GGS:บทที่ 834 ฝึกวาดภาพเขียนจีน
หลังจากที่ซูจิ้งได้พาเชิงชิเหยาและคนอื่นๆกลับไปยังชายหาดอย่างปลอดภัยแล้ว เขาได้ไปยังอู่เจ้าของเรือยอร์ชเพื่อจ่ายค่าเสียหาย
แน่นอนว่าเงินส่วนนี้เป็นเชิงชิเหยาและคนอื่นๆรับผิดชอบ
หลังจากทั้ง 5 คนได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ซูจิ้งได้ชวนทุกคนไปที่บ้านและได้ทำซุปและโจ๊กมะละกอให้กิน
เพียงคำแรกที่พวกเขาได้กินเข้าไปทำให้ทุกคนมีความสุขมากๆราวกับว่าลืมเรื่องราวที่เคยเกือบตายไปแล้วเป็นปลิดทิ้ง บางคนถึงกับคิดว่าถ้าพวกเขาไม่ได้เจอเรื่องร้ายๆมา ซูจิ้งคงไม่เห็นใจจนยอมทำของอร่อยแบบนี้ให้พวกเขากินแน่ๆ
หลังจากทุกคนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ซูจิ้งได้เห็นเชิงชิเหยานำเอากระดานวาดรูป พู่กัน น้ำหมึก กระดาษ แท่นฝนหมีก และอุปกรณ์ต่างๆออกมา
นั่นทำให้ซูจิ้งนึกย้อนไปถึงตอนที่เคยเห็นหวังซือหยาสเก็ตรูปเสื้อผ้าและเขาเองก็ได้ครูลักพักจำเทคนิดเหล่านั้นมาได้พอสมควรเลยทีเดียว เมื่อเห็นโอกาสอยู่ตรงหน้าซูจิ้งจึงอดไม่ได้ที่จะถามชิเหยาออกมาว่า
“คุณเชิง นี่เธอสนใจในการวาดรูปด้วยหรอ?”
“ใช่แล้วค่ะ พ่อของฉันเองเป็นอาจารย์สอนการเขียนภาพวาดแบบจีนโบราณ และเขาเองก็พอมีชื่อเสียงด้านนี้บ้างนิดหน่อยทำให้ฉันเองก็หลงใหลการวาดภาพแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว
น่าเสียดายที่ตัวฉันไม่ได้มีทักษะอะไรมากมาย หากอารมณ์ไม่มีก็วาดไม่ออกเหมือนกัน หากวันนี้ไม่มีเรื่องราวอะไรฉันก็คงจะวาดไว้ซักภาพ แต่ด้วยเหตุการณ์ในวันนี้ฉันคงไม่วาดแล้วล่ะ” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ทราบว่าพ่อของเธอคือออ…?”
“เชิงกูยี่ เชิงชิเหยาพูดออกมา”
“โอ้…กลายเป็นว่าคุณเชิงผู้นั้นเป็นพ่อของเธอ” ทันทีที่ได้ยินดังนั้นสายตาของซูจิ้งเป็นประกายในทันที
เขารู้จักชื่อเสียงของเชิงกูยี่ดีว่าเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการวาดภาพเขียนจีนโบราณในประเทศจีนแห่งนี้
ทักษะการวาดภาพของเขาถือได้ว่าอยู่ในระดับสุดยอดแล้ว
อย่างไรก็ตามเขานั้นมักจะหาแรงบันดาลใจไม่ค่อยใจได้จึงไม่ค่อยมีผลงานดีๆออกมาโลดแล่นให้คนทั่วไปได้ประจักษ์ตามากนัก
นี่จึงเหตุผลที่ว่าถึงเขาจะมีฝึมือที่ดีมากแต่ก็มีชื่อเสียงไม่ติดอันท็อบของปรมาจารย์ภาพเขียนจีนซักที
“พี่จิงและฉันเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เชิง เขานั้นเป็นสุดยอดอาจารย์เลยก็ว่าได้ค่ะ หากคุณซูสนใจล่ะก็ไม่มาร่วมโปรแกรมการฝึกของเราในครั้งนี้หล่ะคะ”
“โปรแกรมการฝึก?” ซูจิ้งงงเล็กน้อย
“ใช่ค่ะ พ่อของฉันนั้นอยากมีเป้าหมายที่จะให้การวาดภาพเขียนพู่กันจีนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คุณพ่อเลยเปิดสอนการฝึกเขียนภาพเขียนพู่กันจีนขึ้นมา
