GGS:บทที่ 833 จะทำยังไงกับพวกเธอดีล่ะ
ซูจิ้งที่ลงมาจากหลังอินทรีย์ทองคำในตอนนี้ต่อหน้าเชิงชิเหยานั้นช่างดูหล่อเหลาตราตรึงใจเธอ แต่กับคนอื่นๆที่เห็นนั้นโคตรจะน่าตกตะลึงจนตราตรึงใจเช่นกัน
ต่อให้เคยได้ยินว่าอินทรีย์ทองนั้นตัวใหญ่และแข็งแรงจนบินพาคนไปได้แถมยังเคยผ่านตาในอินเตอร์เน็ตมาบ้างแล้วก็ตาม
แต่ระหว่างเห็นผ่านวีดิโอกับเห็นกับตาตัวเองนี่ช่างดูน่าตื่นตาตื่นใจต่างกันมากจริงๆ
แถมพวกเขายังรู้สึกได้เลยว่าอินทรีย์ทองตัวนี้ใหญ่กว่าที่เห็นในอินเตอร์เน็ตมากนักจนเหมือนกับหลุดออกมาจากหนังเลยด้วยซ้ำ
เชิงชิเหยาที่คืนสติสตังกลับมานั้นก็ได้มองชนิดที่เรียกว่าไม่อยากจะกระพริบตาเลยด้วยซ้ำพลางคิดในใจว่า นี่เขาคงจะรอสร้างความประทับใจให้พวกเราอยู่สินะ
ไม่นานนักสาวน้อยที่ตั้งสติได้ก็ได้รีบร้องโวยวายออกมาว่า “คุณซู คุณคือคุณซูใช่รึเปล่าคะ รีบช่วยพวกเราเร็วเข้า”
“อย่ากังวลไปเลยน่า พวกเธอปลอดภัยดีนี่” ซูจิ้งยิ้มออกมา
พวกเขาตอนนี้อยากตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงจริงๆว่าปลอดภัยตรงไหนกัน ตรงนี้มีทั้งเถาวัลย์กินคน เสือร้าย และค้างคาวยักษ์ที่ทำให้คนสลบเหมือดได้
ในตอนนั้นเองเสือร้ายที่อยู่ไกลกว่าใครเพื่อนเมื่อเห็นซูจิ้งมาถึงมันรีบกระโจนไปหาทันที
ทุกคนที่เห็นต่างก็กลัวจนเกือบร้องออกมาเสียงดัง
แต่กลับกลายเป็นว่าภาพที่ทุกคนเห็นในตอนนี้ก็คือ เสือร้ายเขาไปคลอเคลียซูจิ้งโดยการเอาหัวไปดันมือ เอาหน้าไปถูขา และเอาตัวไปถูตัวพลางเดินวันไปรอบตัวซูจิ้งราวกับเป็นลูกแมวขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
จ่าฝูงค้างคาวเองก็รีบบินตรงไปเกาะที่บ่าซูจิ้งและอยู่นิ่งๆ ราวกับเหนื่อยจากงานมาทั้งวันแล้วเจอบ้านที่นอนได้อย่างสบายใจ
แม้แต่เถาวัลย์เองก็สั่นระลึกไปมาราวกับเริงระบำอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกว่ามันกำลังมีความสุขมากต่างจากตอนที่เจอเสือร้ายขู่จนตัวสั่นอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นในตอนนี้ต่างก็หน้าตาโง่งมกันไปหมด เว้นเพียงเชิงชิเหยาที่เธอทำเพียงถอนหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“คุณซู ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด เกาะแห่งนี้สมควรเป็นเกาะของคุณซู ฉันเองก็ได้ยินว่าคุณได้เช่าเกาะร้างเอาไว้เกาะหนึ่ง แต่ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะแจ็คพอตเจอกับตัวขนาดนี้ ขอโทษที่เข้ามายุ่มย่ามที่นี่ค่ะ”
“ห้ะ เกาะของเขา?” ชายร่างสูงและคนอื่นๆต่างก็ตกใจกันไปหมด
ตอนที่พวกเขาได้ยินตำนานต่างๆของซูจิ้งก็พอรู้ได้ว่าซูจิ้งนั้นสมควรเป็นสัตว์ประหลาดร่างมนุษย์
แต่เกาะของเขากลับประหลาดไปยิ่งกว่าที่เรื่องเล่าเหล่านั้นมากมายนัก
สำหรับเจ้าเสือร้ายตัวนั้นพวกเขาพอจะยอมรับได้ แต่ค้างคาวกับเถาวัลย์นี่สิหากมีคนรู้ต้องมึนงงจนล้มตึงแหงๆเพราะมันขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปจนเกินไป และพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนทั่วไปเหล่านั้น
