บทที่ 1972 – โซว่อาน คำเชิญท้าประลอง

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

“ห๊ะ ท่านก็คือพระบิดาของท่านรองเจ้าวังชิง?”หญิงสาวทั้งสองคนถึงกับอุทานด้วยความตกใจ
  “ใช่แล้วล่ะ หลวนหลวน คือลูกสาวของข้าเอง”
  ” ช่างวิเศษเหลือเกิน!! ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเราจะมีโอกาสได้เข้าพบพระบิดาของท่านรองเจ้าวังชิง นายท่าน มาที่นี่เพื่อเข้าพบท่านรองเจ้าวังชิงใช่หรือไม่?”
  ชิงสุ่ยส่ายหน้า “ที่ข้ามาที่นี่เพราะนึกถึงชื่อของพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา และข้าก็อยากจะเดินลาดตะเวนดูรอบๆ”
  …………..
  ………….
  หลังจากสนทนาคำถามต่างๆ ชิงสุ่ยก็พบว่าเมืองต้างฉาง มีตระกูลโซ่วคอยควบคุม เมืองต้าฉางนั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และมีเมืองบริวารจำนวนมากรายล้อม แต่เมืองเหล่านั้นก็ยังคงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลโซว่เช่นเดียวกัน
  พระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาก็อยู่ภายในเขตเมืองต้าฉาง อย่างไรก็ตามพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธานั้นมิได้สนใจการต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น พวกเขาจึงเป็นผู้ครองเมืองอุดรเหมันต์อยู่เพียงแค่เมืองเดียว
  พระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาไม่ฝักใฝ่ในการต่อสู้แย่งดินแดน แต่ที่ยังไม่ถูกรุกรานก็เพราะว่ากว่า 80 ส่วนเป็นผู้หญิง และด้วยความงามที่พวกเธอครอบครอง ได้ช่วยให้พวกเธอพ้นภัยพิบัติตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา
  อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตระกูลโซว่เริ่มรุกรานพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธามากยิ่งขึ้น บ่อยครั้งที่พวกเขาจะมาขโมยตัวคนจะพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาไป ดังนั้นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 กลุ่มพลัง จึงเริ่มร้าวฉาน  และคนในตระกูลโซว่บางคนก็ทะลวงผ่านระดับพลัง จนถึงขั้นที่สามารถคุกคามพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาได้แล้ว มันยิ่งทำให้ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกเขาถึงกับยื่นข้อเสนอให้พระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธายอมมอบผู้นำมาแต่งงานกับพวกเขา
  และตัวของเจ้าพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาถูกขนานนามว่าเป็นโฉมงามเหนือฟ้า
  ชิงสุ่ยถึงกับหัวเราะเยาะ ความคิดของผู้นำตระกูลโซว่ดีไม่ใช่น้อยเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาตกอยู่ใต้อาณัติของพวกเขา บรรดาหญิงสาวที่อยู่ในพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาก็ต้องตกเป็นของพวกเขาโดยไม่สามารถขัดขืน และไม่ต้องหลั่งเลือดแม้แต่หยดเดียว
  ถึงแม้ว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าชิงสุ่ยจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่พวกเธอมีสติปัญญารับรู้ในหลายสิ่งหลายอย่าง ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจจะแวะเวียนไปที่เมืองอุดรเหมันต์หลังจากที่เขาต้องเดินทางไปส่งหญิงสาวทั้งสองคน
  ซึ่งเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ไม่ได้เกินความคาดคิด และการกระทำของตระกูลโซว่ก็เป็นไปตามที่ชิงสุ่ยคาดหวัง
  แน่นอนว่าที่แห่งนี้คือเมืองของตระกูลโซว่ คนตระกูลโซว่จึงสามารถพบเจอได้แทบทุกพื้นที่
  ขณะที่พวกเขากำลังจะออกจากภัตตาคาร รอบภัตตาคารก็ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน ชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสองคนที่นั่งติดหน้าต่าง จึงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน บรรดาแขกของภัตตาคารต่างทยอยกันออกจากภัตตาคารอย่างเร่งรีบ ในความคิดของพวกเขา สิ่งที่จะเกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องที่เอามาล้อเล่นได้ ยิ่งเกี่ยวพันกับตระกูลโซว่ หากใครชักช้า ชีวิตของพวกเขาก็จะยิ่งเสี่ยงต่อความตาย
  หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้ภัตตาคารหลังใหญ่เหลือเพียงแค่พวกเขา 3 คน ชิงสุ่ยก็ยังคงดื่มด่ำกับรสชาติสุราเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
