ตอนที่ 148-3 ผลลัพธ์ที่อยู่เหนือความคาดหมาย

จำนนรักชายาตัวร้าย

“ท่านปู่สาม ข้าจะตามหาฆาตกรแก้แค้นให้กับท่านให้จงได้!” หลิวเซิ้งรินสุราลงบนพื้นดินที่หน้าหลุมฝังศพของหลิวอ้าวกว๋อ

 

 

เทียบกับเมืองเฮ่อที่กำลังครึกครื้นมีความสุขแล้ว สกุลหลิว ณ เมืองเหมยกลับมีบรรยากาศที่ย่ำแย่อึมครึมยิ่งนัก

 

 

หลิวอวี๋เซิงหมดสติอยู่ที่นอกประตูเมืองเหมย จนกระทั่งมีคนไปพบเข้าแล้วส่งเขากลับมายังจวนสกุลหลิว

 

 

เมื่อเห็นสภาพของหลิวอวี๋เซิง เหวินหลานก็ร้องห่มร้องไห้น้ำตานองหน้าแล้วสั่งการให้คนหามร่างของหลิวอวี๋เซิงไปยังเรือนของหลิวปิงปิงทันที

 

 

เนื่องด้วยหลิวปิงปิงกังเก็บตัวฝึกวิชา ที่นอกเรือนของนางจึงมีคนคอยเฝ้าอยู่สองคน และพวกเขาสองคนไม่อนุญาตให้เหวินหลานเข้าไป

 

 

ในตอนนั้นหลิวอวี๋เซิงเหลือเพียงครึ่งลมหายใจแล้วเท่านั้น ทว่าไม่ว่าเหวินหลานจะขอร้องอ้อนวอนอย่างไร คนเฝ้าประตูทั้งสองก็ไม่ยอมให้นางเข้าไปอยู่ดี

 

 

ด้วยความร้อนใจ เหวินหลานจึงได้เรียกญาติและครอบครัวของนักรบสกุลหลิวที่เกิดเรื่องในครั้งนี้ออกมารวมตัวกันคุกเข่าที่หน้าเรือนบรรพชนเฒ่าพร้อมกัน

 

 

เมื่อนึกถึงสภาพการณ์ของสกุลหลิวในตอนนี้ เหวินหลานจึงร้องตะโกนเสียงดังขึ้น

 

 

“บรรพชนเฒ่า แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! สกุลหลิวเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่!”

 

 

“บรรพชนเฒ่า สกุลหลิวเกิดเรื่องแล้ว! บรรพชนเฒ่า! สกุลหลิวจบสิ้นแล้ว!”

 

 

ในขณะนั้นหลิวปิงปิงกำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญ ฉับพลันเสียงของเหวินหลานทำให้จิตใจของนางสับสนว้าวุ่น

 

 

‘เกิดเรื่องอะไรขึ้น?’

 

 

‘ใครกำลังเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอก?’

 

 

หลังจากที่ตั้งใจฟังโดยละเอียดแล้ว หลิวปิงปิงก็พอจะจับใจความได้ว่าเป็นเสียงของเหวินหลาน และเมื่อได้ยินเสียงนางกำลังร้องแรกแหกกระเชิงว่าสกุลหลิวจบสิ้นแล้วเข้า พลันสีหน้าของหลิวปิงปิงก็แดงก่ำ เลือดลมในร่างกายไหลย้อนกลับ พลังภายในแปรปรวนอย่างรวดเร็ว นางจึงรีบเร่งรวบรวมสมาธิสงบใจ

 

 

ทว่า ในเวลานี้สายไปเสียแล้ว จิตใจของหลิวปิงปิงถูกคำพูดของเหวินหลานก่อกวนจนจิตใจว้าวุ่นจนแทบคุมสติไม่อยู่

 

 

“อึก——” หลิวปิงปิงกระอักเลือดออกมา ทรุดนั่งลงบนพื้น

 

 

“แคกๆ…” นางรู้สึกแน่นในอก นี่เป็นอาการของการธาตุไฟเขาแทรก ว่าแล้วหลิวปิงปิงรีบนั่งขัดสมาธิ โคจรพลังวัตรฝืนกดพลังแห่งความชั่วร้ายจากอาการธาตุไฟเข้าแทรกนั้นเอาไว้

 

 

การฝืนโคจรพลังวัตรเช่นนี้ผลร้ายที่ตามมานั่นก็คือ หลิวปิงปิงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง คราวนี้เส้นผมสีดำสนิทของนางฉับพลันก็กลับกลายเป็นสีเงิน

 

 

“บรรพชนเฒ่า ท่านจะเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยไม่ได้นะคะ! ท่านจะยอมให้สกุลหลิวที่มีรากฐานมากว่าพันปีล่มสลายลงไปในชั่วพริบตาหรือคะ!”

