Ch.8 – ตอนที่ 16 ในเมื่อซูเจี๋ยนคนก่อนเป็นคนเตรียมอาหาร ย่อมไม่อาจทำตัวผิดแปลกจนเกินไปเพื่อไม่ให้ถูกเปิดโปง
Translator : Akanirawan / Author
วันถัดมาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี
เพราะเมื่อคืนก่อนเข้านอนแต่หัวค่ำ ซูเจี๋ยนจึงตื่นเช้ากว่าที่เคย แต่พอออกมาจากห้อง ก็พบว่าอันอี่เจ๋อไม่ได้อยู่ในบ้านแล้ว
หรือว่าเจ้าคนผู้นี้ออกไปที่ทำงานแต่เช้าตรู่เพื่อเข้างานก่อนเวลาไปแล้ว?
ซูเจี๋ยนเพิ่งจะครุ่นคิดสงสัย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก จากนั้นก็มองเห็นอันอี่เจ๋อในชุดออกกำลังกายเดินเข้ามาในห้อง
ซูเจี๋ยนลูบๆ ผมตัวเองให้เป็นทรงเล็กน้อย เอ่ยปากทักทายเขาอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้าง : “ไปวิ่งมาเหรอ”
อันอี่เจ๋อทำเสียง ‘อืม’ ในลำคอเป็นเชิงตอบรับทีหนึ่ง วางห่อของในมือลงบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็หันมามองซูเจี๋ยน : “มื้อเช้า”
เอ๋? ซูเจี๋ยนเขย่งขากระย่องกระแย่งเข้าไปใกล้ๆ เปิดห่อของออกดู ของที่บรรจุอยู่ข้างในนั้นดูค่อนข้างเป็นมื้อที่หรูหราใช้ได้เลยทีเดียว
เจ้าคนแซ่อันนี่ก็มีน้ำใจดีเหมือนกันนี่นา ซูเจี๋ยนรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา
ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน แล้วเริ่มลงมือทานมื้อเช้า แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องเข้ามา อาบย้อมทั่วบริเวณให้สว่างขึ้นด้วยแสงอบอุ่นนวลตา
ต่างคนต่างลงมือทานเงียบๆ ไม่ได้คิดจะพูดคุยอะไรกัน ซูเจี๋ยนไม่มีอะไรจะพูด ส่วนอันอี่เจ๋อ ซูเจี๋ยนก็รู้สึกว่าเจ้าคนๆ นี้มีอาการกล้ามเนื้อใบหน้าตายด้านตลอดเวลาอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่จะพูดน้อยเป็นกิจวัตร
ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นอันอี่เจ๋อที่เปิดปากพูดขึ้นก่อน : “ขายังเจ็บอยู่รึเปล่า”
“อ๋า?” ซูเจี๋ยนงงงันไป : “ก็ไม่ได้เจ็บมาตั้งนานแล้วล่ะ”
อันอี่เจ๋อกล่าวเสริม : “ฉันหมายถึงขาข้างขวา”
“ขาขวา?” ซูเจี๋ยนเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงเข้าใจว่าที่อีกฝ่ายถามถึงคือขาข้างที่ล้มกระแทกพื้นเมื่อคืน พอนึกได้ก็ตอบไปด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย : “อ๋อ นั่นก็ยิ่งไม่เป็นไรเข้าไปใหญ่ แค่หกล้มเองนี่นา จะเป็นอะไรได้ยังไงล่ะ”
อันอี่เจ๋อ : “แต่ตอนนี้เธอเหลือขาที่เดินได้อยู่ข้างเดียวแล้ว ระวังอย่าให้ล้มอีก”
ซูเจี๋ยน : “……”
หลังกวาดอาหารมื้อเช้าลงไปจนเกลี้ยงแบบไม่พูดไม่จาแล้ว ซูเจี๋ยนก็นั่งลูบท้องตัวเองอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองอันอี่เจ๋อ เห็นอีกฝ่ายยังทานไม่เสร็จ ซูเจี๋ยนก็เอนกายพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน กวาดตามองประเมินคนที่นั่งตรงข้ามอยู่เงียบๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เฉพาะท่าทางการรับประทานบนโต๊ะอาหารของอันอี่เจ๋อก็ดูสุภาพเรียบร้อยมากแล้ว คำนั้นเรียกว่าอะไรนะ อ้อ! ‘สง่างามตามมารยาทชั้นสูง’ นั่นเอง คนๆ นี้ขนาดทานอาหารอยู่ก็ยังแสดงความสง่างามสูงส่งในบุคลิกตัวตนออกมาได้ ช่างดึงดูดสายตาซะจริงๆ ——ซะเมื่อไหร่กันเล่า! แม่มเหอะ! ก็แค่กินข้าวเองไม่ใช่รึไง อันอี่เจ๋อ นายไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้ นั่งตัวตรงแน่วเกร็งแขนขยับมือไม้ซะยังกับว่ากำลังกินสเต็กหรูอยู่ในภัตตาคารตะวันตกงั้นแหละ!
