ไม่ว่าหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่จะเต็มใจหรือไม่ ปู้เชิงหยุนก็เดินตามพวกเขาไม่เว้นแต่ละก้าว
้ขออ้างที่เขาใช้ตามมาก็คือเขาจะติดตามไปด้วยเพื่อต้อนรับแขกและคอยแนะนำให้
ปู้เชิงหยินตามพวกหลิงฮันไปทุกที่ไม่ว่าพวกเขาจะไปไหน ไม่แน่ใจว่าเขากระตือรือร้นในการต้อนรับจริงๆหรือว่ากำลังจับตาดูพวกเขาอยู่กันแน่
หลิงฮันต้องการจะเดินไปยังบ้านพักทุกหลังในหมู่บ้าน แต่เมื่อใดที่เขาเดินออกนอกเส้นทางหลักของถนน ปู้เชิงหยุนก็จะเอ่ยเสียงห้ามเขาและอ้างว่าผู้คนที่นี่ไม่ชอบให้ถูกรบกวน จึงห้ามเดินผ่านไปยังบ้านแต่ละหลัง
ยิ่งถูกห้ามเรื่อยๆก็ยิ่งทำให้หลิงฮันรู้สึกสงสัยมากขึ้น
แต่เพราะเขาไม่ต้องการจะมีเรื่องกับผู้คนบนเกาะนี้ หลิงฮันจึงไม่ลงมือทำอะไรผลีผลามและกลับไปยังที่พักของตัวเองทันทีหลังจากที่สำรวจหมู่บ้านแบบคร่าวๆเสร็จ
หลัวอู้กับฟานหยงไปหาโกวชิ่วเหวินเพื่อเรียนรู้ศาสตร์หุ่นเชิด ถ้าพวกเขามีพรสวรรค์ในศาสตร์ด้านนี้จริงๆ เมื่อพวกเขาเรียนรู้ทักษะได้สำเร็จและกลับไปยังเมืองจักรพรรดิ สถานะของพวกเขาจะต้องทะยานสูงขึ้นแน่นอน
หลัวอู้หวังจะได้ตำแหน่งในตระกูลที่สูงขึ้นในขณะที่ฟานหยงหวังว่าจะไม่ต้องเป็นผู้ติดตามของจ้าวหลุนอีกต่อไปและมีอำนาจพอจะยืนหยัดด้วยอำนาจของตนเอง
เพราะงั้นพวกเขาจึงจริงจังอย่างมาก
เหลี่ยวหยิงดูไม่ได้สนใจอะไรในตอนแรกก็เริ่มดูเหมือนจะหันมาสนใจเช่นกัน
ในทางตรงข้าม หยางเทียนเฉิงนั้นคิดเพียงต้องการกลับขึ้นฝั่ง จินจื่อฮุยมีเพียงคำว่า ‘หลอมดาบ’ อยู่ในสมอง หยินหยวนเซียงพูดน้อยและไม่ชอบสุงสิงกับใคร ฟู่เทียนเองก็เมินเฉยต่อสิ่งอื่นนอกจากการบ่มเพาะพลังอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเวลาผ่านไป หลัวอู้ ฟานหยง เหลี่ยวหยิงก็ไม่กลับมาที่พักอีกเลยราวกับว่าพวกเขาเสพติดการเรียนรู้ศาสตร์หุ่นเชิด
ในวันที่เจ็ด โกวชิ่วเหวินก็มาชวนหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ไปชมผลงานหุ่นเชิดของเขา
หลิงฮันไม่สนใจเรียนรู้ศาสตร์แห่งเชิดหุ่น แต่เขาสงสัยในระบบการทำงานของหุ่นเชิดมาก ดังนั้นเขาจึงยอมรับคำเชิญและไปยังห้องทำงานในคฤหาสน์กับสุ่ยเยี่ยนยวี่
ห้องทำงานมีสองห้องคือห้องเล็กกับห้องใหญ่ ห้องทำงานเล็กนั้นเป็นห้องทำงานส่วนตัวซึ่งมีเพียงศิษย์ทั้งห้าที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ ส่วนห้องทำงานที่พวกเขาไปนั้นคือห้องทำงานใหญ่
เผยจี่ห้องทำงานเหล่านี้ให้การสอนศิษย์ทั้งห้าและให้พวกเขาฝึกฝนกันที่นี่
ห้องทำงานแบ่งออกเป็นหลายห้องซึ่งแต่ละห้องปิดกันเสียงได้ดีเยี่ยม ไม่เช่นนั้นหากสร้างหุ่นเสียงดังขึ้นในห้องหนึ่ง คนที่อยู่ห้องข้างๆจะไม่หนวกหูรึไง?
