GGS:บทที่ 831 ผีร้ายแห่งเกาะทะเลทราย(2)
“พั่บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ในระหว่างการสำรวจ พวกเขาได้พบกับเงาดำกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างหน้าขวางทางพวกเขาอยู่
มันคือฝูงค้างคาวที่บินตรงมาด้วยความเร็วสูง ประหนึ่งดังเหล่าทหารที่เร่งรีบออกมาขับไล่ศัตรู พวกมันได้ทำการบินโฉบผ่านพวกเขาไปมา บ้างก็แขวนตัวเองรอดูสถานการณ์อยู่บนกิ่งไม้ บ้างก็บนวนอยู่รอบๆ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้พวกเขานั้นตกใจกันไปหมด แม้แต่ชายตัวสูงเองก็ไม่เว้น เขานั้นถึงกับทำหน้าอึ้งออกมา
เหตุก็เพราะอย่างแรก ตอนนี้เป็นตอนกลางวันมันจะมาโผล่มานี่ได้ไงกัน
อย่างที่สองไม่รู้ด้วยเหตุผลประการใดพวกมันทำการล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ราวกับว่ามีใครบางคนได้สั่งการพวกมันอยู่ ช่างเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างมาก
ชายตัวสูงเองก็รู้ตัวเองในทันทีว่าประสบการณ์ที่เขาเคยคุยโวเอาไว้ในตอนแรกนั้นดูท่าทางจะไม่เพียงพอซะแล้ว
“พี่จิง เอาไงต่อดี” ชายหน้าหวานคนขับเรือได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“เดินต่อไป ไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องสนใจพวกมัน” ชายตัวสูงได้ตัดสินใจในทันที ซึ่งโดยปกติแล้วถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
นั่นก็เพราะว่าโดยปกติแล้วสัตว์ตัวเล็กนั้นจะไม่เป็นฝ่ายโจมตีมนุษย์ก่อนโดยไม่มีสาเหตุ เหตุผลที่พวกมันจะโจมตีก่อนนั่นก็เพราะว่ามีการบุกรุกไปในถิ่นของพวกมัน หรือไม่ก็ไปทำร้ายพวกมันก่อน
ซึ่งทั้งสองกรณีถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวเอง ดังนั้นเมื่อพวกคุณรู้ตัวว่ากำลังก่อกวนพวกมัน แค่ค่อยๆถอยกลับออกมาก็พอ
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตรรกะนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับค้างคาวฝูงนี้แต่อย่างใด เมื่อพวกเขาเดินหน้าไปได้หนึ่งเมตร พวกมันก็ขยับตามมาหนึ่งเมตร เมื่อพวกเขาเดินหน้าไปได้ห้าเมตร พวกมันก็ขยับตามมาห้าเมตร
และตลอดเวลาพวกมันราวกับปิดล้อมพวกเขาเอาไว้จนไม่อยากให้คลาดสายตา ถึงพวกมันจะไม่ได้โจมตีพวกเขาแต่มันก็พยายามส่งเสียงร้องราวกับกำลังคอยเตือนว่าไม่ให้เข้าไปมากกว่านี้
ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้แต่ชายตัวสูงเองก็ไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป เชิงชิเหยาและคนอื่นๆเองก็เริ่มกลัวจนตัวสั่นแล้ว
ข่าวดีเดียวสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คือค้างคาวฝูงนี้ยังไม่ได้โจมตีพวกเขาแต่อย่างใด
อยู่ๆ ค้างคาวที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็เหมือนกระจายตัวออก หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นค้างคาวตัวใหญ่ประมาณ 2-3 ตัวบินเข้ามาอย่างช้าๆ เมื่อพวกเขาได้เห็นดังนั้นต่างก็ทำท่าทางโง่งมกันไปหมด
ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วค้างคาวนั้นจะมีหน้าตาที่ดูหน้าเกลียดอย่างมาก แต่พวกมันก็ยังให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มลึกได้เหมือนกัน
บางคนถึงกับกล่าวไว้ว่าค้างคาวนั้นก็เปรียบได้ดั่งมังกรฝรั่งที่ตัวสีดำๆเล็กๆ และมีดวงตาที่สดใสสุกสกาว
เชิงชิเหยาและคนอื่นๆเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าค้างคาวนั้นมีจ่าฝูง ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นจ่าฝูงค้างคาวตัวเป็นๆมาก่อน แต่ดูจากท่าทางและลักษณะภายนอกแล้ว
พวกเขาสามารถแน่ใจได้ในทันทีว่าค้างคาวที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาใจตอนนี้คือตัวจ่าฝูง