ซูเจี๋ยนแอบค่อนแคะอันอี่เจ๋ออยู่ในใจแบบนี้พักใหญ่ ก่อนจะเปิดปากเอ่ยขึ้น : “อะแฮ่มๆ อี่….เอิ่ม…อ่า…เจ๋อ ฉันมีคำถามอยากถามคุณ”
อันอี่เจ๋อชำเลืองมองอีกฝ่าย : “ว่ามาสิ”
ซูเจี๋ยนกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา : “มื้อเที่ยงเราจะกินอะไรกันดี”
อันอี่เจ๋อ : “……”
ซูเจี๋ยนขมวดคิ้ว : “สั่งจากข้างนอกเข้ามาอีกเหรอ”
อันอี่เจ๋อ : “เธอไม่ชอบเหรอ”
ซูเจี๋ยน : “อาหารข้างนอกจะดีเท่าทำกินเองได้ยังไง”
“ก็จริง” อันอี่เจ๋อพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ชายหนุ่มปรายตามองซูเจี๋ยน แล้วกล่าวต่อ : “ฉันเองก็ไม่ชอบสั่งอาหารข้างนอกเข้ามาเหมือนกัน เมื่อก่อนเธอก็เลยเป็นคนเตรียมอาหารทั้งหมด”
ซูเจี๋ยน : “……”
……………………………….
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือซูเจี๋ยนรับปากว่าจะเป็นคนจัดการเรื่องอาหารกลางวันเอง
สืบเนื่องจากความคิดที่ว่า ในเมื่อซูเจี๋ยนคนก่อนเป็นคนเตรียมอาหาร ตัวเองในยามนี้ก็ย่อมไม่อาจทำตัวผิดแปลกจนเกินไป เพื่อไม่ให้ถูกเปิดโปง
ดังนั้น หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว ซูเจี๋ยนก็โทรหาร้านขายวัตถุดิบในบริเวณใกล้เคียงแถวๆ นั้นเพื่อสั่งซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร จากนั้นก็ใช้บริการให้พวกเขาขนของมาส่งถึงที่พัก
จนถึงเวลาสำหรับกลางวัน ซูเจี๋ยนก็ผลักประตูห้องหนังสือเข้าไป
อันอี่เจ๋อซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องพลันชำเลืองมอง
ซูเจี๋ยนมองดูหนังสือในมืออีกฝ่าย พอจะมองประเมินได้จากรูปแบบตัวอักษรว่าไม่ใช่ภาษาจีนแน่นอน จึงโพล่งออกไป : “โอ้! อ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่เหรอ”
อันอี่เจ๋อพับปิดหนังสือในมืออย่างเป็นธรรมชาติ : “ภาษาฝรั่งเศส”
ซูเจี๋ยน : “…….”
อันอี่เจ๋อหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง : “ถึงเวลาแล้วเหรอ”
ซูเจี๋ยนผงกศีรษะรับ : “อืม ออกมากินข้าวเถอะ”
ทั้งสองทยอยเดินตามกันไปที่ห้องอาหาร ทว่า เมื่อเห็นมื้อกลางวันที่วางอยู่บนโต๊ะ อันอี่เจ๋อก็ต้องแข็งค้างไปทั้งร่างอย่างห้ามไม่ได้
ที่บนโต๊ะทานอาหารอันกว้างขวาง มองเห็นชามขนาดใหญ่สองใบวางไว้ในระนาบเดียวกันเป๊ะๆ ที่แช่น้ำร้อนอยู่จนเต็มด้านในชามก็เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเนื้อวัวตุ๋นยี่ห้อนายท่านคังที่ทุกคนรู้จักกันดีนั่นเอง
ซูเจี๋ยนกล่าวขึ้น : “รีบกินเร็วเข้าเถอะ เส้นกำลังอืดได้ที่พอดีเลย” เห็นว่าอันอี่เจ๋อยังไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ก็เอ่ยสำทับไปอีกประโยค : “นี่รสดั้งเดิมเลยนะ คนประเทศเราชอบกินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”
อันอี่เจ๋อ : “……”
……………………………….