“สำหรับการสร้างหุ่นเชิด สิ่งจำเป็นคือการเลือกวัตถุดิบในการสลักรูปแบบอามคมและใส่ผลึกก่อเกิดเข้าไป” โกวชิ่วเหวินพูดชี้แนะพวกเขาในขณะที่เดินอยู่ เขาพาหลิงฮันไปยังห้องทำงานห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องของเขา
ห้องนี้มีขนาดกว้างและถูกล้อมไปด้วยวัตถุดิบ เครื่องมือมากมาย
“ช่วงนี้ข้ากำลังสร้างหุ่นเชิดรูปแบบมนุษย์อยู่ มันเกือบจะถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว”
ตอนนี้เขาขี่หุ่นเชิดเสือเหมือนอย่างเคย แต่หุ่นเชิดเสือก็ยังคงเดินตามเขาอยู่ หากมองจากด้านหลังนั้นไม่สามารถแยกออกได้เลยว่ามันคือเสือจริงหรือปลอม แต่จากด้านหน้าจะสามารถมองเห็นดวงตาปลอมของมันได้ชัดเจน มันคือดวงตาจากการฝังอัญมณีสองเม็ดลงไป ไม่ใช่ดวงตาจริงๆ
เขาชี้ไปยังหุ่นเชิดรูปร่างมนุษย์
ร่างของหุ่นเชิดถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลทั้งร่าง แต่ก็สามารถมองออกว่ามันมีรูปร่างของมนุษย์ ส่วนมันถูกสร้างขึ้นจากวัสดุอะไรนั้นไม่สามารถบอกได้
“ความสำเร็จสูงสุดของนักเชิดหุ่นคือการทำหุ่นเชิดที่เหมือนจริงที่สุด” เขาลูบหุ่นเชิดที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์พร้อมกับแสดงสีหน้าตื่นเต้น “ทั้งสองเชิญชม”
เขาเปิดหน้าอกของหุ่นเชิด ด้านในนั้นไร้อวัยวะภายในและสามารถมองเห็นซี่โครงได้อย่างชัดเจน กระดูกของหุ่นเชิดนั้นไม่ใช่สีขาวแต่เป็นสีทองอ่อน
“กระดูกของมันสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันด้วยการเคลือบแร่โลหะเอาไว้ แต่เนื่องจากวัสดุที่ใช้สร้างหุ่นนั้นมีหลายประเภท แร่โลหะที่จะใช้ก็ต้องมีระดับที่ไม่เหมือนกันด้วย อย่างเช่นหุ่นตัวนี้มันต้องใช้แร่โลหะระดับสาม” โกวชิ่วเหวินอธิบาย
“ดูให้ดี กระดูกทุกชิ้นของมันมีรูปแบบอาคมสลักเอาไว้ นี่คือส่วนที่สำคัญมาก เนื่องจากมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มีเพียงรูปแบบอักขระที่สลักเอาไว้เท่านั้นที่จะทำให้มันเคลื่อนไหวได้”
โกวชิ่วเหวินกล่าวอย่างกระตือรือร้นโดยไม่สนว่าหลิงฉันจะเข้าใจหรือสนใจเรื่องที่เขากล่าวหรือไม่
“ขั้นตอนสุดท้ายคือการใส่ผลึกก่อเกิดเข้าไปเพื่อกระตุ้นให้รูปแบบอักขระทำงาน” เขานำผลึกก่อเกิดหลายชิ้นออกมาและมองไปยังสุ่ยเยี่ยนยวี่ “แม่นางสุ่ย ท่านช่วยเป็นคนนำผลึกก่อเกิดใส่เข้าไปเพื่อกระตุ้นใช้งานหุ่นเชิดได้รึไม่?”
