GGS:บทที่ 832 ผีร้ายแห่งเกาะทะเลทราย(3)

 

จากการที่ทั้ง 5 คนถูกแบ่งออกไปเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือชายหนุ่มหน้าหวานและสาวผมทองในตอนนี้กำลังโดนเสือบังคับขู่เข็ญไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง อีกฟากหนึ่งเองก็สถานการณ์ไม่ได้ดีไปกว่ากันซักเท่าไหร่

ตอนแรกที่กลุ่มของเชิงชิเหยาวิ่งหนีออกมานั้นเป็นเพราะการที่ถูกจ่าฝูงค้างคาวโจมตี และหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รู้สึกโล่งใจไปได้พักหนึ่งเพราะว่าจ่าฝูงค้างคาวได้ตามกลุ่มของสาวผมทองไป

แต่พวกเขาวิ่งไปได้เพียง 30 เมตรเท่านั้น จ่าฝูงค้างคาวก็ได้ปรากฏต่อหน้าพวกเขาอีกครั้ง และพวกเขาก็ได้ถูกโจมตีด้วยคลื่นเสียงอีกครั้งหนึ่งทำให้ชิเหยาและชายตัวสูงถึงกับหัวหมุนจนเกือบหมดสติไปในระหว่างที่วิ่ง พวกเขาหัวหมุนจนขนาดที่ว่าหลงทิศหลงทางกันเลยทีเดียว

 

ในที่สุดกลุ่มของชิเหยาและชายร่างสูงก็ได้หลุดพ้นจากอณาเขตป่า พวกเขาได้ดีใจอย่างมาก ภาพที่พวกเขากำลังเห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็คือที่ราบที่มีเถาวัลย์กองใหญ่คลอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง และต้นหญ้าเป็นหย่อมๆ

ในตอนที่พวกเขากำลังพยายามแหวกเถาวัลย์ออกไปนั้น

อยู่ๆเถาวัลย์ก็เลื้อยเข้ามาพันขาเอาไว้ราวกับว่าจะเป็นงูตัวหนึ่งเลยก็ไม่ปาน บอกได้เลยว่าเหตุการณ์นี้น่าประหลาดเสียยิ่งกว่าการที่ได้เผชิญหน้ากับฝูงค้างคาวยางเทียบไม่ติด

 

“อ๊า…” เชิงชิเหยาร้องกรี๊ดออกมาดังลั่น ก็ไม่ใช่เรื่องหน้าแปลกที่เธอจะกรี๊ดออกมาเพราะว่าเหตุการณ์มันน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าที่หญิงสาวคนหนึ่งจะรับไหว อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ต่อให้ผู้ชายมาเจอก็คงต้องแต๋วแตกกันบ้าง

ต่อให้เป็นคนที่ไม่กลัวงู แต่การที่ต้องมาเจอเถาวัลย์แบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรยินดีเลยซักนิด

“ปล่อยนะโว๊ย” ชายร่างสูงได้ตะโกนออกมา เขาพยายามที่จะดึงเชิงชิเหยาออกมา

แต่ด้วยการที่เถาวัลย์นั้นได้พันข้อเท้าของเธอเอาไว้แน่นจนเหมือนเชือกเส้นหนาๆ

ต่อให้ดึงยังไงก็ไม่ทางหลุดออกมาได้แน่นอน แถมเถาวัลย์เองก็ได้เร่งรีบเลื้อยเข้าไปพันแข้งพันขาและโอบล้อมลำตัวของทั้งคู่เอาไว้ ก่อนที่จะลากทั้งคู่ลงไปยังใต้ดิน

ในตอนนี้อย่าว่าแต่จะดิ้นให้หลุดเลย พวกเขาขยับตัวยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

สาวน้อยได้ตื่นขึ้นมาในตอนนี้เพราะรู้สึกเจ็บแปลกๆทั่วลำตัว แต่พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เธอร้องลั่นดิ้นไปดิ้นมาราวกับปลาที่ถูกโยนขึ้นมาเหนือน้ำ

