ่ออีตอบรับ เตรียมซ่อนตัว หวงฝู่อวี้ก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไปดีกว่า”
เฮ่ออีตอบรับ แต่ไม่ได้ขยับตัว ย้ำอีกครั้งว่า “คุณชายรอง ข้าไปดีหรือไม่ไป”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ตอบรับในทันที ขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไปเถิด”
ครั้งนี้เฮ่ออีไม่ได้ตอบรับ แต่หายวับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ให้หวงฝู่อวี้มีโอกาสเปลี่ยนใจ
ณ จวนราชเลขาหลิน
วันนี้ตอนบ่าย ได้ยินว่าคุณชายที่ถูกโจรปล้นแล้วหายไประหว่างทางได้เดินทางมาถึงที่จวนราชเลขาหลินแล้ว สองสามีภรรยาหลินดีใจยิ่ง สั่งให้คนไปเรียกตัวหลินหันเยียนออกมาพบ
เมื่อหลินหันเยียนได้ยินดังนั้น สีหน้าซีดเผือด ทรุดลงบนเก้าอี้ จ้องไปด้านหน้าอย่างใจลอย
หงเอ๋อร์ตกใจแทบแย่ เรียกนางหลายที “คุณหนู คุณหนู”
หลินหันเยียนจึงได้สติกลับมา จับมือของหงเอ๋อร์เอาไว้ ถามอย่างใจร้อนว่า “หงเอ๋อร์ ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากออกเรือนกับเขา ข้าไม่อยากแต่งกับเขา”
มือของหงเอ๋อร์ถูกบีบจนเจ็บ แต่ไม่มีเวลาสนใจแล้ว รีบปลอบใจว่า “คุณหนู ใจเย็นลงก่อน พวกเราหาทางออกได้แน่”
มือของหลินหันเยียนบีบแน่นกว่าเดิม “จะมีวิธีอะไรได้ พี่อวี้ไม่ยอมยกโทษให้ข้า แอบซ่อนไม่ยอมมาพบข้า คุณชายผู้นี้ยังมาหาถึงที่ ไม่นาน ท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องบังคับให้ข้าแต่งงานกับเขาเป็นแน่”
ด้วยความใจร้อน หงเอ๋อร์คิดได้วิธีหนึ่ง “คุณหนู ท่านรับท่านแม่ทัพเป็นพ่อบุญธรรมมิใช่หรือ ท่านไปขอร้องให้เขาช่วยพูดให้ได้ พูดให้คุณหนูและคุณชายรองคืนดีกัน”
ดวงตาของหลินหันเยียนเป็นประกายขึ้นมา จากนั้นก็หม่นหมองลงไปเช่นเดิม “ตอนนั้นท่านแม่ทัพต้องการให้ข้าและซื่อจื่อยกเลิกการหมั้นหมาย จึงได้ยอมรับให้ข้าเป็นลูกบุญธรรมอย่างเสียไม่ได้ เกรงว่าในใจคงเต็มไปด้วยความแค้น แล้วจะช่วยข้าได้อย่างไร”
“เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเป็นคนใจกว้าง แล้วจะมีคิดมากกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ อีกอย่าง ไม่ว่าจะด้วยเป้าหมายอย่างไร เขาก็ถือเป็นพ่อบุญธรรมของท่าน ท่านขอร้องเขา เขาไม่มีทางปฎิเสธเป็นแน่” หงเอ๋อร์ปลอบ
หลินหันเยียนส่ายหน้า “เรื่องอื่นเขาอาจจะยอมช่วย แต่เรื่องแต่งงานเรื่องใหญ่เช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่บังเกิดเกล้า เกรงว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ ข้าไม่ไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนั้นดีกว่า”
คำยุของหงเอ๋อร์ไม่เป็นผล นางจึงจนปัญญา “คุณหนู คนส่งข่าวยังอยู่หน้าประตูนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปบอกนาง บอกว่าข้าไม่สบาย ไม่ออกไปดีกว่า”
หงเอ๋อร์นำคำไปบอก เมื่อหลินฮูหยินได้ยินคำของสาวใช้ จึงได้แต่ยิ้มเพราะทำตัวไม่ถูก พูดว่า “วันก่อนเยียนเอ๋อร์เป็นหวัด สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าใด”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องรับรองแขกยิ้มเล็กน้อย ตอบอย่างใจเย็นว่า “ท่านป้าขอรับ ให้น้องเยียนเอ๋อร์พักผ่อนเถิด ยังมีเวลาอีกมาก ยังมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกมาก”
เห็นท่าทางสง่าสุขุมของเขา กิริยาอ่อนโยน การพูดการจาไม่เหมือนคนอื่น มีลักษณะของผู้ดีจริงๆ สองสามีภรรยาดีใจยิ่งนัก อุ่นใจกับท่าทีของเขามากขึ้น ยิ้มและพูดว่า “เจ้าเดินทางมาหลายวันท่าทางจะเหนื่อยแย่ ไปพักผ่อนก่อนเถิด ดึกๆ ค่อยมาเล่าให้พวกเราฟังว่าระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
คุณชายไม่ได้ปฏิเสธ กล่าวขอบคุณ เดินตามบ่าวไพร่ไปยังที่พักที่ตระเตรียมเอาไว้ได้
