บทที่ 511 ป้ายคำสั่งของเทพกระบี่

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 511 ป้ายคำสั่งของเทพกระบี่

หลังจากที่เข้าไปในสุสานกระบี่ หลิงตู้ฉิงสามารถบอกได้ว่าเทพกระบี่นั้นได้ตายไปแล้วจริง แต่เมื่อวิเคราะห์จากอักษรที่ถูกสลักไว้ที่นอกสุสานกระบี่ มันก็สื่อให้เห็นได้ว่าแม้เทพกระบี่จะตายไปแล้ว แต่ปัญหาทุกอย่างมันก็ยังคงไม่จบ

ดังนั้น ในระหว่างที่เขากำลังเดินทางไปยังตระกูลหลินที่อยู่ในเมืองกระบี่สวรรค์ หลิงตู้ฉิงก็เอ่ยถามเหล่าคนของเขา “มีพวกเจ้าคนไหนที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุการตายของเทพกระบี่บ้างไหม?”

บรรดาคนของเขาที่ได้ยินคำถามนี้ ต่างก็พากันส่ายหัว มีแค่เพียงเย่หยูหลันที่ตอบกลับว่า “ข้าแค่เคยได้ยินมาว่าผู้อาวุโสเทพกระบี่ล้มเหลวในขั้นตอนการผ่านทัณฑ์เทวะ ส่วนรายละเอียดว่าเขาไม่ผ่านมันเพราะอะไรนั้นข้าเองก็ไม่ทราบจริง ๆ”

“ล้มเหลวงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว

เย่ชิงเฉิงถอนหายใจ “เฮ้อ…สามี มีคนไม่ถึงหนึ่งในร้อยด้วยซ้ำที่สามารถผ่านทัณฑ์เทวะได้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรสักเท่าไหร่”

หลิงตู้ฉิงได้แต่ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง

มันเป้นความรู้สึกคล้ายกับที่ผู้ใหญ่มองเห็นชนรุ่นหลังไม่ประสบความสำเร็จดั่งที่ตั้งใจไว้

เมืองกระบี่สวรรค์นั้นตั้งอยู่ภาคเหนือของอาณาเขตสุสานกระบี่ ซึ่งมันอยู่ห่างจากสุสานกระบี่ราว 7 ถึง 8 หมื่นกิโลเมตร ดังนั้นกว่าจะไปถึงที่หมายพวกเขาจึงใช้เวลาเดือนทางกว่า 2 เดือน

หลังจากที่ทุกคนมาถึงเมืองกระบี่สวรรค์แล้ว หลิงตู้ฉิงยังไม่รีบร้อนที่จะไปตระกูลหลินในทันที เขาเลือกที่จะหาที่พักก่อนเพื่อเตรียมการบางสิ่ง

หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็พาหมิงยู่ไปที่ตระกูลหลิน

“จงไปแจ้งกับผู้นำตระกูลของเจ้าให้ออกมาพบกับข้า” หลิงตู้ฉิงพูดกับพ่อบ้านของตระกูลหลินที่ออกมาพบกับเขาที่หน้าประตู

“นี่เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามรถพบกับผู้นำตระกูลเราเพียงเพราะว่าเจ้าอยากพบงั้นเหรอ?” พ่อบ้านกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “นี่เจ้าไม่เห็นผู้คนที่ต่อแถวรออยู่ด้านข้างเพื่อรอขอเข้าพบรึไง?”

หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปยังผู้คนที่ต่อแถวรออยู่เป็นจำนวนมากด้วยสายตาไม่แยแส ซึ่งอันที่จริงในใจลึก ๆ เขาก็งุนงงเช่นกันว่าคนพวกนี้มาทำอะไรที่นี่กัน?

พ่อบ้านตระกูลหลินพูดต่อ “นี่เจ้ารู้บ้างรึเปล่าว่าผู้นำตระกูลของเราเป็นใคร? ผู้นำตระกูลของเราเป็นถึงผู้ที่สืบสายเลือดจากเทพกระบี่! หากเจ้าต้องการขอเข้าพบผู้นำตระกูลของเรา เจ้าก็จงไปเข้าแถวรอซะ เมื่อไหร่ที่ผู้นำของเรามีอารมณ์อยากให้เข้าพบเจ้าถึงจะได้พบ!”

ในเวลาเดียวกัน จู่ ๆ ก็มีผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขาและพูดกับ พ่อบ้านตระกูลหลินว่า “พ่อบ้านหลิน ข้าขอรบกวนให้ท่านเข้าไปแจ้งผู้นำตระกูลของท่านสักหน่อยได้ไหม บังเอิญว่าก่อนหน้านี้คนของข้าได้ไปมีปัญหากับคนตระกูลของท่าน ซึ่งอันที่จริงมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านั้น ข้าต้องการที่จะขอเข้าพบกับผู้นำตระกูลของท่านเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดระหว่างเรา หากพ่อบ้านหลินช่วยข้าได้มันจะถือว่าเป็นพระคุณต่อตระกูลลั่วของข้ามาก อ๋อ ข้าได้ยินมาว่าพ่อบ้านหลินพึ่งจะทะลวงระดับเข้าสู่หลุดพ้นสามัญใช่ไหม? บังเอิญว่าข้ามีโอสถขัดเกลาวิญญาณอยู่ ซึ่งมันสามารถช่วยทำให้รากฐานของท่านมั่นคงขึ้นได้ หวังว่าท่านจะยอมรับน้ำใจนี้ของข้า”

หลิงตู้ฉิงที่เห็นทุกอย่างมองคนทั้งคู่ด้วยด้วยสายตาเย็นชา

ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญยอมก้มหัวขอร้องให้กับผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญ?

พ่อบ้านตระกูลหลินรับโอสถขัดเกลาวิญญาณมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นเขาก็พูดขึ้นเสียงดังว่า “ถ้าเช่นนั้นโปรดท่านลั่วรอข้าสักครู่ ข้าจะรีบเข้าไปรายงานผู้นำตระกูลให้ท่านเดี๋ยวนี้”

หลังจากพูดจบ พ่อบ้านตระกูลหลินก็รีบกลับเข้าไปด้านในคฤหาสน์ตระกูลหลิน

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว จากนั้นเขาหันไปทางผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างตระกูลหลินกับตระกูลของเจ้า?”

ในตอนแรกผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญไม่ได้อยากจะสนใจอะไรหลิงตู้ฉิงสักเท่าไหร่เพราะเป็นแค่เพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณ แต่เมื่อเขาหันไปเจอกับหมิงยู่ที่เขาไม่สามารถบอกระดับการบ่มเพาะของนางได้ และดูเหมือนจะเป็นผู้ติดตามของหลิงตู้ฉิง เขาจึงถอนหายใจและเอ่ยว่า “เฮ้อ ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเพราะการปรากฎตัวของเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด ซึ่งแน่นอนว่านับจากนี้ไปตระกูลหลินก็คงจะยิ่งรุ่งโรจน์มากยิ่งขึ้น ดังนั้นข้าจึงต้องรีบมาแก้ไขความขัดแย้งของตระกูลข้าที่เคยมีกับตระกูลหลินมาก่อนหน้านี้ ข้าเองก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาคงจะพอมีเหตุผลตกลงกับข้าได้อย่างสันติ”

“แค่เทพกระบี่กลับชาติมาเกิด มันทำให้เจ้าต้องหวาดกลัวถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงถามด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย

“นี่ท่านไม่เคยได้ยินตำนานของเทพกระบี่มาก่อนรึไง? ท่านรู้บ้างไหมว่ามีคนถูกสังหารด้วยน้ำมือของผู้อาวุโสเทพกระบี่ไปแล้วจำนวนมากขนาดไหน?” ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ “ถ้าขืนตระกูลของข้าเป็นศัตรูกับเทพกระบี่เมื่อไหร่ แค่เพียงกระบี่เดียวของเขาตระกูลของข้าคงตายยกตระกูล ดังนั้นข้าจะไปมีทางเลือกอะไรนอกจากจะต้องมาขอขมาจบความบาดหมางซะ ซึ่งบรรดาผู้คนที่ต่อแถวอยู่นั้นก็มาที่นี่ด้วยสาเหตุเดียวกับข้านี่แหละ”

หลิงตู้ฉิงเริ่มรู้สึกงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมข่าวของตงฟางจุนถึงมาถึงที่นี่ได้เร็วนัก?

“นี่เจ้าไม่คิดว่าข่าวที่เจ้าได้รับมามันจะเป็นข่าวเท็จบ้างเหรอไง?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น

“มันจะเป็นข่าวเท็จไปได้ยังไง? ผู้คนมากมายที่อยู่ที่สุสานกระบี่ต่างเห็นกันหมดว่าท่านเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดได้เข้าไปในสุสานกระบี่และจากนั้นเมื่อเขาออกมา เขาก็ได้รับเต๋ากระบี่มาจากข้างในนั้น ดังนั้นข่าวนี้มันจึงไม่มีวันที่จะเป็นข่าวเท็จแน่นอน” ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญตอบกลับ

หลิงตู้ฉิงถอนหายใจพลางคิดในใจ ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดที่ตงฟางจุนมีในตอนนี้ ทั้งเจตจำนงกระบี่แห่งการทำลายล้างและวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่หลิงตู้ฉิงถ่ายทอดให้ มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ใครต่อใครจะคิดว่าเขาเป็นเทพกระบี่ที่มาเกิดใหม่ตัวจริง

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงแบบนั้น สิ่งที่ข้าหมายถึงก็คือ เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าตระกูลหลินนั้นเป็นลูกหลานของเทพกระบี่จริง ๆ? ถ้าหากพวกเขาไม่ใช่ขึ้นมาจริง ๆ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นี้มันจะกลายเป็นเรื่องตลกไม่ใช่เหรอ?”

“ก่อนหน้านี้ตระกูลหลินได้เข้าไปพบกับท่านเทพกระบี่ที่กลับมาเกิดใหม่แล้ว ซึ่งพวกเขาเองก็ได้รับการยอมรับเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะไม่ใช่ลูกหลานที่แท้จริง?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงถึงกับพูดไม่ออก เพราะในตอนนี้ไอ้หนูตงฟางจุนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยกลับสวมบทบาทจนเกินพอดีไปซะแล้ว

ในตอนแรกมันก็มีหลายตระกูลอยู่แล้วที่อ้างว่าเป็นลูกหลานของเทพกระบี่แล้ว ในตอนนี้หากตงฟางจุนดันไปยอมรับตระกูลอื่นมั่ว ๆ เพิ่มอีกมันก็คงจะยิ่งเกิดความวุ่นวายยุ่งยากมากขึ้นไปใหญ่

ผ่านไปสักพักในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังคุยกัน พ่อบ้านตระกูลหลินก็เดินออกมาจากประตูคฤหาสน์และพูดกับผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญ “ผู้นำตระกูลของข้าตกลงที่จะพบกับท่าน โปรเชิญเข้ามาได้”

หลิงตู้ฉิงที่เห็นว่าพ่อบ้านตระกูลหลินปรากฏตัวขึ้นอีกรอบ เขาจึงหยิบป้ายคำสั่งที่ทำจากโลหะที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาพร้อมกับพูดว่า “ไปเรียกให้ผู้นำตระกูลของเจ้าออกมาพบกับข้าเดี๋ยวนี้!”

