ตอนที่ 148-2 ผลลัพธ์ที่อยู่เหนือความคาดหมาย

จำนนรักชายาตัวร้าย

“ทุกคนหลบเร็วเข้า!” สิ้นเสียงของเสิ่นถูปั๋วอี้ ฉับพลันหลุมดินก็เกิดเสียง ‘บึม’ ขึ้น อะไรบางอย่างพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินทะยานขึ้นไปบท้องฟ้า จนกระทั่งมองเห็นชัดเจนว่าสิ่งนั้นคืออะไรแล้ว หานจื่อก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ

 

 

“อ๋าว——บรู๋ว——”

 

 

“นายท่าน ข้าคิดอยู่แล้วว่านายท่านจะต้องรีบกลับมา”

 

 

“นายท่านจะต้องปกป้องแม่นางน้อยเอาไว้ได้!”

 

 

ที่กลางเวหา ซย่าโหวฉิงเทียนโอบเอวของอวี้เฟยเยียน คนทั้งสองลงสู่พื้นอย่างงดงาม ปลอดภัยดีทุกประการ

 

 

“น้องเขย!” ในที่สุดหัวใจของอวี้ซิงฉงที่เกือบจะทะลุออกมานอกอกก็เต้นเป็นปกติเสียที

 

 

“น้องพี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!”

 

 

อวี้ซิงฉงกาวมาด้านหน้า สำรวจเนื้อตัวอวี้เฟยเยียนโดยละเอียด

 

 

“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร” อวี้เฟยเยียนส่ายหน้าไปมา ใบหน้าของนางนางเต็มไปด้วยคราบฝุ่นดิน ราวกับแมวป่าตัวน้อยก็ไม่ปาน มีเพียงดวงตาทั้งสองของนางเท่านั้นที่ยังคงแววแสงสว่างสดใส มีชีวิตชีวาอยู่

 

 

“แม่นางน้อย เจ้าทำข้าเกือบหัวใจวายตายแล้วนะ!”

 

 

หานจื่อยักย้ายส่ายก้นแทรกตัวเข้าไปหาอวี้เฟยเยียนแทนที่อวี้ซิงฉง

 

 

เจ้าจับดูสิ หัวใจของข้ายังเต้น ‘ตุ๊บตุ๊บ’ เต้นระรัวอยู่เลย!

 

 

“หานจื่อ! ขอบใจเจ้ามากนะ!” อวี้เฟยเยียนโน้มตัวลง ขยี้หัวของหานจื่ออย่างแสนรัก

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราอยู่ใต้ดิน?”

 

 

“เฮอะ!” หานจื่ออวิ๋นเชิดหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

 

 

“ข้าและแม่นางน้อยใจสื่อถึงใจ! ดังนั้นข้าถึงได้รู้อย่างไรเล่า!”

 

 

หลังจากที่กระหยิ่มยิ้มย่องจนพอใจแล้ว หานจื่อจึงใช้หัวใหญ่ๆของมันดุนดันฝ่ามือของอวี้เฟยเยียนอย่างเอาใจ แล้วใช้จมูกสูดกลิ่นไอของนาง

 

 

มันกำลังตำหนิตัวเองที่ไม่ได้ปกป้องอวี้เฟยเยียนให้ดี จนนางต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้

 

 

“หานจื่อ เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าก็สบายดีนี่นา——”

 

 

อวี้เฟยเยียนกล่าวยังมิทันจบ จู่ๆสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป

 

 

“เสี่ยวอวี้ เจ้าเป็นอะไรไป?” เสิ่นถูเลี่ยที่เงียบงันไม่พูดไม่จามาโดยตลอดเห็นความผิดปกติของอวี้เฟยเยียน

 

 

“นางกำลังจะสำเร็จขั้น!”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนตอบคำถามแทนอวี้เฟยเยียน ว่าแล้วก็อุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นแนบอกพากลับเมืองเฮ่อทันที คนทั้งสองกลับมาถึงก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เมื่อประตูปิดลง ปัง และซย่าโหวฉิงเทียนก็วางอวี้เฟยเยียนลงบนเตียง ให้นางเข้าสู่สมาธิทันที

 

 

กว่าซย่าโหวงิเทียนจะออกมาจากห้องอีกครั้งเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายคล้อย

 

 

จวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ ความหวาดกลัวในใของซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังคงไม่จางหายไป

 

 

โชคดีที่เขาถอดดวงจิตของตนเองติดตามเอาไว้ข้างกายอวี้เฟยเยียนตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าสุ่ยเจ๋อซีสำเร็จขั้นเป็นเทพอาวุโส เขาจึงรีบดั้นด้นเดินทางกลับมาอย่างเร็วที่สุด จึงสามารถมาช่วยเหลือนางได้ทันเวลาเมื่อนางกำลังตกอยู่ในอันตราย

 

 

น่ากลัวเหลือเกิน!