 

 

เหวินหลานไม่รู้เลยว่าการกระทำของนางในครั้งนี้จะก่อเกิดเป็นหายนะครั้งใหญ่หลวง

 

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ เมืองลู่แพร่สะพัดออกไปทั่วตั้งแต่แรก

 

 

ตอนที่หลิวอวี๋เซิงออกเดินทางไปนั้นยังเปี่ยมด้วยพละกำลังที่เข้มแข็งฮึกเหิม สง่าผ่าเผย ทว่ากลับ กลับมาในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ และนักรบของสกุลหลิวที่ไปด้วยก็ตายหมดไม่มีเหลือ คราวนี้บรรดาญาติและครอบครัวของพวกเขาจึงพากันร้องไห้กระงม ร้องจนกระทั่งประตูของเรือนบรรพชนเปิดออก หลิวปิงปิงใบหน้าซีดเซียวมองมายังบุคคลที่อยู่ตรงเบื้องหน้าทุกคน

 

 

“บรรพชนเฒ่า…” เหวินหลานเมื่อเห็นหลิวปิงปิงมีสีหน้าเป็นเช่นนั้น เกิดเริ่มลนลานหวั่นวิตก

 

 

‘เมื่อครู่นางทำอะไรผิดไปหรือไม่นะ?’

 

 

เหวินหลานไตร่ตรองอยู่สักครู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิดไปแต่ย่างใด

 

 

สกุลหลิวเกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ จำเป็นต้องรายงานให้กับบรรพชนเฒ่าได้รับรู้ทันที

 

 

“เข้ามาก่อน!”

 

 

กระทั่งดวงตาดุดันของหลิวปิงปิงกวาดตามองมายังเหวินหลาน และเมื่อหลิวปิงปิงเหลือบเห็นหลิวอวี๋เซิงที่อยู่ในแคร่หามแล้ว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

หลังจากเข้ามาด้านในห้อง เหวินหลานคุกเข่าลงตรงหน้าหลิวปิงปิง

 

 

นางไม่ได้ล่วงรู้ในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าหลิวอวี๋เซิงพานักรบจำนวนมากเดินทางออกไป ตอนก่อนจะออกเดินทางไปนั้นท่าทางของเขายังฮึกเหิมมั่นใจ ราวกับว่ากำลังจะทำภารกิจใหญ่สำเร็จลุล่วงอย่างไรอย่างนั้น แต่สุดท้ายไม่เพียงทำภารกิจไม่สำเร็จ ตรงกันข้ามหลิวอวี๋เซิงเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง เรียกได้ว่าขาข้างหนึ่งของเขาก้าวเหยียบประตูผีแล้วข้างหนึ่งก็ว่าได้

 

 

เมื่อรู้ว่าเหวินหลานไม่รู้เรื่องราวอะไรชัดเจนสักอย่าง แต่กลับมาเที่ยวร้องแรกแหกกระเชิงเอะอะโวยวายอยู่ที่หน้าประตูเรือนของตน จนเกือบจะทำให้ตนธาตุไฟเข้าแทรกกลายเป็นปีศาจไป หลิวปิงปิงก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก นางฟาดฝ่ามือใส่เหวินหลานจนนางกระเด็นออกไป

 

 

“สวะไร้ประโยชน์!”

 

 

หลิวปิงปิงโกรธเกรี้ยวจนควันออกหู การที่นางเก็บตัวเข้าฌาณในครั้งนี้ก็เพื่อจะสำเร็จจากเทพอาวุโสขั้นเจ็ดเป็นเทพอาวุโสขั้นแปด

 

 

มาตอนนี้ถูกการเอะอะโวยวายของเหวินหลานเข้าขัด ทำให้นางไม่เพียงแต่มิอาจสำเร็จขั้นเพิ่มขึ้นได้ ทั้งยังวรยุทธถดถอยลงเหลือเพียงเทพอาวุโสขั้นห้าเท่านั้น น่าโมโหจริงๆ!

 

 

‘สวรรค์ยังรู้ดีว่ากว่าจะสำเร็จเทพอาวุโสแต่ละขั้นยากเย็นเพียงใด!’

 

 

‘มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ!’

 

 

หากมิใช่เหวินหลานคือลูกหลานของสกุลเหวินละก็ หลิวปิงปิงคงจะฆ่านางไปแล้ว!

 

 

และด้วยเพราะโกรธเคืองเหวินหลาน พลอยทำให้หลิวปิงปิงโกรธเคืองหลิวอวี๋เซิงที่นอนอยู่บนแคร่หามไปด้วย!

 

 

จนกระทั่งมีผู้ที่รู้เรื่องราวทั้งหมดเข้ามารายงานที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดให้นางได้รับรู้นั่นแหละ หลิวปิงปิงถึงได้ตบโต๊ะอย่างแรงด้วยความแค้นเคือง

 

 

“ข้าเคยบอกพวกเจ้าเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า สกุลสุ่ยไม่ใช่คนดี แต่พวกเจ้ากลับไปร่วมมือกับสกุลสุ่ย โง่ดักดาน โง่เขลายิ่งนัก!”

