Ch.9 – ตอนที่ 17-18 สมัยนี้น่ะ ผู้ชายคนไหนทำกับข้าวไม่ได้ก็ไม่ใช่ผู้ชายในฝันแล้ว!
Translator : Akanirawan / Author
การนอนกลางวันแล้วตื่นขึ้นมานั้นให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างมาก ซูเจี๋ยนมองดูหน้าจอโทรศัพท์ พบว่าเลยเวลาสี่โมงเย็นไปแล้ว
พอซูเจี๋ยนมาถึงห้องนั่งเล่น ก็เห็นอันอี่เจ๋อยืนอยู่ริมระเบียงด้านข้าง ดูเหมือนเพิ่งจะคุยโทรศัพท์เสร็จ
ซูเจี๋ยนทรุดกายลงนั่งบนโซฟา ยกขาข้างที่เจ็บขึ้นวางไว้บนโต๊ะเล็กตรงหน้า จากนั้นก็หันไปมองอันอี่เจ๋อ
อันอี่เจ๋อเดินกลับเข้ามาในห้อง พอเห็นซูเจี๋ยนนั่งอยู่ ชายหนุ่มก็ขยับขาเดินมาทางโซฟา : “นี่เธอเพิ่งตื่น?”
ซูเจี๋ยนมองเขาตาค้าง : “คุณรู้ได้ยังไง”
อันอี่เจ๋อชี้นิ้วบ่งบอก : “ผมเธอ”
ซูเจี๋ยนเอียงหน้าลงมอง ไม่นึกว่า เส้นผมยาวเหยียดของตัวเองจะพันกันยุ่งเหยิงขนาดนี้ คงเป็นเพราะตอนนอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียงจึงทับเส้นผมจนเสียทรงไปหมด
ซูเจี๋ยนหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองเสียง ยกนิ้วขึ้นสางเส้นผมของตัวเองแบบลวกๆ
อันอี่เจ๋อยื่นมือเข้ามา ช่วยสางเส้นผมให้อย่างอ่อนโยน
ชายหนุ่มเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก ซูเจี๋ยนเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแค่บ่นงึมงำ : “ผมยาวๆ นี่ปัญหาเยอะชะมัด อยากจะโกนให้จบๆ ไปซะเลยจริงๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหวี เสียเวลาสระ แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาจัดทรงอะไรวุ่นวาย!”
พูดจบหางตาก็เหลือบไปเห็นอันอี่เจ๋อกำลังพยายามเม้มมุมปากกลั้นหัวเราะ
นี่…คนอย่างอันอี่เจ๋อก็หัวเราะเป็นด้วย! ซูเจี๋ยนแอบตื่นตาตื่นใจอยู่เงียบๆ ทำทีชำเลืองมอง : “ตลกอะไรของคุณ”
อันอี่เจ๋อกล่าวตอบ : “ฉันนึกว่าผู้หญิงจะชอบผมยาวกันหมดซะอีก”
ซูเจี๋ยนได้แต่ตอบกลับเขาในใจ : ฉันเองก็ชอบผู้หญิงผมยาวเหมือนกันนั่นแหละ แต่ฉันแค่ไม่ชอบให้ผมยาวๆ แบบนั้นมางอกอยู่บนหัวกบาลตัวเอง!
ซูเจี๋ยนคลึงนิ้วเล่นปลายผมม้วนโค้งของตัวเอง กระแอมกระไอออกมาสองเสียงให้คอโล่ง จากนั้นก็กล่าว : “สัมมี~ หิวแล้วล่ะ”
น้ำเสียงของสาวน้อยซูนั้นเดิมทีก็ไพเราะนุ่มนวลอยู่แล้ว แถมยังเจือเสน่ห์ชวนฟังแฝงเร้นอยู่โดยไม่เจตนา พอผสมเข้ากับความอ่อนหวานออดอ้อนที่ซูเจี๋ยนจงใจใส่เพิ่มเติมลงไปอีก ย่อมกลายเป็นอาวุธทำลายล้างแสนทรงประสิทธิภาพอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับอันอี่เจ๋อนั้นจะถูกโจมตีสำเร็จหรือไม่ซูเจี๋ยนก็ไม่อาจทราบได้ แต่สำหรับซูเจี๋ยนเองนั้นถูกจู่โจมได้สำเร็จแน่นอน! ซูเจี๋ยนยังคิดๆ อยู่ว่า ถ้ามีสาวน้อยคนไหนมาใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับตนเข้าล่ะก็ ตนคงแขนขาอ่อนเปลี้ยจนแทบละลายไปทั้งร่าง ยอมทำทุกอย่างตามที่เธอขอให้ทำแน่นอน!
