ตอนที่ 1200 เจตจำนงของราชาแห่งเกรย์คาสเซิล

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1200 เจตจำนงของราชาแห่งเกรย์คาสเซิล โดย Ink Stone_Fantasy

“ได้ทุกเมื่อ?” องครักษ์งุนงง “อย่างนั้นถ้าเกิดเป็นตอนนี้…”

“ได้แน่นอน”

นี่ไม่ถือว่าเป็นคำตอบที่เหมาะเท่าไร ตามหลักแล้วเขาควรจะเชิญอีกฝ่ายให้พักผ่อนก่อนซัก 1 – 2 วัน จากนั้นค่อยจัดงานเลี้ยงหรูหราให้ ถ้าไม่พิธีรีตองอะไร อย่างน้อยก็นัดเวลาซักหน่อยก็ยังดี อย่างเช่นตอนกลางคืน เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงตัวแทนของราชาแห่งเกรย์คาสเซิล

แต่บารอนนั้นไม่อยากจะรอแม้แต่นาทีเดดียว ถ้าไม่เป็นเพราะกลัวว่ามันจะดูเสียมารยาทเกินไป อีกทั้งด้านนอกฝนก็ยังตกอยู่ เขาก็อยากจะวิ่งไปหาอีกฝ่ายที่ท่าเรือเลย เพราะทัพเรือที่ใหญ่ขนาดนี้จะต้องทำให้ตระกูลทัสก์กับเรดสโตนเกตสังเกตเห็ฯได้ ถ้าเกิดพวกเขาไปติดต่อกับอีกฝ่ายก่อน เรื่องราวมันจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น

“เออใช่” เมื่อคิดถึงตรงนี้ จีน เบ็ตก็รีบบอกองครักษ์ว่า “เจ้าไปบอกเรื่องราวของสองตระกูลให้คนของเกรย์คาสเซิลรู้เรื่องหน่อยนะ บอกพวกเขาว่าที่อ่าวดีพพูลแห่งนี้มีข้าแค่คนเดียวเท่านั้นที่ตัดสินใจได้”

“ขอรับ นายท่าน”

หลังองครักษ์ออกไปแล้ว จู่ๆ บารอนก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา

บางทีเขาไม่น่าไปบอกว่าเมื่อไรก็ได้เลย ถ้าเกิดอีกฝ่ายรออีก 1 – 2 วันค่อยมาหาเขาตามมารยาทจะทำอย่างไรล่ะ?

เขาควรจะพูดไปตรงๆ แต่แรกถึงจะถูก

ทำไมฝนถึงต้องมาตกตอนนี้ด้วย เหมือนว่าจงใจจะมาหาเรื่องเขาอย่างนั้นแหละ!

บารอนมองดูฝนนอกหน้าต่าง ก่อนจะจมอยู่ในความคิดของตัวเอง

แต่องครักษ์นั้นกลับมาเร็วกว่าที่เขาคาดเอาไว้ เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ขณะเดียวกันยังนำข่าวที่ทำให้เขาดีใจกลับมาแจ้งด้วย

“นายท่าน พวกเขามาแล้วขอรับ”

จีน เบ็ตลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที “เร็ว พาพวกเขาเข้าไปในห้องรับแขกของข้า”

…..

ไม่นานบารอนก็มองเห็นแขกจากเกรย์คาสเซิลอยู่ในโถงรับแขกของคฤหาสน์

จำนวนคนที่เดินเข้ามานั้นมีไม่เยอะ มีทั้งหมดแค่ 10 คน ครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นทหารยาม พวกเขาคอยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู คนที่เหลือสวมชุดค่อนข้างเป็นทางการ น่าจะเป็นพวกผู้ช่วยที่คอยจดบันทึก ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงกลางน่าจะเป็นตัวแทนของราชาแห่งเกรย์คาสเซิล เขาสังเกตเห็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง นั่นคือเสื้อคลุมที่อีกฝ่ายถอดแขวนไว้บนกำแพงเหมือนจะกันน้ำได้ ถึงแม้ข้างนอกจะมีฝนตกหนัก แต่ทุกคนกลับดูไม่เปียกเลย ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อคลุมตัวนั้นยังมีสีสันสดใส มันไม่ใช่ทั้งหนังแล้วก็ขนสัตว์ เห็นได้ชัดว่าเป็นวัสดุพิเศษ

ดูเหมือนข่าวลือที่บอกว่าในช่วงหลายปีมานี้ เกรย์คาสเซิลได้ผลิตของแปลกๆ ออกมาเป็นจำนวนมากจะไม่ใช่เรื่องโกหกซะแล้ว

แต่ว่าในตอนที่เขามองดูตัวแทนคนนั้นอย่างละเอียด เขากลับต้องแอบขมวดคิ้วขึ้นมา —- ชายคนนั้นคือชาวโมเกน ปกติคนป่าเถื่อนแบบนี้มักจะปรากฏตัวอยู่ในตลาดค้าทาส ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นขุนนางระดับสูงของเกรย์คาสเซิลได้?