หากคุณซูสนใจล่ะก็ฉันสามารถบอกคุณพ่อยอมสอนให้คุณฟรีๆได้เลยค่ะ” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ผมเองก็สนใจที่จะฝึกแน่นอนอยู่แล้วหล่ะ เพียงแต่ผมเองก็ไม่อาจให้เขานั้นยอมสอนผมแบบฟรีๆไปได้หรอกนะ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เราควรจะมอบค่าธรรมเนียมให้แก่อาจารย์” ซูจิ้งพูดออกมา
เชิงชิหยาเมื่อได้ยินดังนั้นรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เธอแค่จะพูดชวนไปแค่พอเป็นพิธีเท่านั้นแต่เธอไม่คิดว่าคนเก่งๆอย่างซูจิ้งจะมีความสนใจงานศิลปะด้านนี้ แถมยังต้องการเข้าร่วมแทบจะในทันทีเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าเธอย่อมยินดียิ่งที่ซูจิ้งเข้าร่วมกลุ่มการเรียนของพ่อเธอ เธอได้พูดออกมาว่า “พ่อของฉันจะสอนตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ แต่สำหรับฉันแล้วจะฝึกเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น
ในเมื่อวันพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าคูณซูว่างสนใจจะเข้าร่วมวันพรุ่งนี้เลยรึเปล่า ฉันจะได้พาคุณไปแนะนำด้วยเลย”
“ว่าง ว่าง” ซูจิ้งพยักหน้ารับในทันที พอคิดถึงว่าจะได้เรียนรู้การเขียนภาพพู่กันจีนจากปรมาจารย์ที่เขานับถือ มีรึที่เขาจะปล่อยโอกาสนี้ไป
เขาได้แสดงท่าทางมีความสุขออกมาอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงบรรดาสาวน้อยอีกสองคนเท่านั้นที่ไม่คิดอะไรมากและยินดีที่ซูจิ้งจะมาเรียนด้วยกัน
แต่กับชายร่างสูงแล้วเขานั้นรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาจนแสดงออกมาด้วยท่าทางอึกอักจนเห็นได้
เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ชอบที่เห็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบไปทำตัวดีกับผู้ชายคนอื่นถ้าเป็นคนอื่นๆเขาคงไม่ใส่ใจ แต่นี่คือซูจิ้งที่มีดีกว่าเขาในทุกด้านเลยก็ว่าได้
เช้าวันต่อมา ซูจิ้งขับรถเข้าเมืองเพื่อไปพบกับเชิงชิเหยาตามที่ได้นัดแนะกันไว้ หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ไปยังสถานที่ฝึกสอนการเขียนภาพพู่กันจีนของพ่อเธอ เมื่อพวกเขาไปถึงก็ได้พบกับชายร่างสูงอยู่กับหญิงสาวน้อยคนเมื่อวานรออยู่ก่อนแล้ว
เชิงชิเหยาจึงได้แนะนำตัวทั้งสองก่อนเนื่องจากไม่มีโอกาส ชายร่างสูงมีชื่อว่า ฮวงจิงฮง และสาวน้อยคนนี้มีชื่อว่า จูหยัน ชื่อเล่นว่าจูน้อย แต่เพื่อนชอบเรียกเธอว่าหมูน้อย
ภายในห้องเรียนนั้นมีนักเรียนอยู่ประมาณ 20-30 คน บางส่วนก็เป็นนักเรียนจริงๆ บางคนก็อายุล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว
เชิงกูยี่ หรือก็คือพ่อชองเชิงชิเหยาเองก็ได้อยู่ที่นี่ด้วย เขาเองก็เป็นชายวัยกลางคนหนึ่งแต่ดูสง่างามและมีขายาวมาก สามารถบอกได้เลยว่าเชิงชิเหยานั้นได้เรียวขาและความสง่างามมาจากใคร
