บทที่ 510 เต๋ากระบี่ที่ไม่มีวันถูกลบเลือน

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

จากทิศทางที่มู่เฉียนซ่งชี้ หลงเฉินมุ่งหน้าไปยังส่วนภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาเขตสุสานกระบี่

ด้วยปรากฎการณ์ที่มีมังกรบินอยู่เหนือท้องฟ้า มันส่งผลให้บรรดานักกระบี่ทั้งหลายต่างต้องแหงนมอง

ทางด้านของหลิงตู้ฉิงนั่งนิ่งเงียบไปจนตลอดทาง ซึ่งคนอื่น ๆ ที่เห็นเช่นนี้ก็ไม่กล้าเอ่ยทักอะไรเขาเช่นกัน

ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นหน้าผาสูงนับพันเมตร ซึ่งหลงเฉินก็หยุดลงที่ด้านหน้าของหน้าผา

แน่นอนว่าหน้าผานี้คือสุสานกระบี่ที่ผู้คนต่างร่ำลือ

ส่วนเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงรู้ว่าหน้าผานี้คือสุสานกระบี่ นั้นก็เพราะว่าที่ด้านหน้าของหน้าผามีตัวอักษรขนาดยักษ์สลักไว้อย่างชัดเจนว่า ‘สุสานเทพกระบี่’ และรวมไปถึงบนยอดหน้าผานั้นคราคร่ำไปด้วยนักกระบี่จำนวนมากที่กำลังพยายามทำความเข้าใจเจตจำนงกระบี่ แต่สิ่งหนึ่งที่ดูขัดแย้งก็คือที่หน้าทางเข้าสุสานกระบี่นั้นมีปราณกระบี่อยู่สายหนึ่งที่ดูยุ่งเหยิงอย่างรุนแรง

“ในชีวิตนี้ แม้เต๋ากระบี่ของข้าไร้ผู้ต่อกร แต่มันก็ยังมิอาจที่จะนำข้าไปสู่นิรันดร์ ข้าจึงฝังมันไว้ในสุสานนี้ หากผู้ใดผ่านด่านทดสอบสุสานกระบี่ข้าได้ คนผู้นั้นคือผู้ครองเต๋ากระบี่ข้า มีชัยเหนือข้าในระดับเท่าเทียมเจ้าได้ครองเต๋า พ่ายแพ้ต่อข้าจ่ายด้วยราคาชีวิต! ส่วนไอ้พวกเดรัจฉาน ข้ารู้ว่าพวกเจ้าจัดฉากมาเป็นเวลานาน ข้าทิ้งเต๋ากระบี่ของข้าไว้ที่แห่งนี้ หากพวกเจ้าแน่จริงก็จงเข้ามาเผชิญคมกระบี่ของข้า!”

นี่คืออักษรที่สลักไว้เพิ่มเติมตรงหน้าผา

อักษรทั้งหมดที่สลักไว้เห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากเจตจำนงกระบี่อันไร้เทียมทาน ซึ่งต่อให้หน้าผานี้จะถูกทำลายลง อักษรเหล่านี้ก็จะยังคงปรากฎอยู่ให้ได้เห็นไม่มีวันจางหายไปไหน

“สามี…” เย่ชิงเฉิงอุทานขึ้น

ไม่มีใครแน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงคือเทพกระบี่จริง ๆ หรือไม่ แต่ในเมื่อหลิงตู้ฉิงสามารถใช้วิชากระบี่ที่สี่ของเทพกระบี่ได้ อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็แน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงน่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับตัวตนของเทพกระบี่อย่างลึกซึ้ง

หลิงตู้ฉิงมองไปตัวอักษรที่สลักอยู่บนหน้าผาอย่างเงียบเชียบ

ในความทรงจำของเขา เต๋ากระบี่ของทาสกระบี่นั้นจัดว่าอยู่ในระดับที่สุดยอด ดังนั้นเขาควรที่จะบรรลุไปถึงขอบเขตนิรันดร์ได้แน่นอน ดังนั้นเขาตายได้ยังไง?