ท้ายที่สุด อันอี่เจ๋อก็ได้แต่ทรุดกายนั่งลง แล้วคีบเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสดั้งเดิมเข้าปากเคี้ยวกลืนลงไปทีละคำ
ซูเจี๋ยนเห็นแล้วก็พึงพอใจมาก อารมณ์ดีขึ้นมาทันที หลังทานเสร็จก็ไม่ได้รีบร้อนกลับเข้าห้องไปเหมือนเคย กลับรั้งรออยู่ในห้องนั่งเล่น หาทางชวนอันอี่เจ๋อพูดคุยเข้าประเด็นที่ตัวเองสนใจ
ซูเจี๋ยนถามเลียบเคียงกับอันอี่เจ๋อ : “คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของฉันบ้างรึเปล่า”
อันอี่เจ๋อกล่าวตอบ : “ฉันรู้แค่ว่าเธอมาจากครอบครัวคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่เธอเลี้ยงเธอมาตามลำพัง”
ไม่แปลกที่สาวน้อยซูจะถึงกับยอมรับการแต่งงานจอมปลอมครั้งนี้เพื่อแลกกับเงินมารักษาอาการป่วยแม่ตัวเอง ความรักความผูกพันระหว่างสายเลือดยากจะหักใจทอดทิ้ง ยิ่งมารดาของสาวน้อยซูคนนี้ยังเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ดูแลเธอมาจนเติบใหญ่ เป็นที่คาดเดาได้ว่า วันเวลาเดือนปีที่ผ่านมาของคุณแม่ซูนั้นย่อมไม่ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อตอนนี้ ตนเองได้เข้ามาครอบครองร่างลูกสาวของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมต้องใช้ฐานะของสาวน้อยซูช่วยเหลือเจือจานครอบครัว ประพฤติตนเป็นบุตรกตัญญูให้ถึงที่สุด ซูเจี๋ยนลอบปฏิญาณกับตนเอง
“งั้น ตอนนี้แม่ฉันก็อยู่บ้านตัวคนเดียวเหรอ? ไม่มีใครคอยดูแลเธอเลยเหรอ”
อันอี่เจ๋อขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ : “จากที่เธอเคยบอก ดูเหมือนว่าจะมีคุณอาที่อายุน้อยกว่าคนหนึ่งคอยดูแลอยู่” [1]
“คุณอาที่อายุน้อยกว่า?” ซูเจี๋ยนอึ้งงันไป : “คุณแน่ใจนะ ไม่ใช่คุณอาที่เป็นญาติฝั่งแม่อะไรแบบนั้นเหรอ” [2]
อันอี่เจ๋อตอบเสียงเรียบ : “เธอเคยบอกว่า คุณอาที่อายุน้อยกว่าคนนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะกลายมาเป็นพ่อเลี้ยงเธอในไม่ช้า”
หลังจากซูเจี๋ยนหายจากอาการตกตะลึงแล้ว ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง นี่นับว่าเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรคุณแม่ซูก็ป่วยหนักขนาดนั้น ย่อมต้องมีใครสักคนคอยช่วยดูแลอยู่ใกล้ๆ แม้ยามนี้เขาจะตัดสินใจแล้วว่าจะรับหน้าที่ลูกกตัญญูต่อจากสาวน้อยซู แต่หากจะให้กล่าวตามความเป็นจริง คุณแม่ซูคนนี้สำหรับเขาแล้วก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง หากจะให้เขาไปดูแลเอาใจใส่อีกฝ่ายได้อย่างรู้ใจเหมือนพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เมื่อมีคนคอยอยู่ข้างๆ และสามารถให้การดูแลคุณแม่ซูอย่างเหมาะสมได้ นี่ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
ซูเจี๋ยนค้นเจอโทรศัพท์มือถือของสาวน้อยซูจากลิ้นชักข้างในห้อง หลังค้นดูรายชื่อติดต่อแล้ว ก็พบเห็นหมายเลขโทรศัพท์ใต้รายชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘หม่าม๊า’ ได้อย่างง่ายดาย หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ก็กดโทรหาเบอร์คุณแม่ซูทันที