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับบรรยายไม่ถูกถึงความรู้สึกของตน เมื่อตอนที่เขามาถึงแล้วเห็นสุ่ยเจ๋อซีกำลังระเบิดตัวเองโดยที่มีอวี้เฟยเยียนอยู่ในกำแพงแก้วนั้นได้นั้นว่าเป็นอย่างไร

 

 

วินาทีนั้น เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะตาย หากว่าอวี้เฟยเยียนเป็นอะไรไปละก็ เขาจะต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนกลายเป็นปีศาจเป็นแน่!

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ซึ้งในที่สุดว่าในหัวใจของเขาอวี้เฟยเยียนมีความสำคัญมากเพียงใด ซึ่งมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก

 

 

นางคือกุญแจที่กักขังเขาเอาไว้

 

 

นางอยู่เขาอยู่

 

 

นางตาย เขากลายเป็นปีศาจ

 

 

“น้องเขย ขอบคุณเจ้ามากนะ!” ตี้อู่เฮ่ออี้ที่รอคอยอยู่ด้านนอกห้องมาโดยตลอดเมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนออกมาจากห้อง ก็รีบก้าวออกไปขอบคุณเขาทันที

 

 

ขอบคุณ ที่เขาช่วยอวี้เฟยเยียนเอาไว้!

 

 

ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ แท้ที่จริงแล้วตอนที่เขาเข้าไปรับอวี้เฟยเยียนเอาไว้นั้น นางได้ใช้พลังของตนเองต้านพลังจากการระเบิดตัวเองของสุ่ยเจ๋อซีเอาไว้แล้ว

 

 

เพียงแต่ สภาพการณ์ในตอนนั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัวตื่นตระหนก ซย่าโหวฉิงเทียนจึงมิได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่นๆได้รู้

 

 

มิฉะนั้น ไม่แน่ว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป อาจจะนำความวุ่นวายมาสู่อวี้เฟยเยียนก็เป็นได้ ดังนั้นให้ทุกคนคิดว่าเขาคือผู้ที่ช่วยชีวิตอวี้เฟยเยียนเอาไว้นั่นแหละจะดีเสียกว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรการที่เขาสำเร็จเป็นปราชญ์ราชันย์นั้นก็สร้างศัตรูนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว เขาจึงไม่ถือสาหากศัตรูจะเพิ่มจำนวนขึ้นมาอีกสักหน่อย

 

 

“ข้าจะไปล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อย แมวน้อยกำลังจะสำเร็จขั้น พวกเจ้าอย่าเข้าไปรบกวนนาง”

 

 

ขณะที่ซย่าโหวฉิงเทียนเดินออกไปนั้น ย่างก้าวของเขาไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก เดี๋ยวก็ชนกระถางต้นไม้ เดี๋ยวก็ชนเก้าอี้ ท่าทางงุ่มง่ามน่าขำขันยิ่งนัก

 

 

มีเพียงผู้ที่เข้าใจเขาเท่านั้นถึงได้รู้ว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขาขวัญเสียไม่น้อยจริงๆ

 

 

‘หรือว่าผู้ที่สำเร็จเป็นปราชญ์ราชันย์คือเขา?’

 

 

‘ยังหนุ่มแน่นอยู่เลย!’

 

 

เสิ่นถูปั๋วอี้ตกตะลึงไม่น้อย

 

 

เมื่อคราวที่เขาสำเร็จเป็นปราชญ์ราชันย์นั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นราวห้าสิบกว่าปีที่แล้ว ในตอนนั้นเขาอายุสามสิบสอง

 

 

แต่ชายหนุ่มที่เห็นตรงหน้านี้มองดูแล้วอายุน่าจะเพียงยี่สิบต้นๆเท่านั้น…

 

 

‘สวรรค์! ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!’

 

 

“เสี่ยวเลี่ย ข้ามิได้กำลังฝันไปใช่ไหม!” เสินถูปั๋วอี้ขยี้ตาตนเองเบา

 

 

“บรรพชนเฒ่า เขาก็คือประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น! วรยุทธ์ของเขาล้ำเลิศยิ่งนัก!” เสิ่นถูเลี่ยมองตามหลังซย่าโหวฉิงเทียน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเจือเอาไว้ด้วยความนับถือ

 

 

‘ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ซย่าโหวฉิงเทียนก็สำเร็จปราชญ์ราชันย์เสียแล้ว’

 

 

‘ระหว่างเขากับซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งห่างชั้นกันมากขึ้นไปใหญ่ ความกดดันมหาศาลมาตกอยู่ที่เขา!’

