ซูจิ่นซีอับจนปัญญา ทว่านางยังบอกองค์หญิงและองค์ชายอย่างอดทน ดังเช่นที่บอกกับอาอวี่และทุกคนในเผ่าอวิ๋นหุนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการยืนยันจุดยืนของตน “พวกข้าหาได้เป็นคนของโลกเขตแดน และไม่ได้เป็นคนของเผ่าสวรรค์ ข้าเพียงมีเรื่องส่วนตัวต้องไปจัดการเท่านั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้า นอกจากนั้น พวกเราไม่มีเจตนาเป็นศัตรูต่อเผ่าอวิ๋นหุน”
องค์ชายและองค์หญิงไม่ใช่คนโง่เขลา พวกเขามองออกว่าซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกเขตแดน ทว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าสวรรค์หรือไม่นั้น เวลานี้ยังตอบได้ยาก
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาชัดเจน จากความสามารถของซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น หากพวกเขาต้องการทำร้ายเผ่าอวิ๋นหุน พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้กลอุบายใดๆ เมื่อครู่ ตอนที่คนเผ่าอวิ๋นหุนต่อสู้กับฝูงสัตว์ร้าย พวกเขาสามารถฉวยโอกาสลอบโจมตีได้โดยง่าย ทั้งยังมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ประกายแปลกประหลาดวาบผ่านดวงตาสีเทาขององค์ชาย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอันใด “เมื่อครู่ เป็นพวกเราที่ไร้มารยาท ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย”
ซูจิ่นซีไม่เก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว
“พวกเรายังไม่ได้ตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือของพวกท่านทั้งสอง! นอกจากนั้น วันนี้ก็ค่ำแล้ว การเดินทางในเขาเมฆาไม่ค่อยสะดวกนัก มิสู้คืนนี้ ท่านทั้งสองพักอยู่ที่เมืองอวิ๋นหุนของพวกเราก่อน พรุ่งนี้เช้า ข้าจะส่งพวกท่านออกจากเขาเมฆา เพื่อเดินทางไปยังเขตเวทมนตร์ม่านจันทราในโลกเขตแดน”
ซูจิ่นซีเงยหน้ามองตำแหน่งของดวงอาทิตย์ เป็นดั่งที่องค์ชายกล่าว ท้องฟ้ามืดแล้ว นางและอวิ๋นจิ่นไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในเขาเมฆาไม่หวนคืน ค่ำคืนท่ามกลางป่าเขาที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบนั้นอันตรายยิ่งนัก นางจึงตอบตกลง
แม้อวิ๋นจิ่นจะไม่ได้พูดสิ่งใด ทว่าเพียงซูจิ่นซีตัดสินใจ เขาก็ไม่มีความคิดเห็นอื่นใดอีก
ทั้งสองเดินตามชาวเผ่าอวิ๋นหุนไปยังเขตที่อยู่อาศัยที่แท้จริงของพวกเขาในเมืองอวิ๋นหุนแห่งเขาเมฆา
ที่แห่งนี้เป็นเมืองที่สร้างขึ้นระหว่างทิวเขาและป่าไม้อันกว้างใหญ่ไพศาล ข้างนอกมีหมอกหนาทึบ ทว่าภายในกลับเป็นเมืองที่สวยงามหาได้ยาก บางเวลาก็มีเมฆหมอกบางเบาปกคลุมตัวเมือง ทิวทัศน์ดั่งแดนสวรรค์
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางติดต่อกันหลายวัน เดิมที พวกเขาคิดว่าคืนนี้จะนอนหลับอย่างสงบในสถานที่อันแสนวิเศษของเผ่าอวิ๋นหุน ทว่าความจริงแล้ว ทั้งซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น ไม่มีผู้ใดได้นอนหลับอย่างสบายใจเลย
ในฐานะที่เผ่าอวิ๋นหุนเป็นเผ่าที่หลบซ่อนอยู่ในเขาเมฆา ทั้งยังอาศัยอยู่ในเขาเมฆามาหลายพันปี นับว่าพวกเขาไม่ธรรมดาเป็นแน่ อวิ๋นจิ่นชัดเจนในจุดนี้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่อาจนอนหลับอย่างสนิทได้เลย แม้จะดับเทียนแล้ว แต่เขายังหลับไม่สนิท
ส่วนซูจิ่นซี… ทันทีที่นางปิดประตูและกำลังจะถอดเสื้อคลุมเข้านอน ทันใดนั้น เสียงของอาอวี่ก็ดังมาจากด้านนอก “แม่นางซู ท่านหลับแล้วหรือ? ”
รู้อยู่แล้วยังจงใจถามอีก?