แน่นอนว่าอันอี่เจ๋อก็ยังเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง หลังจากได้ฟังซูเจี๋ยนออดอ้อนแล้ว สีหน้าท่าทางก็กลายเป็นอ่อนโยนลงมาก
“เธอเหมือนจะหิวบ่อยขึ้นมากเลยนะช่วงนี้”
ซูเจี๋ยน : “……” เจ้าคนแซ่อัน นี่นายกำลังด่าอ้อมๆ ว่าฉันเหมือนหมูสินะ อย่านึกว่าฉันจะฟังไม่ออก!
ซูเจี๋ยนตอบกลับอย่างไม่พอใจ : “ร่างกายฉันกำลังฟื้นตัวนี่นา ก็ต้องกินเยอะเป็นธรรมดาแหละ!” จากนั้นก็จ้องเขม็งใส่อันอี่เจ๋อ : “มื้อเย็นฉันก็ไม่อยากกินของที่สั่งเข้ามาด้วย!”
“งั้นก็….”
“พวกอาหารสำเร็จรูปก็ไม่เอาเหมือนกัน!”
อันอี่เจ๋อได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างอับจนหนทาง
ซูเจี๋ยนพูดต่อ : “ถึงพวกเราจะไม่ใช่สามีภรรยากันจริงๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ตอนนี้ฉันก็เหมือนพิการไปครึ่งตัวชั่วคราวแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณควรจะทำอะไรอร่อยๆ มาให้ฉันกินสักหน่อยเหรอ เพื่อให้ฉันฟื้นตัวได้เร็วขึ้นไงล่ะ”
อันอี่เจ๋อเงียบงันไปพักใหญ่ : “……ฉันทำอาหารไม่เก่ง”
ซูเจี๋ยนรีบตอบคำอย่างกระตือรือร้น : “ไม่เป็นไร ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ คุณน่ะนะ ขนาดตำแหน่งประธานกรรมการยังสามารถแบกรับไว้ได้ กะอีแค่เรื่องทำอาหารจะทำออกมาไม่ดีได้ยังไงกัน!” เฮอะ คนแซ่อัน ฉันไม่ปล่อยให้นายได้มีโอกาสวิ่งหนีไปง่ายๆ หรอก! จะได้เห็นเจ้าศัตรูหัวใจที่น่ารังเกียจนี่ต้องโค้งตัวคุกเข่าเอาอกเอาใจ ปรุงอาหารมาให้เหมือนภรรยาตัวน้อยๆ แบบนี้ แค่คิดก็ชวนให้รู้สึกดีสุดๆ แล้ว!
เห็นอันอี่เจ๋อยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา ซูเจี๋ยนก็รีบยัดโทรศัพท์ใส่มือให้เขา : “ถ้าคุณไม่อยากไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาด ก็แค่โทรสั่งให้ทางร้านมาส่งให้ก็ใช้ได้แล้ว ไม่ว่าคุณต้องการอะไร เขาก็มาส่งให้คุณได้ทั้งนั้นแหละ!”
อันอี่เจ๋อยังเงียบงันไม่พูดไม่จา
ซูเจี๋ยนนึกย้อนถึงสีหน้าท่าทางของนักแสดงสาวสวยในหนังรักโรแมนติกบางฉากบางตอนขึ้นมาอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ตัดใจลงมืออย่างเด็ดเดี่ยว ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อของอันอี่เจ๋อแผ่วเบา บุ้ยริมฝีปากน้อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง กะพริบตาปริบๆ ใส่เขาอย่างเว้าวอน : “สัมมี~……” สองพยางค์นี้เอ่ยออกมาได้อย่างสะท้านสะเทือนไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ ดุจจะผูกมัดใจชายด้วยเงื่อนตายเก้าห่วงสิบแปดปม
อันอี่เจ๋อได้แต่หัวเราะดัง ‘พรืด’ ออกมาเสียงหนึ่ง
ซูเจี๋ยนมีสีหน้าโง่งมไป เจ้าคนแซ่อันมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้มันหมายความว่าอะไรกัน? ป๊ะป๋าอุตส่าห์ทุ่มเทขนาดนี้ ยอมแสดงฉากโรแมนติกได้อย่างถึงบทบาทขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าเวลานี้นายควรจะรีบวิ่งแจ้นไปทำตามที่ป๊ะป๋าบอกได้แล้วรึไง ต่อให้ป๊ะป๋าถามเลขบัญชีของนาย นายก็ควรจะรีบบอกรหัสผ่านมาให้อย่างเต็มใจด้วยซ้ำ!