เมื่อชายหนุ่มทั้งหลายเห็นเชิงชิเหยาเข้ามาทุกคนก็ทำตาเป็นประกาย นี่ทำให้ซูจิ้งตั้งคำถามในใจขึ้นมาในทันทีเลยว่าพวกนี้เข้ามาเรียนจริงๆใช่รึเปล่าเนี่ย
แม้แต่ไอ้เจ้าฮวงจิงฮงที่อยู่ข้างๆเขาเองก็คงเป็นพวกเดียวกับพวกผู้ชายเหล่านี้สินะ
เมื่อบรรดาเหล่าชายหนุ่มผู้เห็นเชิงชิเหยาด้วยสายตาเป็นประกายเหลือบไปเห็นซูจิ้งเข้า ประกายที่ฉายมาเหล่านั้นแทบจะมอดดับไปในทันที กลับกลายเป็นเหล่าผู้หญิงที่กรี๊ดกันดังลั่น บางคนก็หันไปคุยกันจนเสียงดังเซงแซ่
ด้วยการที่ซูจิ้งในตอนนี้เป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมชมชอบอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตามย่อมเป็นที่จับตามองเป็นเรื่องปกติ เขานั้นโดดเด่นชนิดที่ว่ามองเห็นแวบเดียวก็รู้เลยว่าเขาคือใคร
“พ่อคะ หนูขอแนะนำเขาให้รู้จักค่ะ คนๆนี้คือซูจิ้ง” เชิงชิเหยาพูดออกมา
“สวัสดีครับ คุณเชิง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความเคารพ
“สวัสดีคุณซู เชิญนั่งได้” เชิงกูยี่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เอาจริงๆเขานั้นก็รู้จักซูจิ้งพอสมควรเหมือนกันแต่ว่าเขานั้นก็ไม่ได้ไว้หน้าซูจิ้งเพียงเพราะเขานั้นเป็นดารา เขาถือว่าซูจิ้งเขามาในฐานะนักเรียนคนหนึ่งของเขา
หลังจากนั้นได้และรอไปซักพัก เชิงกูยี่ก็ได้เริ่มการสอน ในตอนนี้ทุกคนในชั้นต่างก็นำสมุดโน๊ตและปากกาออกมา แน่นอนว่าซูจิ้งไม่ได้ใช้ของพวกนั้นแม้แต่น้อย เพราะเขาจำได้ทันทีแม้แต่จะไม่จะเป็นต้องตั้งใจฟังก็ตาม
เอาจริงๆเขานั้นก็ได้อ่านวิธีการวาดภาพเขียนจีนมาบ้างแล้วในอินเตอร์เนตและเขอเองก็พวกจำได้หมดเช่นเดียวกัน
เพียงแต่ข้อมูลบนอินเตอร์เนตนั้นค่อนข้างสะเปะสะปะและส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามเทคนิคของแต่ละคนเสียมากกว่าชนิดที่ว่าเทคนิคแต่ละอย่างนั้นบอกไม่ได้เลยว่าถูกหรือผิด การที่เขามานั่งฟังถือได้ว่าเป็นการกรองข้อมูลเทคนิคการวาดพวกนั้นอีกที
แต่กลับเกิดเหตุที่ทำให้เขาต้องอึดอัดใจเล็กน้อยก็คือการสอนของเชิงกูยี่นั้นเป็นไปอย่างราบเรียบ
ไม่ได้เริ่มจากการสเก็ตรูปแต่อย่างใด เขาเริ่มบรรยายเทคนิคพื้นฐาน ซึ่งวิธีการนี้ถือได้ว่าดีต่อคนทั่วไปแต่กับซูจิ้งถือได้ว่าเสียเวลาอย่างมาก
หลังจากจบคาบการสอนแล้ว เชิงกูยี่ได้หยุดลงและลองให้ทุกคนลองวาดรูปด้วยวิธีการต่างๆที่เขาสอน
เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง จูหยันและคนอื่นๆต่างก็หยิบอุปกรณ์ของตัวเองขึ้นมาวาด แต่ซูจิ้งเลือกที่จะถามคำถามกับเชิงกูยี่แทน
เชิงกูยี่เห็นว่าอาจจะไปรบกวนสมาธิคนอื่นเขาจริงชวนซูจิ้งไปตอบคำถามหน้าห้องแทน
หลังเชิงกูยี่ตอบคำถามซูจิ้ง เขายังคงถามต่อไป ตอนแรกเชิงกูยี่นั้นก็อยากจะบอกซูจิ้งหลังจากจบคำถามแรกแล้วว่าซูจิ้งนั้นเพิ่งเริ่มเรียน ไม่ควรรีบร้อน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เขาจะไม่เข้าใจ