“จิง…ฮง..เราจะทำ…ยังไงกันดี เถาวัลย์พวกนี้..ม..มันคืออะไรกันแน่” เชิงชิเหยาพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“ฉ…ฉันก็ ไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มร่างสูงในตอนนี้เอาจริงเขานั้นกลัวจนร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เขาก็เหนื่อยจนเหงื่อกลบคราบน้ำตาของเขาไปหมด แค่พวกเขาเจอจ่าฝูงค้างคาวตัวเป็นๆก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ตอนนี้พวกเขายังต้องเจอเถาวัลย์ที่รัดพันตัวพวกเขาอยู่อีก เกาะนี้มันอะไรกันแน่ พวกเขาไม่น่าเข้ามาเหยียบเกาะนี้เลย

“พี่…พี่ชิเหยา พวก…นี้…ฮึก…มันลากเราไปกิน…ฮึก…ใต้ดินใช่…ฮึก…รึเปล่าคะ” สาวน้อยสะอื้นออกมา

“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีทาง ไม่มีพืชที่ไหนที่จะกินคนหรอกนะ” เชิงชิเหยาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเข้าไว้ ไม่ว่าเธอกลัวมากจนอยากกจะสลบไปซักแต่ไหนก็ตาม

เพราะว่าเธอเองก็ได้กลิ่นเนื้อเน่าๆออกจากเถาวัลย์จนตอนแรกเธอคิดว่าต้องโดนลากไปกินแน่ๆ แต่เธอมีความรู้สึกว่าทำอย่างนี้จะทำให้สถานการณ์ดีกว่า

“ทำไม…ฮึก…ทำไมจะไม่ล่ะ หนู…ฮึก…เคยได้ยินว่ามีต้นไม้กินคนอยู่ในโลกด้วยนะ ต้นนี้ต้องมันแน่ๆ ฮึก…พวกเราไม่น่ามาที่นี่เลย ฮือฮือ” สาวน้อยในตอนนี้เธอเริ่มร้องไห้ออกมาจนหยุดไม่ได้แล้ว

 

ชายร่างสูงและเชิงชิเหยาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงให้สาวน้อยหยุดร้องไห้ดี ดูท่าแล้วไม่ว่าเธอกับชายสูงจะพูดยังไงก็คงจะช่วยปลอบสาวน้อยได้อีกแล้ว เมื่อลงไปถึงจุดหนึ่ง เชิงชิเหยาได้ลอง

ไปรอบๆเพื่อหาอะไรบางอย่างมาแก้ไขสถานการณ์อย่างหินสักก้อน จนเธอเห็นก้อนเล็กๆก้อนหนึ่ง ชายร่างสูงเองก็ทำเช่นเดียวกันจนกระทั่งเจอกระดูกชิ้นหนึ่ง

ทั้งสองได้ใช้กระดูกและหินที่เจอพยายยามเฉือนเถาวัลย์เพื่อทำให้มันขาด แต่ดูเหมือนว่าผิวของเถาวัลย์แข็งแรงมากจนทำอะไรไม่ได้เลย

ชายร่างสูงเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลเขาจึงถอดเสื้อคลุมของเขาออก หลังจากนั้นนำไปผูกกับกระดูกแล้วพยายามยัดกระดูกที่พันเชือกไว้ตรงรอยแยกต่างตรงหน้าจนยัดเข้าไปได้

เขาพันมือของเขาและให้เชิงชิเหยาและสาวน้อยจับเขาเอาไว้ แต่ด้วยการที่เถาวัลย์นั้นแข็งแรงมากจนทำให้เสื้อตัวนั้นขาด

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาสายตาชินกับความมืดก็ได้เห็นจ่าฝูงค้างคาวบินลอยลงมาห่างๆ เขาเองก็ได้คิดแล้วว่าต่อให้หลุดจากเถาวัลย์นี้ไปได้ยังไงก็ไม่รอดจากจ่าฝูงค้างคาวอยู่ดี ตอนนี้เขาเองก็ได้ยอมถอดใจที่จะดิ้นรนแล้ว

 

เมื่อพวกเขาหลุดมาอยู่พื้นที่หนึ่งเมื่อสังเกตุแล้วเหมือนจะเป็นถ้ำว่างๆแห่งหนึ่ง เถาวัลย์นั้นได้หยุดเคลี่อนไหว ทันใดนั้นพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินใกล้เข้ามา พวกเขาพยายามดิ้นหันๆไปดู

เมื่อพวกเขาได้เห็นก็ทำได้เพียงตกใจจนนิ่งแข็งค้างไปจนไม่รู้สึกถึงเสียงหัวใจตัวเองเต้นจากความกลัวอีกแล้ว