เห็นหน้าตาเซ่อซ่างุนงงของอีกฝ่ายแล้ว อันอี่เจ๋อก็ยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ นั้นเบาๆ อมยิ้มเอ่ยตอบ : “ก็ได้”
ซูเจี๋ยนครุ่นคิด เจ้าอันอี่เจ๋อคนนี้ เวลายิ้มแล้วช่าง…… ลามกโฉดชั่วชะมัด! ให้ตายก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด ว่าเจ้าคนหน้าตาตายด้านคนนี้ เวลาแย้มยิ้มด้วยหัวคิ้วนัยน์ตาผ่อนคลายแบบนั้นแล้ว ช่างทำให้เจ้าตัวดูมีเสน่ห์ชวนมองอย่างที่สุด
หลังจากอันอี่เจ๋อรับปากแล้ว ซูเจี๋ยนก็อารมณ์ดีขึ้นมาก จึงนั่งไขว่ห้างดูทีวีอย่างสบายใจ ถึงขั้นที่ว่าขนาดเปิดดูช่องโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจด้านเกษตรกรรมแล้วยังสามารถรับชมรายการที่เสนอเรื่องวิธีทำฟาร์มหมูด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง
อันอี่เจ๋อดึงกระดาษออกจากม้วนมาแผ่นหนึ่ง ชำเลืองมองหน้าจอทีวี จากนั้นก็หันขวับมามองสาวน้อยร่างบางที่เอนกายเกียจคร้านอยู่บนโซฟาด้วยแววตาตื่นตกใจ
ซูเจี๋ยนรู้สึกถึงสายตาของอีกฝ่ายได้ทันที : “อะไร?”
อันอี่เจ๋อกล่าว : “ฉันแค่นึกไม่ถึงว่าเธอจะชอบดูรายการแบบนี้”
ซูเจี๋ยนรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังดูถูกรสนิยมของตนอยู่ จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที : “รายการแบบนี้มันทำไมมิทราบ? ถ้าไม่มีการเลี้ยงหมู แล้วคุณจะไปเอาเนื้อหมูจากไหนมากิน”
อันอี่เจ๋อพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงเห็นด้วย : “เธอพูดมาก็ถูก จะว่าไปแล้วการเลี้ยงดูหมูให้อาหารหมูนี่ก็สำคัญจริงๆ” กล่าวจบก็เดินตรงเข้าไปในครัว
ตอนแรกซูเจี๋ยนยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร นอนดูรายการต่อไปอีกพักใหญ่ๆ จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ เมื่อครู่เหมือนเจ้าหมอนั่นเพิ่งจะเปรียบเทียบว่าตนเป็นหมู?!
นี่มันรังแกกันเกินไปแล้ว! ซูเจี๋ยนกระโดดกระย่องกระแย่งไปที่ห้องครัวด้วยความเกรี้ยวกราด
เข้าไปแล้วก็เห็นอันอี่เจ๋อถือกระดาษหลายแผ่นเอาไว้ในมือ ซูเจี๋ยนจึงโพล่งถามออกไปด้วยความสงสัย : “คุณ…นั่นมันคืออะไร”
อันอี่เจ๋อ : “สูตรอาหารที่ปริ๊นท์ออกมา”
ซูเจี๋ยนรู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันตา : “ดูเหมือนคุณจะเตรียมพร้อมไม่เบาเลยนี่นา!”
อันอี่เจ๋อ : “เธอกลับไปดูรายการเลี้ยงหมูของเธอต่อเถอะ”
ดวงตาของซูเจี๋ยนเปล่งประกายวาววับ : “ได้! ฉันจะกลับไปแล้ว คุณก็ค่อยๆ ทำไปเถอะ!” หลังจากกล่าวจบก็กระโดดหย็องแหย็งจากไป
ที่ด้านหลัง อันอี่เจ๋อมองร่างเล็กๆ ที่มีท่าทางร่าเริงเปี่ยมชีวิตชีวานั้นแล้ว มุมปากก็ค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ
……………………………….