แต่หลังจากเริ่มตอบคำถามไปได้ซักพักกลายเป็นว่าเขาเองกลับที่จะต้องกลายเป็นฝ่ายมึนตึ้บ นั่นก็เพราะว่าไม่เพียงซูจิ้งจะจำทุกอย่างที่เขาสอนได้ เขายังถามเจาะลึกจากคำถามของเขาได้จนพบแก่นของเทคนิคที่เขาสอนไป
ด้วยความทรงจำระดับนี้ และการเข้าใจสิ่งต่างๆขนาดนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เชิงกูยี่อยากจะลองเชิงดูซักหน่อย
เขานั้นลองพูดให้เร็วขึ้น อธิบายให้ยากขึ้น แต่ซูจิ้งเองนั้นกลับเข้าใจได้เพียงไม่กี่นาที
เมื่อเห็นดังนั้น เชิงกูยี่จึงมอบวีดิโอการสอนเนื้อหาเชิงลึกให้กับซูจิ้งดู มันเป็นวีดิโอที่เขากำลังวาดรูปและสอนไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ซูจิ้งเองก็มองตาไม่กระพริบ หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเพื่อจะไปนั่งแล้วนำพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก และอุปกรณ์อื่นๆออกมา และเริ่มทำการวาดไป
เขาได้การวาดอย่างจริงจังและไม่วอกแวกแม้แต่น้อย เขาทำการวาดทุกสิ่งที่อยู่รอบห้องแต่เขาก็ไม่ได้วาดทุกอย่าง
ถึงแม้ตอนแรกจะดูเหมือนว่าการที่เขาไม่วาดเป็นเพราะวาดไม่ได้ก็ตาม อย่างเช็ดขอบโต๊ะ ผลไม้สด พวกนั้น ซึ่งก็เหมือนกับคนที่เพิ่งหัดวาดทั่วไป
เชิงกูยี่ที่ยืนดูอยู่ข้างๆเองก็ได้แต่ตกตะลึงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้ไปขัดซูจิ้งแต่อย่างใด
ตอนนี้คนอื่นๆในชั้นเรียนมีบางส่วนที่เสร็จบ้างแล้วและเริ่มที่จะไปแอบมองงานของคนอื่นเพื่อที่จะประเมินฝีมือ บางคนก็ยังคงตั้งใจวาดอยู่ รวมถึงเชิงชิเหยาและฮวงจิงฮงที่วาดเสร็จแล้วและออกมาดูดีมากๆ
ทั้งสองเป็นคนที่มีฝีมืออันดับต้นๆของรุ่นนี้เลย แน่นอนว่าทั้งสองคนเองก็มั่นใจในฝีมือของตัวเองอยู่บ้าง ฮวงจิงฮงนี่ยิ้มออกมาอย่างภูมิใจเลยด้วยซ้ำ
ในความคิดของเขานั้นทั้งเชิงชิเหยาและเชิงกูยี่ต่างก็ชอบและหลงใหลในภาพเขียนพู่กันจีนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชิงกู่ยี่ที่เรียกได้ว่าหลงรักเลยก็ว่าได้ เขานั้นเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้ต้องชนะใจทั้งสองได้อย่างแน่นอน
ทุกคนในตอนนี้เริ่มสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติ นั่นก็คือเชิงกูยี่ที่ปกติเมื่อจบช่วงการให้ลองวาดภาพตามที่สอนแล้วจะต้องออกมาดูและติชมงานของพวกเขา บางคนเห็นเขากำลังมองงานของซูจิ้งอยู่นิ่งๆ เงียบๆ และอยู่ในสภาพตกตะลึง พวกเขารู้สึกแปลกใจจึงเริ่มทยอยเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ซักพักคนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน
เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง และจูหยันเองก็เดินไปดู แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นภาพเขียนของซูจิ้ง พวกเขาก็อยู่ในสภาพเดียวกัน