หมอนี่กำลังวิจัยอะไรบางอย่างบนเกาะนี้รึเปล่านะ
“ใช่แล้วหล่ะ นี่คือเกาะของผม ผมเองก็ได้รับสายจากพี่ซือหยามาว่าเธอ(ชิเหยา)จะมาที่นี่ ให้ฉันคอยพาเธอเที่ยว
แต่ผมเองก็ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าคุณจะพาเพื่อนมาที่เกาะนี่
เป็นยังไงบ้าง สัตว์เลี้ยงที่ผมฝึกมาอย่างดีนี่ทำให้คุณเจ็บตัวบ้างรึเปล่า” ซูจิ้งยิ้มออกมาแสดงความเป็นมิตรอย่างที่สุด
“ไม่ไม่ไม่ พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรพวกเราเลย” ตอนนี้ทุกคนอยากจะตอบว่าใช่แถมอยากจะโวยวายเรียกหาความรับผิดชอบซะด้วยซ้ำ แต่สัญชาติญาณของพวกเขาที่เห็นรอยยิ้มละไมของซูจิ้งบอกพวกเขาว่าให้ตอบว่าไม่
“เฮ้ออออ ก่อนจะมาที่นี่พี่ซือหยาก็บอกฉันไว้แล้วให้มาหาคุณก่อน แต่ฉันก็คิดว่าคุณยุ่งมากจนไม่อยากรบกวนคุณ ถ้ารู้อย่างนี้ฉันน่าจะไปหาคุณตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”
ตอนนี้เชิงชิเหยาเองก็อยากจะร้องไห้ออกมาใจจะขาด ใครจะไปคิดว่าแค่มาเที่ยวเล่นสบายๆท่ามกลางท้องทะเล อยู่ๆจะกลายเป็นทริปสุดแสนสยองขวัญขนาดนี้ เกาะนี้ทำให้เธอกลัวสุดๆ
“ฮี่ฮี่ ผมเองก็รู้ว่าพวกคุณหวาดกลัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวไปหรอกนะ สัตว์เลี้ยงของผมนั้นไม่ทำอันตรายใครหรอก ตราบใดที่ผมไม่อนุญาตพวกมัน
ดูเสือน้อยนี่สิน่ารักมากเลยเห็นไหม แถมเจ้าค้างคาวนี่ยังเชื่องมากเลยนะ อยากมาสัมผัสพวกมันหน่อยรึเปล่า”
พูดเสร็จซูจิ้งวางมือบนหัวทั้งสองตัว และทั้งสองตัวก็ได้เลียมือของซูจิ้งพร้อมทั้งทำท่าทางดี๊ด๊าออกมา แถมพวกมันยังแลบลิ้นออกมาเลียมือของซูจิ้งราวกับพวกมันเป็นลูกแมวลูกค้างคาวเมื่อเห็นแม่ก็ไม่ปาน
“ไม่ ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ” สาวน้อยหัวทองส่ายหัวปฏิเสธในทันที
เธอเองแทบอยากจะตะโกนออกมาว่า มันเชื่องเฉพาะกับนายเท่านั้นแหล่ะ พออยู่ต่อหน้าคนอื่นพวกมันโหดร้ายราวกับจะเอาชีวิตให้ได้
ก็ใช่พวกมันน่ารักในตอนนี้แต่ยังไงซะเธอจะไม่ยอมแตะมันแน่นอน แม้แต่เงาก็จะไม่แตะ
“งั้น…ผมจะพาพวกคุณออกจากที่นี่แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“นั่นแหล่ะ” พวกเขาพยักหน้าและพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พวกเขาอยากจะออกจากนี่ใจจะขาดและจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย พวกเขาตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่แล้ว
ซูจิ้งได้เดินนำทั้งห้าคนกลับไปยังเรือยอร์ชที่จอดอยู่ เพื่อที่จะได้ขับเรือกลับไปยังชายหาดในเมืองฉิงหยุน
ระหว่างที่กำลังนั่งเรือเล็กเพื่อกลับไปที่เรือยอร์ชนั้น ซูจิ้งได้ไปนั่งที่หัวเรือและได้พูดประโยคอันชวนให้ทั้งห้าคนต้องรู้สึกหนึกอึ้งออกมาว่า “อืมมมมม เรื่องนี้ค่อนข้างหน้าปวดหัวหน่อยๆแหะ ฉันจะทำยังไงกับพวกคุณดีน้า……”