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป อาหารก็ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อย
ซูเจี๋ยนรีบมานั่งรอที่โต๊ะทานอาหารโดยอัตโนมัติ กวาดตาชื่นชมผลงานจากการลงมือลงแรงของอันอี่เจ๋อ
มีไข่ผัดมะเขือเทศจานหนึ่ง เนื้อเส้นผัดพริกเขียวจานหนึ่ง แล้วก็ยังมีต้มซี่โครงหมูใส่หัวมันอีกถ้วยหนึ่ง มองดูแวบแรก รูปลักษณ์ของอาหารทุกจานนั้นดูดีเอามากๆ
ซูเจี๋ยนบุ้ยปากอย่างผิดหวัง
อันอี่เจ๋อยื่นตะเกียบคู่หนึ่งส่งมาให้ : “เป็นอะไรไป”
เพราะไม่มีโอกาสได้เยาะเย้ยนาย ก็เลยไม่มีความสุขไงล่ะ!
ซูเจี๋ยนฝืนเค้นหัวเราะแห้งแล้งออกมา : “ไม่มีอะไร” จากนั้นก็ยื่นตะเกียบไปทางจานอาหารอย่างหงุดหงิด
หลังจากคีบไข่ผัดมะเขือเทศเข้าปากไปคำหนึ่ง ซูเจี๋ยนก็ดูตื่นเต้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“ไข่ผัดมะเขือเทศจานนี้ของคุณ….ใส่เกลือลงไปเยอะแค่ไหน”
อันอี่เจ๋ออึ้งงันไป : “ไม่ได้ใส่เกลือ ใส่น้ำตาลเป็นหลัก….. หรือว่า——”
ซูเจี๋ยนกระหยิ่มยิ้มย่อง ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น : “เดาได้เลย คุณคงสับสนเกลือกับน้ำตาลล่ะสิท่า”
อันอี่เจ๋อ : “……”
จากนั้นซูเจี๋ยนก็หันปลายตะเกียบไปทางเนื้อเส้นผัดพริกเขียว แล้วก็มีสีหน้าครุ่นคิดซับซ้อน
อันอี่เจ๋อมองดูอีกฝ่ายเงียบๆ
ซูเจี๋ยนพลันเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น : “พริกเขียวยังไม่ค่อยสุก”
อันอี่เจ๋อยกถ้วยต้มซี่โครงหมูใส่หัวมันชามนั้นออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ซูเจี๋ยนแปลกใจขึ้นมาทันที : “ทำอะไรของคุณ”
อันอี่เจ๋อตอบเสียงเรียบ : “ต้มถ้วยนี้ไม่ต้องลองชิมแล้ว”
ซูเจี๋ยนคิดในใจ : โอกาสดีที่จะได้เยาะเย้ยนายอยู่ตรงหน้าขนาดนี้แล้ว ฉันจะปล่อยไปได้ยังไง! คิดได้แบบนี้แล้วก็พลันยื่นมือไปแย่งถ้วยต้มซี่โครงหมูมา จ้วงช้อนตักใส่ปากซดเข้าไปคำหนึ่งอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ได้แต่อมน้ำซุปช้อนนั้นไว้ในปาก จะกลืนก็กลืนไม่เข้า จะคายก็คายไม่ออก
สุดท้าย หลังจากฝืนกล้ำกลืนของเหลวในปากลงไปได้อย่างยากลำบาก ซูเจี๋ยนก็เอ่ยถามขึ้น : “นี่คุณใส่น้ำตาลลงไปในต้มซี่โครงหมูแทนเกลือเหรอเนี่ย”
อันอี่เจ๋อพยักหน้ารับอย่างเงียบงัน
ซูเจี๋ยนมีความสุขสุดๆ หากถามว่าเขาซูเจี๋ยนคนนี้ชอบทำอะไรเป็นที่สุดน่ะหรือ? ก็ย่อมต้องเป็นการโจมตีเจ้าศัตรูหัวใจอันอี่เจ๋อคนนี้น่ะสิ! เขาซูเจี๋ยนชอบมองดูอะไรเป็นที่สุดน่ะหรือ? ก็ย่อมต้องเป็นสีหน้าปั้นยากของเจ้าศัตรูหัวใจอันอี่เจ๋อหลังจากที่โดนโจมตีจนแตกพ่ายน่ะสิ!