ไม่เพียงแต่ทาสกระบี่ที่ตาย แต่มันยังรวมไปถึงทาสภูตของเขาก็ตายไปด้วย

จากข้อมูลที่เขาได้สอบถามมาจากอี้ลั่วเอ๋อ ทาสภูตของเขานั้นตายเพราะอาการบาดเจ็บสาหัส ว่าแต่ทาสกระบี่ล่ะตายได้ยังไง?

และที่สำคัญถึงแม้ว่าทั้งทาสกระบี่และทาสภูตจะตายไปเป็นหมื่นปีแล้ว แต่ในปัจจุบันพวกเขายังคงทิ้งร่องรอยของการท้าทายไว้ให้กับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นใครกัน?

หลิงตู้ฉิงมองไปยังสุสานกระบี่ราวกับว่าในตอนนี้เขากำลังเห็นภาพของทาสกระบี่กำลังถือกระบี่ในมือไว้แน่น และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

ซึ่งน่าเสียดายที่ทาสกระบี่นั้นตายไปแล้ว เขาจึงไม่สามารถออกไปตามล้างแค้นกับเหล่าศัตรูของเขาได้ เขาจึงทำได้แค่ทิ้งมรดกแห่งความแค้นของเขาไว้ที่นี่รอให้ศัตรูของเขาย่างกรายเข้ามาด้วยตัวเอง จากนั้นเขาค่อยชำระบัญชีแค้น

ทางด้านของหลิงตู้ฉิง เมื่อเขาดูจนพอใจ เขาก็พุ่งตัวออกจากรถม้า ซึ่งเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นร่างของเขาก็ไปปรากฏที่หน้าทางเข้าสุสานกระบี่ และเดินเข้าไปที่ทางเข้า

การกระทำของหลิงตู้ฉิง ทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นตื่นตัวทันที ผู้คนต่างตะโกนกันขึ้น “ดูนั่น! มีคนกำลังจะเข้าไปในสุสานกระบี่!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักกระบี่ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนต่างหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน

“ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณงั้นเหรอ? เหอะ! คิดว่าเข้าไปข้างในด้วยระดับการบ่มเพาะนี้แล้วจะได้เปรียบหรือไง?” นักกระบี่ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

“มันก็น่าจะเป็นแค่ไอ้พวกโง่หลงตัวเองที่มาจากอาณาเขตอื่นอีกคนหนึ่งเท่านั้น ที่คิดว่าตัวเองไม่มีดวงจิตที่แท้จริงแล้วจะสามารถผ่านกระบี่ที่สี่ไปได้”

“หากการที่ไม่มีดวงจิตที่แท้จริงแล้วจะคิดว่าจะผ่านกระบี่ที่สี่ไปได้ มันก็คงฝันกลางวันอยู่แน่ ๆ ถ้ามันเป็นงั้นจริงมันก็คงมีคนผ่านไปนานแล้ว!” หลายคนพูดเช่นนี้พลางส่ายหัว

สุสานกระบี่นั้นดำรงอยู่มาแล้วนับหมื่นปี ซึ่งในปัจจุบันไม่ว่าใครก็รู้วิธีผ่านการทดสอบสามกระบี่แรกเป็นอย่างดี จะมีก็แต่กระบี่ที่สี่ที่เป็นกระบี่ที่โจมตีจิตวิญญาณโดยตรงที่ยังไม่มีใครผ่านได้

ส่วนการทดสอบด้านในนั้นก็ง่าย ๆ เมื่อใครเข้าไปทดสอบคนผู้นั้นจะต้องเผชิญกับเทพกระบี่ที่มีระดับการบ่มเพาะเดียวกับผู้เข้าทดสอบ ซึ่งถ้าหากใครที่มีระดับการบ่มเพาะยิ่งสูง เทพกระบี่ก็จะมีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นตามไปและผลลัพธ์ของผู้แพ้จะกลายเป็นศพ

ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้นมีผู้ที่ต้องตายลงในสุสานกระบี่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

ส่วนบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำหน่อย คนเหล่านี้จะโชคดีกว่าพวกผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับสูง เนื่องจากหากว่าพวกเขาแพ้ พวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดกลับออกมาได้

แต่มันก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ระดับต่ำทุกคนจะสามารถเข้าไปทดสอบด้านในสุสานกระบี่ได้

“ใครจะพนันกับข้าบ้างว่าเขาจะรอดกลับออกมาได้ไหม?” นักกระบี่ผู้หนึ่งตะโกนขึ้น

“ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 น่าจะรอดออกมาได้โดยไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ทำไมพวกเราไม่มาพนันกันว่าเขาจะผ่านไปถึงกระบี่ที่สามรึเปล่า ดีกว่าล่ะ?” ใครบางคนเอ่ยขึ้น

หลิงตู้ฉิงไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะพูดหรือพนันอะไรยังไง

หลังจากที่เขาเดินเข้าไปในสุสานกระบี่ ทันใดนั้นเขาก็ได้พบกับการโจมตีของภาพร่างมายาของเทพกระบี่ที่มีระดับการบ่มเพาะเดียวกับเขา คือขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13

หลิงตู้ฉิงไม่แม้แต่จะสนใจหลบหลีกการโจมตีนั้นที่พุ่งเข้ามา เขารับมือกับมันด้วยรูปแบบกระบี่พื้นฐานท่าที่หนึ่ง เร้นคมกระบี่ ซึ่งเป็นรูปแบบกระบี่พื้นฐานที่เป็นรากฐานของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่

หลิงตู้ฉิงปล่อยให้ปราณกระบี่พุ่งเข้ามาหาร่างกายของเขา จากนั้นเขาก็ดูดซับมันและปล่อยมันกลับไปหาร่างมายาของเทพกระบี่ พลางส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าบังคับให้ผู้อื่นทำตามกฎของเจ้า แต่ในความเป็นจริง เจ้ากลับใช้เจตจำนงกระบี่ระดับสวรรค์ทั้ง ๆ ที่นี่มันเป็นการทดสอบขอบเขตประสานทะเลปราณเนี่ยนะ? แล้วแบบนี้หากไม่ใช่ข้าแล้วใครมันจะไปสามารถต้านทานเจ้าได้หากอยู่ในระดับเดียวกันแบบนี้? เฮ้อช่างเถอะ เจตจำนงของเจ้าคงจะเลือนหายไปหมดแล้วจนเหลือแต่เต๋ากระบี่ของเจ้าเพียงอย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นมันก็คงไม่เหมาะที่ข้าจะไปต่อทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนี้ เอาไว้เราคุยกันในอนาคตก็แล้วกัน”

อันที่จริง ๆ ตั้งแต่ต้นหลิงตู้ฉิงไม่ได้ตั้งใจว่าจะเข้าไปในสุสานกระบี่จนถึงจุดที่ลึกที่สุดอยู่แล้ว เขาแค่ต้องการที่จะแวะเข้ามาดูเพียงเท่านี้ก็แค่นั้น

ดังนั้นเมื่พูดจบ หลิงตู้ฉิงก็หันหลังกลับและเดินออกจากสุสานกระบี่ทันที

เมื่อเหล่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกเห็นหลิงตู้ฉิงเดินออกมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีปราณกระบี่ของเทพกระบี่ใด ๆ ติดตัวออกมา พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าเหยียดหยาม “เหอะ! ข้าก็นึกว่าจะแน่จริง ที่แท้มันก็เป็นแค่ไอ้พวกจำอวดที่เข้าไปถึงด้านในแล้วทนต่อความน่ากลัวของการทดสอบแรกไม่ได้ก็รีบวิ่งแจ้นหนีออกมา!”