 

 

หลิวปิงปิงเคยเสียเปรียบภายใต้น้ำมือของสุ่ยฮั่วอีมามาก จึงเกลียดชังสกุลสุ่ย

 

 

นึกไม่ถึงเลยว่าหลิวอวี๋เซิงกลับไปร่วมมือกับสกุลสุ่ยคิดตลบหลังคนอื่น ตัวเขาเองไม่ถูกสกุลสุ่ยตลบหลังก็ถือว่าบุญเท่าไหร่แล้ว

 

 

หลังจากที่ระดมหมอหลายคนมาเพื่อช่วยชีวิต ตอนนี้หลิวอวี๋เซิงค่อยๆฟื้นขึ้นมา

 

 

“หลิวหลาง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร? หลิวหลาง…”

 

 

หลิวอวี๋เซิงค่อยๆลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือเหวินหลานที่แก้มทั้งสองข้างบวมตุ่ย ดวงตาแดงก่ำ

 

 

‘นางร้องไห้หนักถึงเพียงนี้ เพราะเป็นห่วงเขา?’

 

 

“หลาน…หลานเอ๋อร์…”

 

 

หลิวอวี๋เซิงยังกล่าวมิทันจบ หลิวปิงปิงก็เดินก้าวฉับๆเข้ามา ผลักเหวินหลานให้พ้นทาง

 

 

“บอกมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่! นักรบสกุลหลิวละ?”

 

 

หลิวปิงปิงมองดูก็รู้ได้ในทันทีว่า หลิวอวี๋เซิงคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ดังนั้นนางจึงต้องรู้ว่าให้ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับหลิวอวี๋เซิงที่เมืองลู่

 

 

“บรรพชนเฒ่า…” หลิวอวี๋เซิงเมื่อเห็นหน้าหลิวปิงปิงก็เริ่มตื่นเต้นสภาพอารมณ์แปรปรวน หายใจหอบอย่างหนัก

 

 

“ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น…ปราชญราชันย์…แก้แค้น…แก้…” หลิวอวี๋เซิงเบิ่งตากว้าง กระอักเลือดสีดำออกมากองใหญ่ มือทั้งสองข้างกระตุกสองสามครั้ง สุดท้ายก็ล้มลงบนพื้นสิ้นใจตาย

 

 

คำพูดขาดๆตอนๆในช่วงสุดท้ายที่เขาเหลือเอาไว้ ทำให้หลิวปิงปิงเกิดความสงสัย

 

 

‘ปราชญ์ราชันย์?’

 

 

‘ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋น?’

 

 

‘หรือว่าในช่วงเวลาที่นางเก็บตัวฝึกวิชานั้นอู๋โยวเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น? ‘

 

 

‘จะใช่เป็นประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นผู้นั้นหรือไม่ที่สังหารหลิวอวี๋เซิง?’

 

 

และสิ่งที่หลิวปิงปิงข้องใจสงสัย ก็ได้รับคำตอบในคืนนั้น คนที่หลิวปิงปิงส่งไปสืบข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองลู่และเมืองเฮ่อนั้นกลับมารายงงานเรื่องราวทุกอย่าง รวมทั้งต้นสายปลายเหตุให้หลิวปิงปิงได้ฟังอย่างกระจ่างชัดทุกอย่าง

 

 

“สกุลสุ่ย! ดีนี่สุ่ยฮั่วอี!” หลิวปิงปิงเองก็ไม่ได้เลอะเลือน นางเข้าใจดีว่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่ต้นจนจบนี้ เป็นหลิวอวี๋เซิงเองนั่นแหละที่หาเรื่องใส่ตัว

 

 

อยู่ดีไม่ว่าดี คิดจะตลบหลังผู้อื่น

 

 

น่าเสียดายที่วรยุทธ์ของตนเองสู้เขาไม่ได้ ตรงกันข้ามยังเกือบเอาสกุลหลิวเข้าไปเสี่ยงด้วย

 

 

เมื่อคิดถึงว่ายอดฝีมือของสกุลหลิวสูญเสียไปกว่าแปดในสิบส่วน หลิวปิงปิงก็เจ็บปวดยิ่งนัก

 

 

ตระกูลใหญ่ ต้องอาศัยยอดฝีมือที่มีในอาณัติ แสดงอำนาจและพลังของตระกูล การที่จะฝึกฝนนักรบที่มียอดฝีมือสักคน ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลากี่ปี่ สิ้นเปลืองแรงกายแรงใจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างสูญสิ้นหมดแล้ว!

 

 

‘นี่สกุลหลิวจะต้อง่ลมสลายอย่างนั้นหรือ?’

 

 

หลิวปิงปิงแทบอยากจะเรียกหลิวอวี๋เซิงที่ตายไปแล้วให้ฟื้นขึ้นมา แล้วซักถามเขาให้รู้ดำรู้แดงไปเสียเลยว่ากระทำเรื่องโง่งมเช่นนี้ลงไปได้อย่างไร!