“เฮ้! เจี๋ยนเจี่ยนเหรอ!” เสียงที่ปลายสายอีกฝั่งนั้นฟังดูอบอุ่นและดีใจมาก แต่กลับเป็น….เสียงของผู้ชายคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูเจี๋ยนเดาได้ว่านี่คงเป็นว่าที่พ่อเลี้ยงคนนั้นแน่นอน แต่ว่า สาวน้อยซูคนก่อนเรียกเขาว่ายังไงนี่สิ? ตอนนี้เขาไม่อาจใช้ข้ออ้าง ‘ความจำเสื่อม’ มาบอกปัดเรื่องราวได้ เพราะเขาไม่คิดจะให้คุณแม่ซูมารับรู้เรื่อง ‘ความจำเสื่อม’ ครั้งนี้ จะอย่างไรท่านก็อายุมากแล้ว ซ้ำยังป่วยหนัก ไม่อาจทนทานรับความตื่นตระหนกโศกเศร้าได้
ซูเจี๋ยนกลอกตาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ รีบคิดหาวิธีการรับมือ ครู่เดียวก็จงใจกดเสียงต่ำถามออกไป : “นี่ใครพูด”
“นี่อาหลี่ของเธอเองไงล่ะ!” ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะขลุกขลักในลำคอ : “ยัยเด็กนี่ ฟังไม่ออกรึไง”
“อ้อ อาหลี่นี่เอง เมื่อกี๊ฉันยังฟังไม่ชัดน่ะ” ซูเจี๋ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย : “พอเสียงมันดังผ่านโทรศัพท์ฉันมาแล้วก็เหมือนจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”
เสียงคุณอาหลี่ที่ปลายสายยังดูอบอุ่นใจดีอยู่เช่นเคย : “เธอฟังไม่ออกก็ไม่แปลกหรอก เมื่อสองวันก่อนอาป่วย เป็นหวัดนิดหน่อย เสียงก็เลยยังแหบๆ”
“เป็นหวัดเหรอ แล้วกินยารึยังล่ะ อาหลี่ อาต้องดูแลสุขภาพดีๆ นะ!”
เสียงของคุณอาหลี่ดูตื่นเต้นดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด : “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็แค่ไอไม่กี่ทีเท่านั้น เดี๋ยวกินยาหน่อยก็ดีขึ้นแล้วล่ะ ร่างกายอาเป็นยังไงเธอไม่รู้รึไง อาน่ะถึกทนจะตาย! เจี๋ยนเจี่ยน เธอก็อย่าได้กังวลไปเลย รู้มั้ย”
“อืม” ซูเจี๋ยนรับคำในลำคออย่างว่าง่าย จากนั้นก็ถามต่อ : “อาหลี่ แม่ฉันล่ะ”
“แม่เธอไปบ้านน้าหวัง เดี๋ยวอาจะไปตามมาคุยเดี๋ยวนี้แหละ….”
“ไอ๊ย์! อย่าๆๆ!” ซูเจี๋ยนหัวเราะแหะๆ ออกมาสองเสียง : “ไม่ต้องลำบากวิ่งไปตามหรอก ฉันไม่ได้มีเรื่องอะไร แค่อยากถามว่าช่วงนี้ร่างกายแม่เป็นยังไงบ้าง”
“ดีมากเลยล่ะ ได้ฟอกไตตามกำหนดตลอด! พูดไปแล้วก็ต้องขอบคุณเสี่ยวอันมากจริงๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวอันล่ะก็ พวกเราจะไปหาเงินมากมายปานนั้นมาจากไหนได้ เพราะแบบนี้ไงแม่เธอถึงพูดอยู่ตลอดเลย ว่าเค้าโชคดีที่ลูกสาวเฟ้นหาลูกเขยมาให้ได้ดีจริงๆ!”
ฟังเสียงคุณอาหลี่ที่ปลายสายยกย่องเทิดทูนอันอี่เจ๋อเสียขนาดนี้ ซูเจี๋ยนก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว ในใจก็ครุ่นคิด : คนเฒ่าคนแก่อย่างอาจะไปรู้อะไร ไอ้ที่อาคิดว่าลูกเขยคนนี้ดีนักดีหนาน่ะมันเรื่องโกหกทั้งเพ! ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวคนนี้ถูกเขาใช้งานอยู่ มีรึที่เขาจะยอมทำตัวใจกว้างแบบนี้!
คุยมาถึงตอนท้าย คุณอาหลี่ก็กล่าวขึ้นอย่างกระตือรือร้น : “นี่เจี๋ยนเจี่ยน เมื่อไหร่จะพาเสี่ยวอันกลับมาเยี่ยมบ้านบ้างล่ะ แม่เธอบ่นคิดถึงเธอแล้วนะ!”
ซูเจี๋ยนได้แต่กัดฟันพยักหน้ารับ : “อืม ถ้ามีเวลาพวกเราจะกลับไปเยี่ยมนะ”
เชิงอรรถ
[1] คุณอาที่อายุน้อยกว่า ในที่นี้เป็นคำว่า 叔叔 (ชูฉู) – หมายถึงผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่าแต่อาจไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ได้
[2] คุณอาที่เป็นญาติฝั่งแม่ ในที่นี้คือคำว่า 舅舅 (จิ้วจิ๋ว) – หมายถึงน้องชายของแม่