ภาพที่พวกเขาได้เห็นในตอนนี้ก็คือชายหน้าหวานกับสาวผมทองกำลังค่อยๆเดินตรงมาทางเขา

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจจนขีดสุดนั่นคือเสือ เสือที่ดูสวย งาม สง่า และดูทรงพลังที่กำลังเดินตามทั้งสองคนอยู่ห่างๆ มันช่างเป็นเสือที่ดูน่าดึงดูดยิ่งกว่าคนสวยๆหลายๆคนจนไม่อยากจะละสายตาไปไหน

เสือตัวนั้นดึงดูดสายตาจนพวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความกลัวอีกต่อไป ถึงแม้ทั้งสามจะเริ่มตั้งสติได้แต่พอเห็นว่าสิ่งสวยงามที่เห็นนั่นคือเสือ พวกเขาก็กลับมาตกใจอีกครั้ง

เมื่อสาวผมทองและชายหน้าหวานเห็นคนรู้จักที่พัดพรากจากกันไปเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ยังมีชีวิตอยู่

ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ แต่เมื่อเข้าไปเห็นสถานการณ์ใกล้ๆ พวกเขาก็ถึงกับตกใจจนต้องยืนหายใจหนักๆอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ

นั่นก็เพราะสิ่งที่พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นนั้นก็คือเถาวัลย์ที่เลื้อยพันลำตัวเพื่อนของเขาประดุจงู นี่มันผีบ้าอะไรกันแน่

 

ในขณะที่สาวผมทองและชายหน้าหวานกำลังตะลึงจนนิ่งสนิทนั้น เมื่อเสือตัวนั้นเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันรีบพุ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเถาวัลย์กองนั้น และได้คำรามออกมาจนดังลั่น

เชิงชิเหยาและอีกสองคนเห็นดังนั้นถึงกับหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว ทันทีที่ได้ยินเสียงทั้งสามคิดว่ากำลังจะโดนเสือกินจนหลับตาลงด้วยความกลัวตาย

แต่เมื่อพวกเขาหลับตาไปซักพักแล้วไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจึงได้หรี่ตาขึ้นมา สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือเถาวัลย์ส่วนหนึ่งที่กำลังสั่นอยู่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสือตัวนั้น และเสือตัวนั้นก็ได้คำรามอีกครั้งราวกับมันกำลังสื่อสารกันอยู่

สักพัก เถาวัลย์ที่รัดพันทั้งสามที่หยุดนิ่งก่อนหน้านี้ อยู่ๆพวกมันก็สั่นและค่อยๆหย่อนทั้งสามลงพื้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ทั้งสามหลุดออกมา เมื่อเสือได้เห็นดังนั้นมันได้คำรามดังกว่าเดิม

คราวนี้เหมือนในอากาศมีรอยอะไรบางอย่างแหวกอากาศที่อยู่ตรงหน้าเสือแล้วพุ่งเข้าใส่เถาวัลย์ตรงหน้ามันจนฉีกขาดราวกับว่าเหมือนมีมีดคมกำลังหั่นผักอย่างง่ายดาย

เถาวัลย์เองก็เหมือนพยายามจะใช้เถาวัลย์พุ่งแทงไปที่เสือนั่น แต่พวกมันก็ได้ถูกตัดขาดอย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน

จนสุดท้ายเถาวัลย์กองนั้นก็ได้สั่นไปทั้งกองราวกับหวาดกลัว และมันก็ได้ปล่อยทั้งเชิงชิเหยา ชายร่างสูง และสาวน้อยออกจากพันธนาการทั้งหมด

ตอนนี้ทั้งสามคนพยายามทำความเข้าใจกับฉากที่เห็นเมื่อครู่ จนในที่สุดก็เริ่มเกิดคำถามในหัวว่าเสือตัวนี้ช่วยพวกเขาไว้งั้นเหรอ

ต่อให้สิ่งที่พวกเขาคิดเกิดเป็นอย่างนั้นจริงๆต่อพวกเขาก็อยากที่จะสงบใจขึ้นมาได้

ในตอนนี้พวกเขากลัวว่าทันทีที่ขยับตัวเสือตัวนั้นจะคำรามออกมาและตัดพวกเขาเป็นชิ้นๆในทันที