“ห้ะว่าไงนะ ทำไมล่ะ…” ชายหน้าหวานมึนงงกับคำพูดของซูจิ้งในทันที
“เอ่ออออ คุณซูหมายความว่ายังไงกันครับ” ชายร่างสูงเองถึงแม้จะงงกับคำถามไปพักหนึ่ง และอยู่เขาก็รู้สึกกังวลกับคำพูดของซูจิ้งขึ้นมาราวกับรู้ความหมาย
สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจได้เพียงยืนรอฟังการตัดสินใจของซูจิ้งอยู่นิ่งๆเท่านั้น หากเป็นคนอื่นเขาคงพุ่งเข้าไปเล่นงานตั้งนานแล้วอย่างหาวหาญ แต่กับซูจิ้งเขานั้นไม่มีความกล้าพอ
เขาเองก็เคยได้เห็นฉากที่ซูจิ้งไล่อัดนักคาราเต้สี่สิบคนมาแล้ว และรู้ได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองว่าเขานั้นสู้ไม่ได้เลยสักนิด
แถมตอนนั้นใครดูก็รู้ว่าซูจิ้งไม่ได้เอาจริงเลยแม้แต่น้อย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงที่เขานั้นมีเหล่าสรรพสัตว์อันสุดแสนจะน่าขนลุกบนเกาะนั้นอีก
แค่อินทรีย์ทองยักษ์นั่นก็มากพอที่จะทำให้เขานั้นคิดหนักจนเมาหัวราน้ำไปตลาดชีวิตแน่นอนหากมีเหตุต้องสู้กัน
“คุณซูคะ พวกเราไม่มีทางจะพูดเรื่องบนเกาะนี้ออกไปให้ใครฟังแน่นอนค่ะ ด้วยความเคารพต่อพี่ซือหยาแล้วคุณซือสามารถคลายกังวลไปได้เลย” เชิงชิเหยาหัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยท่าทางน่ารักน่าทะนุถนอม
“คุณเชิงนั้นฉลาดจริงๆที่รู้ความคิดผมได้ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทำให้ผมนั้นไม่สามารถให้คนนอกล่วงรู้เรื่องบนเกาะนี้ได้
แต่ต่อให้คุณเอาชื่อของซือหยามาอ้าง ผมเองก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของเรื่องบนเกาะได้จากพวกคุณทุกคน
แน่นอนว่าผมเองก็มีวิธีที่ทำให้ผมมั่นใจได้สุดๆแต่ก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ พวกคุณไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรหรอกแค่จะรู้สึกเพียงง่วงนอนจนผล็อยหลับไปกันเท่านั้นเอง”
สิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมานั้นทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกสับสนกับคำพูดเหล่านั้นกันไปหมด ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกหัวหมุนจนล้มพับลงไปกองกับพื้น
ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตของเขาและทำการสะกดจิตเพื่อลบความทรงจำบนเกาะนี้โดยตรง
หลังจากนั้นก็ได้มีก้อนหินก้อนใหญ่ลอยมาชนกาบเรือจนเรือโครงอย่างหนักและทำให้น้ำไหลเข้าเรือจนจมลงไประดับหนึ่ง ตอนนี้เรืออยู่ในสภาพอับปางไปครึ่งลำ
ทั้ง 5 คนกำลังนอนระเกะระกะอยู่บนชายฝั่งราวกับว่าเรือของพวกเขาเผชิญหน้ากับลมพายุลูกใหญ่จนเรืออับปางแต่โชคดียังรอดมาได้