พ่อบ้านตระกูลหลินที่ได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยตอบด้วยสีหน้าหมดความอดทน “ไม่ใช่ว่าข้าบอกเจ้าไปแล้วรึไง? หากเจ้าต้องการเข้าพบผู้นำตระกูลของข้า เจ้าก็ต้องไปต่อแถวรอจนกว่าผู้นำของข้าจะมีอารมณ์ให้เจ้าเข้าพบ!”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่พ่อบ้านตระกูลหลินด้วยสีหน้าเย็นชาและพูดว่า “นี่เจ้าเป็นลูกหลานเทพกระบี่ประสาอะไรถึงไม่รู้จักป้ายคำสั่งเทพกระบี่! ข้ามาที่นี่ภายใต้นามของบรรพบุรุษเจ้า หากเจ้าปฏิเสธข้าอีกรอบ ข้าจะจากไปรายงานให้เทพกระบี่ของพวกเจ้าได้รู้เรื่องนี้!”

พ่อบ้านตระกูลหลินรู้สึกตื่นตะลึงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขามองไปที่ป้ายคำสั่งที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันทำมาจากวัสดุอะไรแต่มันมีอักษรถูกสลักไว้ว่า ‘กระบี่’ ที่อยู่ในมือของ หลิงตู้ฉิง

จากนั้นเมื่อเขามองมันได้เพียงครู่เดียว เขาก็รู้สึกได้ถึงเจตจำนงกระบี่อันแรงกล้าพวยพุ่งออกมาจากป้ายคำสั่งนี้ ซึ่งมันทำให้เขาถึงกับต้องก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าว

อันที่จริงวัสดุที่ใช้ทำป้ายคำสั่งนี้มันคือบรรดาวัสดุต่าง ๆ ที่หลิงตู้ฉิงได้มาจากสำนักวิญญาณโลหิต และเมื่อเขาหลอมรวมมันเข้ากับเจตจำนงกระบี่ของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่มันจึงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าป้ายคำสั่งนี้เป็นของจริงหรือของปลอม นอกซะจากตัวเขาเองหรือเทพกระบี่เพียงเท่านั้น

ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงจึงวางแผนว่าจะใช้ป้ายคำสั่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าสู่ตระกูลหลิน ไปสืบเสาะว่าตระกูลนี้เป็นลูกหลานของทาสกระบี่จริงหรือไม่

เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้พร้อมกับได้เห็นป้ายคำสั่ง พ่อบ้านตระกูลหลินก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่ออีกเขารีบบินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ทันที

ส่วนทางด้านของผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็งุนงงกับสิ่งที่พวกเขาเห็น

คนสองคนนี้เป็นใคร? ทำไมถึงได้ถือป้ายคำสั่งของเทพกระบี่ติดตัวมาด้วย?

ส่วนทางด้านในห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิน หลินฉางยู่ ในตอนนี้กำลังนั่งครุ่นคิดด้วยสีหน้างุนงงอย่างรุนแรง

พวกเขาที่พึ่งเจอกับเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดใหม่ไปไม่นานมานี้ แล้วทำไมตอนนี้บรรพบุรุษของเขากลับส่งใครก็ไม่รู้มาหาเขาพร้อมกับป้ายคำสั่ง?

แต่ไม่ว่าเขาจะมีความสงสัยอย่างไร ในเมื่อผู้ที่มานั้นถือป้ายคำสั่งมาด้วยเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องออกไปพบเพียงเท่านั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงรีบพุ่งตัวออกไปยังหน้าประตูทันที

เมื่อมาถึงหน้าประตูและได้เห็นป้ายคำสั่งในมือของหลิงตู้ฉิง พร้อมกับสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ในมัน ความสงสัยทั้งหมดของเขาก็จางหายไปในทันที เขารีบคุกเข่าลงก้มคำนับพร้อมกับเอ่ยว่า “ผู้เยาว์ หลินฉางยู่ ขอคารวะบรรพบุรุษ!”