เพียงแต่มารยาทที่บ่มเพาะมาเป็นเวลานานทำให้บารอนไม่ได้แสดงสีหน้าสงสัยออกมา เขาฉีกยิ้มอบอุ่นพร้อมกางสองมือออก “ข้าคือผู้ปกครองของอ่าวดีพพูล บารอนจีน เบ็ต ก็เหมือนอย่างที่พวกเจ้าได้เห็น เมืองแห่งนี้ทั้งเจริญรุ่งเรืองและสวยงาม เหมาะแก่การเป็นสถานที่พักผ่อนหลังจากเดินทางไกล ไม่ทราบว่าทุกท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?”

ท่าทีเช่นนี้ถือว่ามีมารยาทมากพอแล้วล่ะมั้ง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นดยุคก็น่าจะยิ้มรับเอาไว้

แต่สีหน้าชาวโมเกนกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย “ข้าชื่อขวานเหล็ก เป็นแม่ทัพกองทัพที่หนึ่งของฝ่าบาท แล้วก็เป็นผู้รับชอบในการเดินทางไกลครั้งนี้ ข้าขอพูดเข้าเรื่องเลยแล้วกัน มีความเป็นไปได้สูงที่อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทนั้นจะกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความตาย ข้ารับพระราชโองการของฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันผู้เป็นทั้งราชาแห่งเกรย์คาสเซิล ชีคของชาวโมเกนและผู้ปกครองที่ราบลุ่มบริบูรณ์ให้มาช่วยเหลือประชาชนที่นี่”

อะไร…กันเนี่ย?

จีน เบ็ตนึกสงสัยหูของตัวเอง ชะ…ชีคงั้นเหรอ? นั่นมันฉายาอะไร? ที่ราบลุ่มบริบูรณ์อยู่ไหน? ถ้าโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไป ที่บอกว่าอีเทอร์นอลวินเทอร์กับวูล์ฟฮาร์ทจะกลายเป็นสนามรบนั้นเป็นการขู่หรือเปล่า? ปัญหาก็คือมีใครที่ไหนพูดอย่างนี้ตั้งแต่แรก ปกติควรจะพูดหลังจากที่ตัวเองปฏิเสธไม่ใช่เหรอ? แต่เขาก็ไม่ได้ถามว่าตัวเองจะรับปากหรือไม่

“เอ่อ…”

กลายเป็นเสมียนที่ถามขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่า…กองทัพที่หนึ่งนั้นคือกองทัพที่เอาชนะศาสนจักรได้ใช่ไหมขอรับ?”

“ถูกต้อง” ชาวโมเกนพยักหน้า

“ท่านขวานเหล็ก พวกเราย่อมไม่อยากให้ไฟสงครามลามมาถึงที่นี่ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่อ่าวดีพพูลจะตัดสินใจเองได้ มันมักจะมีคนที่ละโมบอยากจะได้มากขึ้น หากท่านสามารถเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้ วูล์ฟฮาร์ทก็จะไม่ต้องกลายเป็นสนามรบขอรับ”

ดีมาก! บารอนแอบพูดในใจ แบบนี้ก็เท่ากับดึงสองตระกูลนั่นลงมาได้แล้ว เขาแสดงทำเป็นพยักหน้าอย่างเสียใจ ก่อนจะมองไปทางขวานเหล็ก แต่เขากลับเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าอีกฝ่าย

“อาณาจักรนี้จะกลายเป็นสนามรบหรือไม่นั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ในตอนที่ศัตรูมาถึง มนุษย์ทั้งหมดจะต้องร่วมมือกันสู้กับมัน ความจริงสงครามมันได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่มันอยู่ในสถานที่ที่พวกเจ้าไม่รู้” ขวานเหล็กพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับศาสนจักร เกี่ยวกับเจตจำนงของพระเข้า แล้วก็เรื่องการโจมตีของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์มาบ้าง”