ซูจิ่นซีกัดฟันอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าบอกว่าข้าหลับแล้วได้หรือ? ”
คนข้างนอกดูตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางซู องค์ชายของข้ามีเรื่องจะปรึกษากับแม่นาง หากแม่นางยังไม่หลับ เชิญท่านไปพบที่เรือนรับรอง หากมีสิ่งใดล่วงเกิน แม่นางโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
ซูจิ่นซีไม่อยากไปแม้แต่น้อย นางรู้ว่าองค์ชายกับอาอวี่มาหานางเวลานี้ เพราะเรื่องพิษในร่างกายขององค์หญิง
“พิษขององค์หญิงนั้น ข้าไม่อาจกำจัดได้ หากองค์ชายเชิญข้าไปเพื่อถอนพิษ เช่นนั้นก็กลับไปเถิด! ข้าไร้ความสามารถ”
แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุด ก็ไม่อาจปลุกคนที่แกล้งหลับได้ ไม่ว่าคนเป็นหมอจะเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่อาจรักษาผู้ป่วยที่ปกปิดอาการและไม่เต็มใจรับการรักษาได้
คนที่อยู่ด้านนอกตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง และไม่ส่งเสียงอันใดเป็นเวลานาน ทว่าซูจิ่นซีใช้อาคมกำไลปี่อั้นตรวจสอบลมหายใจของพวกเขา และรู้ว่าพวกเขายังไม่จากไป
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะงีบหลับ ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงขององค์ชายดังขึ้น “แม่นางซู ข้ารู้ว่าท่านสามารถถอนพิษที่อยู่ในร่างของอาอินได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้ท่านคงไม่พูดชื่อพิษที่อยู่ในร่างของอาอิน วันนี้ช่วงกลางวัน เป็นอาอินที่ล่วงเกินแม่นาง ข้าจะชดใช้ทุกอย่างแทนอาอิน แม่นางโปรดอย่าถือสา”
ซูจิ่นซีนอนหลับตาอยู่บนเตียง และกำลังจะผล็อยหลับ “องค์ชาย ท่านมีฐานะสูงส่ง ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ท่านกลับไปเถิด! แม้ข้าจะเอ่ยชื่อยาพิษที่องค์หญิงได้รับได้ ทว่าพิษชนิดนี้… ข้าไม่อาจรักษาได้จริงๆ ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงถอนหายใจลึกก็ดังมาจากข้างนอก “วิชาแพทย์ของแม่นางและคุณชายนั้นสูงส่งยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าคุณชายโอนอ่อนผ่อนตามแม่นางอย่างมาก แม้ตอนนี้ยังไม่สามารถถอนพิษได้ ทว่าเพียงแม่นางและคุณชายได้ทำการวิเคราะห์ ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างแน่นอน แม่นาง ถือว่าข้าขอร้องท่าน! ”
ซูจิ่นซีหลับตาและไม่พูดอันใดอีก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าองค์ชายและอาอวี่ยังอยู่ด้านนอกประตู ไม่จากไปไหน
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างลนลานก็ดังขึ้น มีคนเดินเข้ามาใกล้องค์ชาย “องค์ชาย แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระอาการประชวรขององค์หญิงกำเริบอีกแล้ว! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น องค์ชายก็จากไปอย่างรีบร้อน
อาอวี่ยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าซีดเผือดด้วยความวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่า ต่อให้ขอร้องต่อไป ซูจิ่นซีก็ไม่ยอมออกมา ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ เขาจึงหันไปที่ประตูห้องของอวิ๋นจิ่น และเคาะประตูอย่างแรง