สองสามีภรรยามองแผ่นหลังของเขา ยิ่งมั่นใจในคำนั้น แม่ยายยิ่งมองลูกเขยก็ยิ่งชอบใจ รอยยิ้มที่มุมปากยิ้มไม่หยุด ยิ้มและพูดว่า “โชคดีของเยียนเอ๋อร์กำลังจะมาถึงแล้ว เห็นท่าทีกิริยาของเขา ว่าเป็นคนที่เชื่อถือได้ มีรายชื่อติดในรายการสอบจอหงวนในเดือนแปดคงไม่มีปัญหาแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าไปจัดการสักหน่อย หางานดีๆ ให้เขาในเมืองหลวง ถึงตอนนั้น เยียนเอ๋อร์ของพวกเราก็สามารถอยู่ข้างกายพวกเราแล้ว”
ท่านราชเลขาหลินพูดพลางลูบเคราของตัวเอง “อื้ม ข้าเองก็มีแผนเช่นนี้เช่นกัน ข้าเตรียมตัวไว้นานแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
หลินฮูหยินไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการงาน จึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม จึงยิ้มและพูดว่า “อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว หากเยียนอ๋อร์เป็นฝั่งฝาไปแล้ว ข้าจะได้ยกภูเขาออกจากอกได้เสียที จากวันนี้ไป เมื่อพบหน้ากับฮูหยินในเมืองหลวง ข้าก็ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น ไม่ต้องถูกเขาติฉินนินทาเอาได้”
ราชเลขาหลินก็พยักหน้าพร้อมหัวเราะ
สองสามีภรรยาฝันหวานกันอยู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลินหันเยียนไม่ได้มีความต้องการจะแต่งงานกับเขาเลย
การทำงานของเฮ่ออีรวดเร็ว ผ่านไปชั่วยามเดียว ก็สามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็กลับมารายงานหวงฝู่อวี้อย่างละเอียด
ในใจของหวงฝู่อวี้เกิดความรู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นมา ใจหนึ่งคิดว่าดีแล้วที่หลินหันเยียนจะได้คู่ครองที่ดี แต่อีกใจกลับคิดว่านางจะแต่งงานกับผู้อื่น เขาเสียใจยิ่งนัก
หลังจากเฮ่ออีรายงานเรียบร้อยแล้ว ก็มองสีหน้าเคร่งเครียดของหวงฝู่อวี้ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ครู่ใหญ่ หวงฝู่อวี้จึงได้โบกมือ เฮ่ออีโล่งใจ จากนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตาเขา
คืนนั้น หวงฝู่อวี้นอนพลิกไปพลิกมา นอนไม่หลับทั้งคืน และเมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนกลางวันจนเต็มอิ่มแล้วก็ไม่มีความง่วงเช่นเดียวกัน นอนอยู่ในอ้อมกอดของหวงฝู่อี้เซวียน พูดอย่างมีความสุขว่า “ตอนนี้เหลือเพียงเรื่องคู่ของเหวินเหลียนเท่านั้นที่ยังไม่ลงตัว เจ้าว่าให้นางคู่กับใครเหมาะที่สุด”
ฐานะของเหวินเหลียนค่อนข้างพิเศษ ครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีเสียหน่อยก็จะรังเกียจสถานะของนาง หากด้อยลงมาอีกนิดก็กลัวว่าจะไม่คู่ควรกับนาง อีกอย่าง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ค่อยรู้จักกับครอบครัวธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงท่านอ๋องฉีและพระชายาเลย
คิดไปคิดมา ทั้งสองก็นึกหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ หวงฝู่อี้เซวียนเกรงว่านางจะเครียดเกินไป มีผลกับลูกในท้อง จึงได้ปรามว่า “รีบนอนเถิด วันพรุ่งตื่นมาค่อยคิดใหม่”
ไม่มีคนที่เหมาะสมจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ท้อใจ หลับตาลงอย่างว่าง่าย ไม่นาน นางก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเต็มตัว
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้าด้วยความหน่าย ตั้งแต่ตั้งท้อง นิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร่าเริงขึ้น ไม่มีท่าที่สงบเสงี่ยมเลย ไม่รู้ว่าจะมีผลกับลูกในท้องหรือไม่ คิดถึงตรงนี้ เขาก็คิดว่าน่าขันนัก ลูกเป็นของเขาทั้งสองคน อย่างไรก็ต้องมีนิสัยเหมือนเขาทั้งสอง ไม่มีทางจะไม่ร่าเริงได้หรอก
คิดไป คิดมา วางมือไว้บนท้องของเมิ่งเชี่ยนโยว ลูบท้องแบนราบของนางและหลับไปอย่างพอใจ
วันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นมาสายตามเคย หลังจากกินข้าวต้มที่หวงฝู่อี้เซวียนทำให้นางแล้วนั้นก็มายังเรือนของพระชายากล่าวว่า “เสด็จแม่ ถึงเวลาต้องออกโรงแล้วเจ้าค่ะ”