จีน เบ็ตตกตะลึง เขาซึ่งเป็นผู้ปกครองของเมืองท่า เขาย่อมต้องเคยได้ยินข่าวลือประเภทนี้มาก่อน พวกพ่อค้านั้นเดินทางไปหลายๆ ที่ พวกเขามักจะได้รู้ได้เห็นเรื่องราวแปลกประหลาด แต่เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่เอาไว้พูดคุยกับบนโต๊ะอาหารเท่านั้น ถ้าเอามาเป็นหัวข้อพูดคุยอย่างเป็นจริงเป็นจังนั้นไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไร แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายกลับไม่ได้เหมือนว่าล้อเล่นอยู่เลย หรือว่า…

“ถูกต้อง เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องจริง” ขวานเหล็กพูดช้าๆ ชัดๆ

นอกหน้าต่างมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา

….

“ว้าว คนพวกนี้ทำขึ้นมาจากเหล็กเหรอเนี่ย?” เจ้าฉลาดเท้าแขนไปบนรั้วกั้นคอกม้า พร้อมกับมองดูที่ท่าเรือ

“ต่อให้เป็นเหล็กมันก็ขึ้นสนิมได้ ข้าว่าพวกเขาไม่ใช่คน” ไวท์เช็ดน้ำฝนที่อยู่บนหลังม้าเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะจัดการกับเสื้อที่เปียกฝนของตัวเอง “มีคนธรรมดาที่ไหนจงใจไปยืนตากฝน? จะมีก็แต่คนโง่กับคนบ้าเท่านั้นแหละ”

ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ชั่วโมงกว่า คนหลายร้อยคนที่ลงมาจากบนเรือก็ควบคุมท่าเรือทั้งหมดเอาไว้อย่างรวดเร็ว พวกพ่อค้านั้นทยอยเก็บแผงไปตั้งแต่ก่อนที่ฝนจะตกนักแล้ว แต่พวกเขากลับกางเต็นท์ขึ้นมากลางลานโล่งๆ แต่พริบตาเต็นท์ที่เขียวดำนี้ก็กางจนเต็มพื้นที่เกือบครึ่งของท่าเรือ

นอกจากนี้คนของเกรย์คาสเซิลยังตั้งสิ่งกีดขวางขึ้นมาตรงปากทางเขาและพื้นที่ที่ค่อนข้างสูง สิ่งที่ดูเหมือนท่อโลหะขนาดใหญ๋ถูกตั้งขึ้นมา พวกมันดูแล้วไม่เหมือนกับอาวุธเลย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นไวท์ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นประกายเยือกเย็นที่สะท้อนออกมาผิวสีดำของมัน

ตรงหน้าสิ่งกีดขวางเหล่านี้จะมีคนคอยเฝ้าอยู่ ถึงแม้พวกเขาสวมชุดกันฝนเอาไว้ แต่การที่จะหลบฝนในสภาพอากาศแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ลมทะเลที่พัดเข้ามาจะพัดฝนจนกระจายเป็นละออง ก่อนจะเล็ดลอดเข้าไปตามช่องแขนเสื้อกับคอเสื้อ ไวท์พอจะนึกภาพเสื้อผ้าด้านในของพวกเขาที่เปียกฝนออก

ความรู้สึกแบบนั้นย่อมต้องไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่

อ่าวดีพพูลนั้นมีฝนตกอยู่เป็นประจำ ผู้ปกครองของเมืองแห่งนี้ก็มีการตั้งที่หลบฝนเอาไว้ที่บริเวณท่าเรืออยู่หลายที่ แต่คนพวกนี้เหมือนจะไม่สนใจแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่จะไปหลบฝนเลย แม้แต่จะไปดูก็ยังไม่ไปดูด้วยซ้ำ บวกกับชุดกันฝนสีดำของพวกเขา ทำให้พวกเขาดูแล้วเหมือนก้อนหินที่กำลังตั้งอยู่กลางสายฝนอย่างไรอย่างนั้น

คนของเกรย์คาสเซิลบ้าไปแล้ว…ไวท์บ่นอยู่ในใจ

“เอ๋ มันแปลกๆ นะ” จู่ๆ เจ้าฉลาดก็พูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา

“อะไรอีกล่ะ?” ไวท์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ท่านดูเรือที่พวกเขากำลังขนของลงมา แล้วก็ดูเรือที่จอดอยู่นอกท่าพวกนั้นสิ” เขาพูดพร้อมชี้ๆ “นั่นมันเรือใบสามเสาเหมือนกัน แต่ทำไมการกินน้ำของพวกมันถึงต่างกันมากขนาดนี้”

“กินน้ำ? คืออะไร”

“ท่านก็คิดซะว่ามันเป็นเกณฑ์เอาไว้วัดน้ำหนักที่บรรทุกแล้วกัน” เจ้าฉลาดโบกมือ “ถึงจะขนเอาของลงมาเยอะขนาดนั้นแล้ว แต่การกินน้ำของมันก็ยังเยอะกว่าเรือที่อยู่ข้างนอกนั่นตั้งเยอะ ไม่เข้าใจเลย…คนของเกรย์คาสเซิลทำแบบนี้ทำไม? หรือว่าพวกเขาแค่อยากจะสร้างสถานการณ์?”

“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่?” ไวท์พูดอย่างหงุดหงิด

“ข้าหมายความว่า….เรือพวกนั้นอาจจะเป็นเรือเปล่า!” เจ้าฉลาดพูดเสียงเบาๆ

……

เมื่อขวานเหล็กหยุดอธิบาย จีน เบ็ตก็ได้สติกลับมา

เขาฟังเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การต่อสู้อันยาวนานระหว่างคนกับปีศาจ ทุกๆ 400 ปีพวกมันจะวนกลับมาครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ปีศาจก็อาจจะบุกเข้ามาโจมตีจากทางเทือกเขาสิ้นวิถี!

“เจ้า…แน่ใจเหรอ?” ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ ด้านเหนือของอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นเต็มไปด้วยเทือกเขาที่เหมือนหน้าผางอกขึ้นมาจากพื้น แล้วจะบุกโจมตีมาจากทางนั้นเนี่ยนะ? ล้อเล่นหรือเปล่า!

“ไม่แน่ใจ ดังนั้นพวกเราจึงได้ส่องหน่วยสอดแนมออกไปแล้วเพื่อความไม่ประสาท” ขวานเหล็กยักไหล่ “แต่ไม่ว่าปีศาจจะบุกเข้ามาโจมตีมนุษย์จากทางไหนมันก็ไม่ได้ต่างกัน ถ้าไม่ร่วมมือกัน ชายขอบทวีปที่แคบๆ แห่งนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิง มนุษย์จะสูญพันธ์ทั้งหมด”

บารอนเกิดความรู้สึกเหมือนตัวเบาหวิวขึ้นมา คล้ายว่าเขานั่งอยู่ให้ห้องรับแขก แต่กลับเหมือนว่าอยู่ในความฝันอย่างไรอย่างนั้น ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ตัวเสมียนกับองครักษ์ก็เหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกัน

“อะแฮ่มๆ เอาล่ะ ข้าจะถือว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงก่อนแล้วกัน” ผ่านไปครู่หนึ่ง จีน เบ็ตจึงกระแอมขึ้นมา “แล้วราชาแห่งเกรย์คาสเซิลส่งพวกเจ้ามาที่วูล์ฟฮาร์ททำไม? ถ้าจะสู้กับปีศาจจริงๆ พวกเจ้าก็ควรจะไปอีเทอร์นอลวินเทอร์ถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ?”

“อีเทอร์นอลวินเทอร์นั้นย่อมต้องอยู่ในแผนอย่างแน่นอน ในจุดนี้เจ้าไม่ต้องกังวล จุดประสงค์ที่พวกข้ามาที่นี่นั้นง่ายมาก นั่นก็คือพยายามพาคนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสงครามออกไปให้ได้มากที่สุด ทั้งเสรีชน ทาส ผู้อพยพ คนเร่ร่อน” ขวานเหล็กชะงักไปเล็กน้อย “ยกเว้นก็แต่ขุนนาง พวกเจ้าจะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่ความสมัครใจของพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าให้ความร่วมมือกับกองทัพที่หนึ่งอย่างเต็มที่ ในตอนที่พวกเราถอนกำลังออกไปแล้ว ทั้งทรัพย์สมบัติ ที่ดิน ตำแหน่ง…ทั้งหมดจะเป็นของเจ้าทั้งหมด แต่ถ้าขัดขวาง….”

บารอนกลืนน้ำลาย

“เจ้าก็จะเป็นศัตรูของกองทัพที่หนึ่ง” อีกฝ่ายพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ

………………………………………………………………………