“คุณชาย ข้ารู้ว่าทักษะทางการแพทย์ของท่านเยี่ยมยอดอย่างมาก ท่านโปรดช่วยองค์หญิงของข้าด้วยเถิด! องค์ชายของข้ารักองค์หญิง ดังเช่นที่ท่านรักแม่นางซู ชีวิตขององค์หญิงสำคัญกว่าชีวิตของเขาเอง ข้าขอร้องคุณชาย ท่านช่วยเปิดประตู และไปตรวจดูอาการองค์หญิงของพวกเราด้วยเถิด! ”
“…”
อาอวี่เคาะประตูห้องของอวิ๋นจิ๋นอยู่ครู่ใหญ่ ทว่าน่าเสียดาย อวิ๋นจิ่่นไม่เปิดประตู และไม่ตอบรับใดๆ
อาอวี่กระวนกระวายใจจนเหงื่อตก
ในที่สุด ประตูห้องฝั่งซูจิ่นซีก็เปิดออกดัง ‘เอี๊ยด’ อาอวี่หันศีรษะไปมองหญิงสาวในชุดสีเหลืองซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าประตูท่ามกลางแสงจันทร์ เขาจึงรีบเดินเข้าไปยังข้างกายซูจิ่นซี
“แม่นางซู ในที่สุดท่านก็ออกมา! ได้โปรด ท่านรีบไปช่วยองค์หญิงของพวกเราเถิด! ”
ซูจิ่นซีหาว เห็นได้ชัดว่านางอดทนจนสุดจะกลั้นแล้ว “ไม่รู้ว่าชาติที่แล้ว ข้า ซูจิ่นซีติดหนี้อันใดองค์หญิงและองค์ชายของพวกเจ้า ขอร้องเถิด หากข้าช่วยพวกเขา ผู้ใดจะช่วยข้า! ”
เมื่อนึกถึงพิษประหลาดที่อยู่ในร่างของตน ซึ่งตอนนี้ยังไม่กำเริบ ทั้งยังมีดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ และความรักอันลึกซึ้งระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยา อย่างไรก็ตาม ความแค้นที่ราวกับไม่อาจก้าวข้ามไปได้นั้น ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกหายใจลำบาก
อาอวี่พูดอย่างตื่นเต้นและจริงจัง “ขอเพียงแม่นางสามารถช่วยองค์หญิงของข้าได้ บุญคุณครั้งนี้ เผ่าอวิ๋นหุนจะไม่มีวันลืม! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้ใดต้องการให้พวกเจ้าจดจำบุญคุณ! ” เผ่าอวิ๋นหุนเล็กๆ เผ่าหนึ่ง แม้แต่ความปลอดภัยของเผ่ายังไม่อาจรับประกันได้ ยังจะให้สัญญาอันใดกับซูจิ่นซีได้อีก?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีมองไม่เห็นแววตาที่ทอประกายความหนักแน่นและจริงจัง ยามที่อาอวี่กล่าวคำพูดนั้น
ซูจิ่นซีตกลงรับปากจะช่วยองค์หญิง ขณะที่เดินไป ประตูห้องอวิ๋นจิ่นก็เปิดออก ร่างสีขาวราวหิมะยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
ดวงตาของซูจิ่นซีดูเหน็ดเหนื่อย “ไปช่วยคน ไปด้วยหรือไม่? ”
อวิ๋นจิ่นยังไม่ทันได้พูดสิ่งใด จิ้งจอกเก้าสีก็ร้อง ‘จี๊ด จี๊ด’ สองครั้ง และวิ่งออกจากประตูไปโดยไม่เห็นแม้เงา
อวิ๋นจิ่นไม่ได้ขัดขวางจิ้งจอกเก้าสี ซูจิ่นซีจึงคิดว่าอวิ๋นจิ่นตอบตกลงแล้ว นางหันหลังและเดินไปข้างหน้าพร้อมกับอาอวี่ โดยมีอวิ๋นจิ่นเดินตามมาด้านหลัง
ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็เดินมาถึงเรือนพักขององค์หญิง ทันทีที่มาถึงประตูห้อง เสียงขององค์หญิงที่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงบางอย่างถูกทุบจนแตกละเอียด
“แย่แล้ว เจ้ารีบมัดข้าเร็ว! มัดข้า! อย่าปล่อยให้ข้าคลุ้มคลั่งจนสูญเสียการควบคุม และอย่าให้อาจวินรู้! ”
“อ๊าก! เจ็บปวดยิ่งนัก ข้าทนไม่ไหวแล้ว จะควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว! เจ้ารีบลงมือเร็ว! ”
ทว่าอาจวิน ผู้ที่องค์หญิงพูดถึง หรือก็คือองค์ชายแห่งเผ่าอวิ๋นหุน ยามนี้ เขายืนอยู่ด้านนอกห้องโถง ทั้งยังยืนอยู่ไม่ไกลจากซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นนัก สายตาของเขามองเข้าไปภายในตำหนักที่มีแสงสลัวด้วยความเจ็บปวด