  ชายชรา 2 คนและชายวัยกลางคนนำกลุ่มคนของพวกเขาเดินเข้ามาภายในภัตตาคาร ทั้ง 3 คนล้วนแล้วแต่เป็นยอดยุทธระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มคนก่อนหน้าคงจะประเมินความแข็งแกร่งของชิงสุ่ยได้ ยิ่งไปกว่านั้นการปรากฏตัวของยอดยุทธดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นที่ฮือฮา สร้างความสนใจให้กับตระกูลโซว่มากยิ่งกว่าเดิม
  “ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา? ทำไมถึงกล้าท้าทายตระกูลโซว่?”ชายวัยกลางคนกล่าวถาม
  ชายวัยกลางคนทั้งสูงและสง่างามเหมือนภูเขาลูกใหญ่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง ช่างแตกต่างจากชายหนุ่มโอหังที่ชิงสุ่ยเจอก่อนหน้า
  “ข้าหาได้มีความสัมพันธ์อันใดกับพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา และข้าก็มาที่เมืองแห่งนี้เป็นครั้งแรก ภาพเพียงไม่ชอบการรังแกหญิงสาวโดยอาศัยคนหมู่มาก”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเยือกเย็น
  เขาไม่ได้ทำร้ายคนตระกูลโซว่ ดังนั้น เขาก็ยังไม่ถือว่าเป็นศัตรู
  “สหาย นี่คือเมืองต้าฉาง พวกนางฆ่าคนของเราก่อน เจ้าไม่คิดจะไว้หน้าพวกเราหน่อยหรือ?”ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความจริงใจ
  เนื่องจากชิงสุ่ยก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา ชายวัยกลางคนจึงไม่ได้ระแวงในตัวของเขา และตัวของเขาเองก็ให้ความเคารพกับคำพูดของตระกูลโซว่ ถ้าหากได้ผูกมิตรไมตรี มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
  “ข้ามีกฎของข้า และข้าก็คงทำลายกฏที่ข้าตั้งไม่ได้ แม้ว่าข้าจะไม่มีเจตนาจะสร้างศัตรูกับใคร แต่หญิงสาวทั้งสองคนนี้ก็เป็นเพื่อนของข้าแล้ว”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
  โซว่อานขมวดคิ้ว เขาคิดว่าชิงสุ่ยจะรู้ถึงเกียรติประวัติความภาคภูมิใจของตระกูลโซว่และยอมขอโทษในความผิดที่ก่อ แต่ช่างน่าประหลาดใจที่ชายหนุ่มคนนี้ดื้อรั้น ตระกูลโซว่เองก็ไม่ยอมเสียเกียรติ มันจะเป็นเรื่องน่าอับอายมากหากพวกเขายอมให้ชายหนุ่มคนนี้พาหญิงสาวทั้งสองคนไป
  โซว่อันแตกต่างจากนายน้อยโซว่ ตัวของเขาไม่ได้สนใจในตัวหญิงสาวทั้งสองคนเลย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องของเกียรติและศักดิ์ศรี
  “สหาย ไม่มีที่ว่างให้เราต่อรองเลยหรือ?”โซว่อานกล่าวถามชิงสุ่ยอีกครั้ง สัญชาตญาณของเขาบอกกับเขาว่าไม่ควรเข้าไปเป็นศัตรูกับชิงสุ่ย
  แม้ว่าตระกูลของเขาจะแข็งแกร่ง แต่บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาไม่รู้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องระมัดระวังไม่ให้ความแข็งแกร่งของตัวเองทำให้กลายเป็นคนเขลา
  “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรามาประลองฝีมือ หากเจ้าชนะก็เอาหญิงสาวสองคนนี้กลับไป แต่ถ้าหากเจ้าแพ้ พวกนางจะต้องอยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”โซว่อานจ้องมองชิงสุ่ยและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
  ภายนอกอาจจะเหมือนยุติธรรม แต่จริงๆแล้วมันเป็นกลอุบายชั้นเลิศของโซว่อาน ถ้าหากชิงสุ่ยพ่ายแพ้ เขาก็ต้องทิ้งหญิงสาวเอาไว้ แต่ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามชนะ หญิงสาวจะถูกนำตัวกลับไป และศัตรูก็ไม่ได้บอกอีกว่าพวกเขาจะไว้ชีวิตชิงสุ่ย
  ชิงสุ่ยรู้ถึงแผนการฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน แล้วถ้าหากเขาเป็นโซว่อานเขาก็คงทำเช่นเดียวกัน ดังนั้น ชิงสุ่ยจึงพยักหน้าอย่างไม่คัดค้าน
  โซว่อานวิ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่ชิงสุ่ยหันไปยิ้มให้กับหญิงสาวทั้งสองคน “รอข้าสักครู่ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
  “ท่านลุง ระมัดระวังตัวด้วย”
  ชิงสุ่ยถึงกับยิ้มมุมปาก ดูเหมือนว่าสถานะของเขาเพิ่มพูนขึ้นทันทีตามอายุขัย
  จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ และยืนประจันหน้าโซว่อาน  “สหาย ข้ารู้สึกพวกเรานั้นพิเศษ ข้าจึงไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า”โซว่อานกล่าวกับชิงสุ่ย
  “ข้าเองก็ไม่อยากสร้างศัตรูกับใคร อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ข้าก็ควรทำอะไรบางอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงสิ่งที่ไม่ควรทำ”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