 

 

เมื่อศึกใหญ่จบลง ประชาชนที่อพยพลี้ภัยออกจากเมืองเฮ่อจึงได้กลับเข้ามายังบ้านของตัวเองดังเดิม และเพราะว่าคราวนี้สงครามเกิดขึ้นที่นอกเมือง ดังนั้นภายในเมืองยังปกติดีทุกอย่างไม่มีอะไรเสียหาย

 

 

หลังจากที่ชาวบ้านได้ยินว่าผู้ที่สำเร็จปราชญ์ราชันย์คนใหม่คือประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นแล้ว ทุกคนต่างก็โห่ร้องขึ้นมาด้วยความยินดี

 

 

พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่า นายคนใหม่จะวรยุทธ์สูงส่งและเก่งกาจถึงเพียงนี้!

 

 

เขาคือปราชญ์ราชันย์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองอู๋โยวเชียวนะ!

 

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เมืองเฮ่อแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ตระกูลสุ่ยที่อยู่บนแผ่นดินของเมืองอู๋โยวมากว่าพันปีสูญสิ้น กลายเป็นเพียงประวัติศาตร์ไป ประชาชนชาวเมืองเฮ่อทั้งหลายต่างก็รู้สึกยินดีและภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งของนายท่านของพวกเขายิ่งนัก

 

 

แต่ทว่า ความคึกครื้นยินดีในเมืองเฮ่อ หาได้มีผลอะไรกับอารมณ์ความรู้สึกของซย่าโหวฉิงเทียนไม่ อวี้เฟยเยียนเก็บตัวมาสามวันแล้ว ยังไม่ออกมาเสียที

 

 

การเก็บตัวเข้าฌานของนางในครั้งนี้ ยาวนานเกินไป ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่รู้ว่าอวี้เฟยเยียนได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่จากการที่สุ่ยเจ๋อซีระเบิดตัวเอง หรือนางได้รับบาดเจ็บอะไรหรือเปล่า

 

 

จากความสงบนิ่งซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมเซียนเค่อพลอยเงียบสงัดลงไปด้วย บรรยากาศภายในที่เงียบงันไม่เข้ากับบรรยากาศด้านนอกที่ครึกครื้นสนุกสนานเอาเสียเลย

 

 

“หาตัวฆาตกรเจอหรือไม่?” เมื่อหลิวเซิ้งเดินเข้ามา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเอ่ยถามขึ้น

 

 

หลังจากสงครามสงบลง คนของซย่าโหวฉิงเทียนจึงไปจัดการเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุนอกเมือง หลิวเซิ้งก็ไปหาหลิวอ้าวกว๋อ ถึงได้พบว่าหลิวอ้าวกว๋อถูกใครบางคนปาดคอจนถึงแก่ความตายไปเสียแล้ว

 

 

อีกฝ่ายลงมืออย่างรวดเร็ว เร็วถึงขนาดว่าหลิวอ้าวกว๋อไม่ทันได้มีโอกาสตอบโต้ด้วยซ้ำ

 

 

การตายของหลิวอ้าวกว๋อทำให้หลิวเซิ้งเสียใจไม่น้อย

 

 

แต่ทว่า สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่านั่นก็คือใครกันแน่ที่มันลงมือเ**้ยมโหดกับคนแก่ที่สูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้วได้ลงคอ

 

 

อีกฝ่ายลงมือทางด้านหน้า และหลิวอ้าวกว๋อมิได้ร้องขอความช่วยเหลือ ไม่มีแม้กระทั่งการดิ้นรน เห็นได้ชัดว่าเมื่อเขาเห็นผู้ที่มา เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย นั่นก็หมายความว่าคนผู้นั้นรู้จักคุ้นเคยกับหลิวอ้าวกว๋อเป็นอย่างดี

 

 

‘ใครกันนะ?’

 

 

หลิวเซิ้งตามหาไปทั่วทั้งเมืองเฮ่อ แต่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัยเลยสักคน

 

 

หลิวอ้าวกว๋อตายไปพร้อมกับปริศนา หลิวเซิ้งจึงหาที่ๆทิวทัศน์สวยงามบนบนยอดเขาจัดการฝังร่างของหลิวอ้าวกว๋อ ให้เรียบร้อย ไม่ว่าอย่างไรหลิวอ้าวกว๋อก็เป็นห่วงเป็นใยรักเขาด้วยใจจริง นี่จึงเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำให้กับท่านปู่สาม