อันอี่เจ๋อ ต่อให้นายสูง หล่อ รวย แล้วยังไงล่ะ? ต่อให้นายเป็นประธานกรรมการได้ตั้งแต่อายุสามสิบแล้วจะนับเป็นอะไร? ยุคนี้สมัยนี้ ผู้ชายคนไหนทำกับข้าวไม่ได้ก็ไม่ใช่ผู้ชายในฝันแล้ว!
ซูเจี๋ยนรู้สึกว่าในที่สุดตัวเองก็หาจุดอ่อนของอันอี่เจ๋อเจอแล้ว จึงตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ฉีกยิ้มกว้างจนมุมปากแทบถึงใบหูอยู่รอมร่อ
อันอี่เจ๋อเห็นอีกฝ่ายดื่มน้ำต้มซี่โครงหมูเสร็จก็แย้มยิ้มเต็มใบหน้า ดีอกดีใจขนานใหญ่ปานนี้ ก็อดงุนงงสงสัยไม่ได้ : “ดีใจอะไรขนาดนั้น”
“อ๋า?” ซูเจี๋ยนได้สติกลับมา มองเห็นอันอี่เจ๋อกำลังมองตนด้วยแววตาแปลกประหลาด แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าบ่งบอกความคิดในสมองของตนออกไปตามตรง จึงได้แต่หาเหตุผลมากลบเกลื่อน : “ฉันคิดว่าต้มซี่โครงถ้วยนี้ก็ไม่เลวเลย ดื่มลงไปแล้วก็คล่องคอมาก”
อันอี่เจ๋อวางท่าเคร่งขรึมอีกครั้ง จากนั้นก็ผลักชามต้มซี่โครงหมูมาให้ : “ในเมื่อเธอชอบ งั้นก็ให้เธอหมดเลยแล้วกัน”
ซูเจี๋ยน : “……”
อันอี่เจ๋อผุดลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงเรียบ : “ฉันสั่งอาหารจากข้างนอกเข้ามาดีกว่า”
ซูเจี๋ยนรีบหยุดเขาไว้ทันที : “ไม่ต้องไม่ต้อง! ในเมื่อทำมาแล้วก็กินกันเถอะ ไม่งั้นก็เสียดายของแย่!”
หลังจากอันอี่เจ๋อยอมวางโทรศัพท์แล้วทรุดกายลงนั่งแล้ว ซูเจี๋ยนก็สาละวนตักอาหารให้เขาอย่างกระตือรือร้น : “นี่ คนทำอาหารน่ะเหนื่อยที่สุด คุณต้องทานเข้าไปให้เยอะๆ ล่ะ!”
อันอี่เจ๋อมีท่าทางลังเล ลองชิมไปคำเล็กๆ จากนั้นก็วางตะเกียบลง ไม่กล่าววาจาออกมาแม้แต่คำเดียว
ที่ฝั่งตรงข้าม ซูเจี๋ยนแย้มยิ้มเบิกบานไปถึงหัวคิ้วนัยน์ตาแล้ว
อันอี่เจ๋อ : “นี่ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
ซูเจี๋ยนมีสีหน้าเหรอหราไปทันที : “อ๋า?”
อันอี่เจ๋อชี้ไปยังจานอาหารที่ตัวเองทำออกมา : “ฉันทำอาหารไม่สำเร็จ เธอก็ดีใจขนาดนี้เลย?”