ก่อนที่เชิงชิเหยาและคนอื่นๆจะมั่นใจอะไรขึ้นมา จ่าฝูงค้างคาวที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาได้เปิดปากออก
พวกเขานั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยซักนิดแต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังหน้ามืด ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้หน้ามืดขึ้นมาจริงๆ สาวๆเองก็ถึงกับตัวสั่นละร่วงลงไปกองกับพื้นในสภาพหมดสติในทันที
“เกิดอะไรขึ้นวะ” ชายหน้าหวานคนขับเรือเริ่มสติแตก
“วิ่งหนี” ชายตัวสูงเองไม่สามารถแสดงท่าทีสุขุมได้อีกต่อไป เขารีบนำร่างของสาวน้อยพาดไว้บนหลังก่อนที่จะวิ่งเปิดทางออกมา
เชิงชิเหยาเองก็ช่วยเขาก่อนที่จะวิ่งตามไป ชายคนที่ขับเรือได้ลากสาวผมทองวิ่งตามไปชนิดที่เรียกได้ว่าวิ่งป่าราบ
จากที่วิ่งตามอีกสามคนจนกลายเป็นวิ่งนำลิ่วจนกว่าจะรู้ตัว หันมาอีกทีทั้งสองคนก็ไม่เห็นอีกสามคนที่เหลือแล้ว
สิ่งที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้ก็คือ ป่าที่รกทึบ ความรู้สึกที่หนักอึ้ง พร้อมทั้งฝูงค้างคาวที่ยังคงบินไล่พวกเขาตามมาติดๆ
ตอนนี้ทั้งสองไม่ได้ห่วงชีวิตของอีกสามคนที่หายไปแต่อย่างใด ความคิดในหัวทั้งสองที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือต้องหนีรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้
พวกเขาเองต่างหากที่ต้องกังวล พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปกังวลเรื่องพี่จิงแม้แต่น้อย
“ฟึบๆๆๆๆ” ทันใดนั้นพุ่มไม้ที่อยู่ด้านหน้าก็ได้มีสิ่งๆหนึ่งที่มีสีดำก้อนหนึ่งโผล่ออกมา
สิ่งนี้บินออกมาด้วยความเร็วสูง มันก็คือจ่าฝูงค้างคาวนั่นเอง แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจ่าฝูงที่ควรจะวางตัวอยู่เบื้องหลังและวางท่าจะโผล่มาด้วยตัวเองแถมยังมาแบบรวดเร็วเสียด้วย
สาวผมทองในตอนนี้ได้รู้สึกมึนหัวจนทำให้ขาของเธอเริ่มสั่นแล้ว ตอนนี้เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปและได้เป็นลมหมดสติหลังจากที่ก้าวต่อไปได้เพียงสองถึงสามก้าวเท่านั้น
ชายหนุ่มที่ขับเรือเองยังพอฝืนตัวเองไว้ได้ เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงได้รีบเข้าไปพยุงตัวสาวผมทองพร้อมกับพยายามรีบพาเธอหนีออกไป
แต่ต่อให้เร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางหนีไปจากจ่าฝูงค้างคาวไปได้ จ่าฝูงค้างคาวได้เปิดปากออกราวกับจะโจมตีอีกครั้ง
ทันใดนั้นจ่าฝูงค้างคาวก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเพียงครู่มันและค้างคาวตัวอื่นๆก็บินจากไปอีกทางหนึ่ง ปล่อยให้หนุ่มหน้าหวานคนขับเรือและสาวผมทองวิ่งตรงไปโดยไม่ได้ทำอะไรอีก
หลังจากที่ทั้งสองเริ่มรู้สึกว่าตัวเองรอดจากจ่าฝูงค้างคาวแล้ว ชายหนุ่มน่าหวานก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่างจากที่ที่ไม่ไกลนัก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีลมอะไรบางอย่างผ่านเขาไป
เมื่อเขารู้สึกตัว หางตาของเขาก็ได้เห็นร่างของสิ่งมีชีวิตบางอย่างตัวสีเหลืองยืนอยู่ข้างๆ
ชายหน้าหวานคนขับเรือค่อยๆหันไปดูอย่าช้าๆ ทันทีที่เขาเห็นตัวเขาเองก็แทบจะทรุดลงไปกองอยู่ตรงนั้นในทันที
เสือ สิ่งที่เขาเห็นอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้คือเสือ ถึงแม้ตัวของมันจะดูแล้วไม่ใหญ่มาก
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือมันดูสวยงาม งามสง่าและน่าหลงใหล ดวงตาสดใสจนแวววาว ขนที่เงาสลวยสวยเก๋
หากนี่เป็นสวนสัตว์ เสือตัวนี้ก็สมควรจะกลายเป็นดาวเด่นของที่นั่น และเขาเองจะต้องหาทางเข้าไปคลอเคลียให้ได้หรือถ่ายรูปด้วยก็ยังดี
เขาหลงไหลในเสือตัวนี้ไปพักหนึ่ง แต่พอตั้งสติได้เขานั่นเริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาในทันใด
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนซึดขาว เขาตัวแข็งค้างพร้อมทั้งจิตใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นว่าเสือตัวนี้ไม่ได้มีท่าทีว่าจะโจมตีเขา มันเพียงแค่มองอย่างสงบและเดินวนไปรอบๆ
เขาเองก็ไม่กล้าที่จะขยับไปไหนเพราะต่อให้เขานั้นมั่นใจในฝีเท้าตัวเองขนาดไหน แต่การวิ่งโดยมีสาวน้อยอยู่ในอ้อมแขนยังก็หนีไม้พ้นแน่นอน
ชายหนุ่มหน้าหวานคนขับเรือนั้นยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาได้ใช้มืออีกค้างหยิกไปที่สาวน้อยผมทอง หลังจากพยายามหยิกไปได้ซักพัก สาวน้อยผมทองก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ทันทีที่เธอได้เห็นเสือตัวนี้ เธอก็ได้กรี๊ดลั่นจนหมดแรงและเกือบสลบไปอีกรอบหนึ่ง
“ฉันนับหนึ่งถึงสามแล้วเธอรีบหนีไปเลยนะ” ชายหน้าหวานตอบ
“หนี จะให้ฉันหนีไปไหนกัน แต่ให้หนีไปได้ยังไงซะก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว ฉันว่าแกล้งตายดีกว่า” สาวน้อยผมเหลืองเม้มปากและสั่นด้วยความหวาดกลัว
“นี่ก็แค่เสือนะไม่ใช่หมีจะแกล้งตายไปให้มันมาขบหัวเล่นรึไงกัน ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หนึ่ง สอง สาม วิ่งงงง…”
ทั้งสองประหนึ่งดังกลายเป็นคนรู้ใจในทันที เพราะทันทีที่สิ้นเสียงโดยไม่ได้นัดแนะกันว่าจะวิ่งไปไหน ต่อทั้งสองก็ยังวิ่งเคียงคู่กันไปได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม มีสายลมหนึ่งได้ผ่านตัวพวกเขาไป
เสือตัวนั้นได้ร้องคำรามออกมาและมันก็ได้ไปหยุดต่อหน้าพวกเขาไม่ให้วิ่งไปต่อ
พวกเขาเกือบหยุดไม่ทันจนแทบจะไปชนเสือตัวนี้
พวกเขาได้หันหลังและเตรียมตัวที่จะวิ่งไปอีกทาง แต่พอหันไปก็เห็นเสือตัวนั้นรออยู่แล้ว
พวกเขาได้แต่ตกตะลึงนั่นก็เพราะว่าต่อให้มันเป็นเสือก็จริง แต่ความเร็วขนาดนั้นย่อมไม่มีทางเป็นเสือธรรมดาไปได้
ในตอนนั้นเองทั้งคู่ก็รู้สึกเสียขวัญขึ้นมาในทันที แต่ก่อนที่พวกเขาจะคิดทำอะไรบ้าๆ เสือตัวนั้นก็ยังไม่ได้ทำอะไรพวกเขา และมันก็ยกขาหน้าและยืดตรงไปทิศทางหนึ่งประหนึ่งดังจะพยายามบอกให้พวกเขาไปทางที่มันชี้ไป
“มันทำอะไรน่ะ” หนุ่มสาวทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ด..ด..ดู..เหมือนว่ามันอยากให้เราไปทางนั้นนะ” สาวหัวทองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อย่า…อย่าพูดโง่ๆน่า เสือมันจะมาชี้เส้นทางให้พวกเราได้ยังไง” ชายหน้าหวานพูดออกมาด้วยเสียงต่ำพร้อมกับทำเสียงในลำคอเพื่อแสดงว่าไม่มีทาง
“แล้วนายคิดว่ามันต้องการอะไรหล่ะ” สาวหัวทองได้พูดพลางเริ่มโวยวายด้วยความหวาดกลัว
ทั้งสองยังพยายามหาทางวิ่งหนีต่อไปอีกครั้งแต่เสือก็ยังบล็อคทางของพวกเขา
จนในที่สุดทั้งสองก็ได้ตัดสินใจวิ่งไปทางที่เสือตัวนี้ชี้ คราวนี้มันไม่ได้มีท่าทางห้ามแต่อย่างใด มันทำเพียงแค่เดินตามอย่างช้าๆเท่านั้น
“เห็นไหม มันต้องการให้เรามาทางนี้จริงๆด้วย” สาวหัวทองพูดออกมาด้วยท่าทางงุนงง
“จริงแหะ นี่มันเสือประเภทไหนกันเนี่ย ดูๆไปแล้วนี่มันก็ไม่ใช่ทางที่จะออกไปจากเกาะเลยนะ ไม่ใช่ว่ามันอยากจะพาเรากลับไปยังถ้ำทั้งยังเป็นๆก่อนที่จะขุนให้อ้วนแล้วกินหรอกนะ”
ทั้งสองเมื่อนึกได้ดังนั้นก็ถึงกับขนหัวลุกก่อนที่จะหยุดเดิน ทันทีทั้งสองหยุด เสือตัวนั้นได้คำรามอีกครั้งด้วยเสียงที่ค่อนข้างกรรโชก
ทั้งสองกลัวมากจนแทบจะกลัวจนตายอยู่แล้ว
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ต่อให้ไม่อยากยังไงก็ตามในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาจะทำได้นั่นก็คือเดินไปตามที่เสือชี้นำไป และมีเสือตัวนั้นคอยเดินควบคุมทิศทางเอาไว้
ตั้งแต่เจอเสือตัวนั้นจนบัดนี้ พวกเขาก็ได้แต่กลัวจนหน้าซีดไม่มีร่องรอยของเลือดที่ไปเลี้ยงบนใบหน้าแม้แต่น้อย