ต่อให้มันไม่ได้คำรามจนฉีกเถาวัลย์เป็นชิ้นๆแบบเมื่อกี้นี้

แต่ยังไงซะสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือเสือ มันยังคงมือเขี้ยวอันใหญ่โตและกรงเล็บอันแหลมคมพร้อมที่จะทำร้ายพวกเขาทันทีที่ต้องการ

แถมตอนนี้มันยังคงจ้องพวกเขาตาเขม็งอีกด้วย

 

ผ่านไปซักพัก ทั้งห้าคนได้มานั่งรวมๆกัน นิ่งๆ ไม่กล้าขยับไปไหน อยู่กลางลานกว้างแห่งหนึ่ง

นั่นก็เพราะในตอนนี้พวกเขาได้โดนล้อมจากทั้งสามทิศทาง หนึ่งคือเถาวัลย์อันน่าสะพรึง หนึ่งคือค้างคาวตัวใหญ่โต และอีกหนึ่งคือเสือร้อยที่สุดแสนจะทรงพลัง

ตอนนี้พวกเขาตกอยู่สภาพราวกับว่าติดอยู่ในห้องโล่งๆต่อรายล้อมไปด้วยกับดักร้ายรอบด้าน

“ฮืออออ…. พวกเราไม่น่าเข้ามาที่นี่เลย” ชายหน้าหวานได้พูดโอดครวญออกมาในขณะร้องไห้

เชิงชิเหยาและสาวๆคนอื่นๆเองก็อยากร้องไห้ออกมาเหมือนกัน

ถึงตอนแรกดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบแล้ว จนสุดท้ายก็เหมือนมีความหวังขึ้นมา

แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากต่อสู้น้อยๆแต่ทรงพลังอย่างมาก ในที่สุดดูเหมือนว่าชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ภายใต้การตัดสินใจของเจ้าเสือตัวนี้เท่านั้น

“อย่าเพิ่งถอดใจกันไปซิ อย่างน้อยๆดูเหมือนว่าพวกมันจะยังไม่อยากฆ่าเรานะ” ชายร่างสูงที่พอจะเริ่มอ่านสถานการณ์ออกแล้วได้พยายามปลอบขวัญคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างนั้นก็ตาม

“เกาะนี้มันอะไรกันเนี่ย ทำไมถึงมีทั้งค้างคาวที่ทำให้คนหมดสติ เถาวัลย์ที่มีชีวิตราวกับงู ไหนจะเสือที่ดูดีและราวกับเข้าใจภาษาคนนี่อีก ทำไมเกาะนี้มันถึงได้พิศดารพันลึกขนาดนี้” สาวหัวทองบ่นอุบอิบออกมานะขณะที่กำลังสะอื้นอยู่

“เดี๋ยวนะ สัตว์ที่มีท่าทางฉลาดเฉลียว ทรงพลัง และแปลกประหลาดกว่าสัตว์ทั่วไป ทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆกันหล่ะ”

ตอนนี้หัวใจของเชิงชิเหยาเริ่มเต้นตึกตักขึ้นมา ถึงแม้เธอจะรู้สึกคุ้นเคยกับคำเหล่านี้แต่เธอก็ยังไม่กล้าพูดมันออกมาเพราะเธอเองก็ยังไม่แน่ใจ

 

ในตอนนั้นได้มีเสียงๆหนึ่งดังลั่นทั่วท้องฟ้า พวกเขาได้เงยหน้าขึ้นไปมองก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่มีสีทองอร่ามค่อยๆร่อนลงมา

มันมีปีกอันกว้างใหญ่จนทุกครั้งที่มันกระพือเพื่อลดความเร็วในขณะร่อนลง สายลมอันรุนแรงได้กระทบพื้นและพัดมายังพวกเขาแรงพอประมาณจนทำให้พวกเขาต้องเบือนหน้าหนี

สัตว์ปีกยักษ์ตัวนั้นได้ลงมาหยุดยังพื้นตรงหน้าพวกเขาด้วยความสง่างาม พอพวกเขาหันไปอีกทีก็เห็นเป็นคนๆหนึ่งยืนอยู่ข้างๆนกอินทรีสีทองตัวใหญ่ยักษ์

คนๆนั้นก็คือซูจิ้งนั่นเอง