ซูเจี๋ยนรีบส่ายหน้ารัวๆ แสดงท่าทางว่าตัวเองใสซื่อบริสุทธิ์ใจ
อันอี่เจ๋อกลับพ่นลมหายใจเบาๆ ออกมาอย่างดูแคลน : “เด็กน้อยจริงๆ”
ซูเจี๋ยนอยู่ไม่สุขขึ้นมาทันที : “ใครเป็นเด็กน้อยกัน!” ป๊ะป๋าคนนี้เป็นผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่ง อายุอานามก็เกือบสามสิบได้แล้วนะเฟ้ย นายแก่กว่าฉันก็แค่ปีเดียวเท่านั้น มีอะไรให้โอ้อวดมิทราบ
“ปีนี้เธอแค่ยี่สิบเอ็ดเองนะ” เสียงทุ้มของอันอี่เจ๋อกล่าวตอบ
เอ๋? ซูเจี๋ยนรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายจึงตกตะลึงอยู่บ้าง สาวน้อยซูเป็นครูโรงเรียนมัธยม อย่างน้อยก็ต้องจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแล้วสิ ต่อให้เพิ่งจบปีนี้พอดี แต่อายุยี่สิบเอ็ดนี่ก็จะเด็กเกินไปหน่อยแล้ว! หรือว่า เธอจะเป็นพวกเรียนข้ามชั้น?
ทันใดนั้นซูเจี๋ยนก็อัดอั้นตันใจขึ้นมาเล็กน้อย แม้การได้ย้อนวัยจะถือเป็นโชควาสนา แต่จู่ๆ ได้กลับมาย้อนวัยด้วยวิธีนี้ ก็ไม่อาจทำใจให้รู้สึกดีได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม ด้วยใบหน้าอ่อนเยาว์ของสาวน้อยซูคนนี้ ก็ไม่อาจบ่งบอกอายุแท้จริงได้แต่แรกแล้ว แม้ว่าตอนนี้จะอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว แต่ก็ยังดูอ่อนกว่าวัยอยู่มาก ทั้งหัวคิ้วนัยน์ตายังมีความสดใสน่ารัก ต่อให้แกล้งปลอมตัวเป็นเด็กมัธยมปลายอายุสิบห้าสิบหก ก็ยังสามารถทำได้แบบไม่มีปัญหา!
พูดไปแล้ว แบบนี้ก็เท่ากับว่าอันอี่เจ๋อไปหาเด็กสาวที่อ่อนกว่าตัวเองตั้งเก้าปีมาแต่งงานด้วยไม่ใช่หรือไงกัน?
อันอี่เจ๋อเอ๊ยอันอี่เจ๋อ กลายเป็นว่านายชอบแบบนี้นี่เองสินะ…..เฮะๆๆๆๆ
ซูเจี๋ยนยกนิ้วกลางกับนิ้วชี้ขึ้นมาลูบไล้ปลายคาง ชำเลืองมองอันอี่เจ๋อแล้วหัวเราะอย่างมีเลศนัย : “นี่คุณชอบแบบพวกโลลิสินะ”
อันอี่เจ๋อมองตอบกลับมาด้วยแววตาว่างเปล่า
ซูเจี๋ยนแสดงสีหน้า ‘พี่ชาย ฉันเข้าใจดีหรอกน่า’ ออกมา ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ : “ผู้ชายก็แบบนี้ล่ะนะ ตอนอายุสิบแปด ก็ชอบสาวอายุสิบแปด จนอายุยี่สิบแปด ก็ยังชอบสาวอายุสิบแปดอยู่นั่นเอง ต่อให้จะอายุสามสิบแปดหรือสี่สิบแปด หรือต่อให้ถึงหนึ่งร้อยแปด เด็กสาวอายุสิบแปดก็ยังเป็นที่รักใคร่ที่สุดตลอดกาล! ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดๆ บังๆ นี่นา ถึงยังไงสาวน้อยโลลิก็มีข้อดีอยู่ตั้งสามอย่าง น่ารักขบเผาะ, เปราะบางนุ่มเนียน แถมยังผลักล้มได้ง่ายอีกต่างหาก ใครๆ ก็ชอบทั้งนั้นแหละ!”
อันอี่เจ๋ออับจนถ้อยคำ ผ่านไปครึ่งค่อนวันจึงค่อยเอ่ยปากขึ้นมาได้ : “หลังจากเธอเสียความทรงจำไปนี่ ดูเหมือนจะ…..เปิดเผยจริงใจขึ้นเยอะเลยนะ”
ซูเจี๋ยนรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาวูบหนึ่ง หรือว่าเจ้านี่จะเกิดสงสัยอะไรขึ้นมาแล้ว?