สุ่ยเยี่ยนยวี่รีบส่ายหัว ถึงแม้นางจะรู้ว่าตรงหน้าคือหุ่นเชิด แต่ด้วยรูปร่างมนุษย์ของมันก็ทำให้นางรู้สึกขยะแขยง
โกวชิ่วเหวินยิ้มและไม่เร้าหรือแต่กล่าวออกมา “ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ยังมีอายุขัยที่จำกัด ไม่ว่าสตรีจะงดงามเพียงใด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความตาย”
เขานำผลึกก่อเกิดใส่เข้าไปในหุ่นเชิดและจ้องมองไปยังสุ่ยเยี่ยนยวี่ด้วยสายตาที่ร้อนแรง “แม่นางสุ่ยช่างงดงามและมีเสน่ห์ยิ่งนัก ใบหน้าและเรือนร่างของท่านสมควรจะถูกหยุดไว้เช่นนั้นตลอดกาลไม่สมควรแก่เฒ่า ไม่เช่นนั้นจะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก!”
“เรื่องนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพี่ชายโกว” หลิงฮันเอ่ยแทรก
“โอ้ ต้องขอโทษด้วย ข้าเผลอตัวไปหน่อย!” โกวชิ่วเหวินรีบกล่าวขอโทษและปิดหน้าอกของหุ่นเชิด แน่นอนว่าสิ่งที่ใช้เชื่อมให้ผิวของหุ่นเชิดติดกันไม่ใช่ไหมเย็บแผลแต่เป็นห่วงเล็ก
“เอาล่ะ ทีนี้ก็เชิญสนุกกับหุ่นเชิดของข้า!” เขาเขยิบถอยหลังและแสดงสีหน้ามีความสุข
‘พรึบ’ หุ่นเชิดลืมตาและลุกขึ้นยืน มันชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะหันมองรอบข้าง
หุ่นเชิดจ้องไปยังหลิงฮัน สายตาของมันไม่ได้มืดมัวอีกต่อไป ตรงช่องว่างของผ้าพันแผลสามารถมองเห็นดวงตาที่ส่องประกายราวกับหมาป่าของมัน
“โฮกก!” หุ่นเชิดมนุษย์คำรามเสียงต่ำและขยับเท้าพุ่งไปยังทิศทางของหลิงฮัน
มันเคลื่อนที่ได้ไวมาก มันยื่นมือข้างหนึ่งออกมา มือของมันมีนิ้วอยู่สองนิ้วที่ไม่ถูกพันด้วยผ้าพันแผล นิ้วของมันดูทนทานราวกับเหล็กกล้า ปลายนิ้วของมันก็แหลมคมเป็นอย่างยิ่งพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกออกมา
หลิงฮันไม่หวาดกลัวและปล่อยหมัดออกไป
‘ปัง!’
จากการปะทะกัน หลิงฮันถูกทำให้เดินถอยสองสามก้าวในขณะที่หุ่นเชิดถูกทำให้สั่นสะท้านเพียงเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทรงตัวคงที่ มันคำรามอีกครั้งและโจมตีใส่หลิงฮัน
ระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นกลาง หรืออาจจะชั้นปลาย หลิงฮันประเมินในใจและใช้งานอักขระแรงโน้มถ่วง หุ่นเชิดมนุษย์เดินโซเซในทันทีจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
แต่หลิงฮันก็ต้องขมวดคิ้วเพราะเขารู้สึกว่าเขารั้งการเคลื่อนที่ของอีกฝ่ายได้ยากมาก
อีกฝ่ายที่มีพลังเพียงระดับภูผาวารีขั้นสูงแต่ทำให้เขารู้สึกลำบากได้ เหตุผลคงมีอยู่ข้อเดียวคือร่างของอีกฝ่ายมีน้ำหนักที่มากเกินไป!
เมื่อนึกถึงสิ่งที่โกวชิ่วเหวินเคยกล่าวว่ากระดูกของหุ่นเชิดนั้นถูกหลอมเคลือบขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหนักของมันก็คงจะไม่ธรรมดาแน่นอน
แต่ที่หลิงฮันไม่เข้าใจก็คือทำไมหุ่นเชิดตนนี้ถึงโจมตีเขา ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่าโกวชิ่วเหวินไม่ได้ออกคำสั่งใดๆ
ตูม! ตูม! ตูม!
หุ่นเชิดกระหน่ำโจมตีใส่หลิงฮันราวกับต้องการเอาชีวิตของเขา