บรรดาผู้คนที่เหลือก็พากันกันสบถเย้ยหยันหลิงตู้ฉิงด้วยเช่นกัน

อันที่จริงคนเหล่านี้จะไม่แสดงท่าทีเย้ยหยันใด ๆ ต่อผู้ที่เข้าไปในสุสานกระบี่ไม่ว่าจะผ่านไปได้กี่กระบี่หรือผ่านไม่ได้เลยก็ตาม เพราะพวกเขาต่างเคยเข้าไปด้านในสุสานกระบี่กันแทบทั้งนั้น และต่างก็รู้ว่าการทดสอบด้านในมันยากเย็นเพียงไหน

แต่พวกเขาจะดูถูกพวกคนที่เข้าไปแล้วไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับการทดสอบและออกมาโดยที่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้แบบนี้มากที่สุด

หมิงยู่ที่เห็นเช่นนี้ ด้วยความโกรธนางจึงดีดหยดเลือดของนางลงไปบนพื้นดิน สั่งให้หยดเลือดนั้นมุดไปที่ใต้เท้าของคนที่กล่าววาจาล่วงเกินหลิงตู้ฉิงเป็นคนแรก และทำให้ร่างของคนผู้นั้นหลอมละลายจนเหลือแต่กองเลือดทันที

จากนั้นเมื่อแก้แค้นได้เสร็จสมบูรณ์ หมิงยู่ก็รีบสั่งให้หยดเลือดของนางมุดดินกลับไปบนรถม้า ส่วนตัวนางเองที่อยู่นอกรถม้าก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

นักกระบี่บางคนที่เห็นภาพการตายอันเป็นปริศนาของคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาเช่นนี้ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงและพยายามหาตัวการที่เป็นผู้สังหารทันที แต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็จับมือใครดมไม่ได้เพราะวิธีการของหมิงยู่นั้นนับได้ว่าแนบเนียนเกินไป

จากนั้นเมื่อทุกคนกลับขึ้นไปบนรถม้า หมิงยู่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและถามหลิงตู้ฉิงว่า “นายท่าน ข้างในเป็นยังไงบ้าง?”

คนอื่น ๆ ที่อยู่บนรถม้าก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงเป็นสายตาเดียวเช่นกัน พวกเขาต่างรู้สึกสงสัยว่าในสุสานกระบี่มันมีอะไรกันแน่?

หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลังจากเขาตาย เต๋ากระบี่ของเขาก็กลายเป็นไร้เทียมทานโดยสมบูรณ์ หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับสูงสุดยอดที่ต้องยอมจ่ายราคาอย่างหนัก มันก็คงไม่มีใครที่จะสามารถทำลายสุสานกระบี่ได้แน่นอน”

“เอ่อ…นี่ท่านหมายความว่ายังไง?” คนอื่น ๆ ถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “กระบี่สุดท้ายของชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ก็คือ ‘กระบี่มรณะ’ ในตอนนี้เมื่อเทพกระบี่ได้ตายไปแล้วมันจึงกลายเป็นว่าเงื่อนไขกระบี่นี้ถูกเติมเต็มจนกลายเป็นสมบูรณ์แบบ มันกลายเป็นกระบี่ที่ไร้เทียมทาน ไร้พ่าย ไม่มีวันแตกดับ ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่เต๋ากระบี่ของเขาสามารถดำรงอยู่มาได้เป็นหมื่นปีโดยที่ไม่มีใครสามารถลบล้างไปได้ เอาล่ะ พวกเราไปกันต่อเถอะ มุ่งหน้าต่อไปยัง เมืองกระบี่สวรรค์ แล้วไปดูกันว่าตระกูลหลินนั้นสืบเชื้อสายมาจากเทพกระบี่จริงรึเปล่ากันดีกว่า!”