ชั่วขณะนั้นจึงเลียบเคียงถามออกไปอย่างระมัดระวัง : “แล้ว…. ก่อนหน้านี้ฉันเป็นยังไงเหรอ”
อันอี่เจ๋อ : “ก่อนหน้านี้ เธออบอุ่นอ่อนโยนแล้วก็เรียบร้อยกว่านี้มาก”
ซูเจี๋ยนได้แต่ตอบกลับในใจ : นั่นก็เพราะคุณผู้หญิงคนก่อนหน้านี้เธอเป็นกุลสตรีโดยเนื้อแท้ทั้งร่างกายและจิตใจน่ะสิ ส่วนไอ้คนที่อยู่ตรงหน้าแกตอนนี้น่ะ กลับเป็นชายแท้ที่ต้องแกล้งทำเป็นผู้หญิง! ป๊ะป๋าคนนี้ก็เป็นผู้ชายอกสามศอกคนหนึ่งนะว้อย! จะให้ไปหาความอบอุ่นอ่อนโยนและเรียบร้อยจากที่ไหนมาให้แกมิทราบ?
ซูเจี๋ยนกระแอมกระไอ กล่าวว่า : “อันที่จริง นิสัยตอนนี้แหละถึงจะเป็นตัวตนจริงๆ ของฉัน ก่อนหน้านี้น่ะ เพราะว่าแม่ป่วย ในใจฉันก็ย่อมต้องกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร จะเปิดเผยจริงใจแบบนี้ได้ที่ไหนล่ะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนั้นก็ยังไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับคุณด้วย เป็นธรรมดาที่ต้องสงวนท่าทีเอาไว้บ้าง ตอนนี้ฉันเสียความทรงจำไปหมดแล้ว ก็ต้องกลับเป็นตัวของตัวเองแบบนี้แหละ”
เห็นอันอี่เจ๋อยังครุ่นคิดไม่ยอมตอบคำ ในใจของซูเจี๋ยนก็รู้สึกหนักอึ้งเป็นกังวลขึ้นมา เกรงว่าตนจะเผลอเผยพิรุธออกไป ดังนั้นจึงรีบร้อนกล่าวเสริมไปอีก : “ที่จริงแล้วคุณน่ะไม่เข้าใจผู้หญิงเอาซะเลย ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้ากลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมคุ้นเคย ก็ย่อมต้องทำตัวแตกต่างเป็นธรรมดาอยู่แล้ว! ยังเคยมีผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า : คนไม่รู้จักคิดว่าฉันเป็นสาวน้อยวัยใสธรรมดาๆ คนที่รู้จักคิดว่าฉันเป็นสาวน้อยเรียบร้อยมีการศึกษา มีแต่เพื่อนสนิทที่สุดเท่านั้น ที่จะรู้ว่า แท้จริงแล้วฉันก็เป็นแค่สาวน้อยเซ่อซ่าคนหนึ่ง!”
อันอี่เจ๋อยังครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็จ้องมองอีกฝ่าย : “งั้นตอนนี้ พวกเราก็นับว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดได้แล้วล่ะสิ?”
ซูเจี๋ยนส่งเสียงออกมาอย่างงงงัน : “หา?”
อันอี่เจ๋อพลันผุดลุกขึ้น โทรศัพท์สั่งอาหารจากข้างนอกเข้ามาทาน
คราวนี้ซูเจี๋ยนไม่ได้รั้งเขาไว้อีก เพราะถึงอย่างไร จุดประสงค์ที่จะเย้ยหยันกลั่นแกล้งอีกฝ่ายก็บรรลุเป้าหมายไปอย่างงดงามแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงชีวิตฝืนกล้ำกลืนกินผลงานอันเหนื่อยยากของอันอี่เจ๋อลงไปในท้องอีก
หลังจากอมยิ้มร่าเริงนั่งฟังอันอี่เจ๋อโทรสั่งอาหารอยู่ครู่หนึ่ง ซูเจี๋ยนรู้สึกอารมณ์ดีปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างมาก ชั่วขณะนั้นเอง ในสมองก็มีแสงสว่างจ้าวาบผ่าน เพิ่งจะทำความเข้าใจประโยคเมื่อครู่ของอันอี่เจ๋อได้กระจ่างแจ้งก็ตอนนี้เอง
——งั้นตอนนี้ พวกเราก็นับว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดได้แล้วล่ะสิ?
กย๊าาา! อันอี่เจ๋อ! แกน่ะสิสาวน้อยเซ่อซ่า! บ้านแกเป็นสาวน้อยเซ่อซ่ากันหมดทั้งบ้าน!