ซูจิ้งได้ทำการปลุกทุกคนโดยการตบหน้าเบาๆ หยิกแก้ม แม้แต่การเอาน้ำทะเลมากรอกปาก จนทำให้ทั้งหมดสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจนได้ พวกเขาสำลักน้ำเล็กน้อยและสับสนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“คุณซู คุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วที่นี่เกิดอะไรขึ้น” เชิงชิเหยาทำท่าเหมือนเพิ่งได้เจอซูจิ้งเป็นครั้งแรกของวัน
“เจ๊ซือหยาโทรมาบอกฉันว่าให้พาเธอไปเที่ยวเล่นน่ะ ไม่คิดว่าตอนที่ตามหาจนเจอก็ไม่คิดว่าจะมาเจอบนเรืออับปางแบบนี้ ดีนะเนี่ยที่ผมลากพวกคุณขึ้นมาจากทะเลได้ทัน ไม่เช่นนั้นพวกคุณคงได้ตายแล้วแน่ๆ คราวหน้าขอแนะนำว่าอย่าได้ออกจากชายฝั่งไปไกลขนาดนั้นโดยไม่มีเซฟการ์ดตามไปด้วยนะ”
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็สับสนกับเหตุการณ์ไปจนหมดกับคำพูดของซูจิ้ง
ถึงพวกเขาจะยังคงรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง เพราะภาพจำสุดท้ายของทุกคนในตอนนี้ก็คือตอนที่หนุ่มหน้าหวานกำลังซิ่งเรือด้วยความเร็วสูง
และพวกเขาเองก็ปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูกว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับว่าความทรงจำส่วนหนึ่งจะหายไปก็ตาม
สุดท้ายแล้วชายหน้าหวาน สาวผมทอง และสาวน้อยไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้นอีกต่อไป ในเมื่อเห็นสภาพตอนนี้แค่รู้ว่ารอดมาได้ก็ถือว่าเกินพอสำหรับทั้งสามคนแล้ว
แต่กับเชิงชิเหยาและชายร่างสูงต่างก็ยังขมวดคิ้วและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดให้ออก แน่นอนว่าด้วยฝีมือระดับซูจิ้งนั้น นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออก
“ขอบคุณค่ะคุณซู ถ้าไม่ได้คุณพวกเราคงตายกันไปแล้ว ว่าแต่ทำไมพวกเราถึงมีรอยมากมายบนร่างกายขนาดนี้กันล่ะ”
เชิงชิเหยาได้ถามออกมาทันทีที่เห็นร่องรอยความผิดปกติบนร่างกายของเธอ พวกมันเป็นเส้นๆแดงๆราวกับว่าโดนแมงกระพรุนไฟเลยก็ว่าได้
ซูจิ้งก็ได้ทำการชี้ไปยังอินทรีย์ทองที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ผมไปเจอพวกคุณตอนที่กำลังขี่อินทรีย์ทองอยู่ ต่อให้มันแข็งแรงขนาดไหนแต่มันก็ไม่สามารถที่จะแบกคนที่หมดสติพร้อมกันขนาดนี้ไหว ผมเลยจัดการหาเชือกมามัดพวกคุณไว้แล้วให้อินทรีย์ทองยกพวกคุณที่มัดรวมกันไว้มาน่ะ ไม่งั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตพวกคุณทั้งหมดได้ทันยังไงเหมือนกัน”
แม้ว่าเชิงชิเหยาและคนอื่นๆยังมีคำถามคาใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เลิกคิดที่จะใส่ใจอีกต่อไป
เพราะยังไงซะพวกเขาก็รู้ด้วยจิตใจที่อยู่ลึกๆข้างในว่าพวกเขารอดตายมาได้เพราะซูจิ้ง
ซูจิ้งยังคงอยู่ต่อและได้ลองกระตุ้นอะไรหลายๆอย่างกับทุกคนจนแน่ใจว่าพวกเขานั้นลืมเรื่องเกาะทะเลทรายของเขาไปแล้วจริงๆ
ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจจะสร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้กับทุกคนในที่นี้ชนิดที่ว่าคนธรรมดาคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน