Ch.7 – ตอนที่ 14-15 จากนี้ไป เขาได้แต่ต้องใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
Translator : Akanirawan / Author
หลังทานมื้อเย็นกับอันอี่เจ๋อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูเจี๋ยนก็หดตัวกลับเข้าห้อง เปิดคอมดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่ใหญ่ ไม่มีสิ่งไหนดึงดูดความสนใจได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงได้แต่ควานหาเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำ
ตู้เสื้อผ้าของสาวน้อยซูเจี๋ยนก็ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม ยามเมื่อซูเจี๋ยนมาอยู่ต่อหน้ากองชุดเสื้อผ้าสตรีสีสันสดใสเหล่านั้นก็กลับทำให้รู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาวูบหนึ่ง หลังจากลังเลระหว่างชุดนอนลายกระต่ายน้อยกับลายคิตตี้อยู่ครู่ใหญ่ ในท้ายที่สุดซูเจี๋ยนก็รู้สึกว่าตัวเองทนรับสไตล์น่ารักบ้องแบ๊วแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงหยิบเอาเสื้อยืดสีขาวมาสวมแทนชุดนอนไปเสียเลย
ในห้องนอนของอันอี่เจ๋อนั้นมีห้องน้ำส่วนตัวอยู่แล้ว ดังนั้นห้องน้ำด้านนอกจึงสามารถใช้งานได้แบบไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น นี่ทำให้ซูเจี๋ยนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก หลังจากซูเจี๋ยนถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้ว เงาสะท้อนของหญิงสาวเต็มตัวก็ปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจนบนกระจกบานใหญ่ที่อยู่เหนือเคาน์เตอร์ห้องน้ำ
เป็นครั้งแรกที่ซูเจี๋ยนได้มองเห็นร่างนี้แบบชัดๆ เต็มสองตา ไม่กล่าวไม่ได้ว่าน้องสาวแซ่ซูคนนี้มีเรือนร่างที่งดงามมากจริงๆ ทรวงอกอวบใหญ่ผลิพุ่ง ทว่าไม่ได้ตระหง่านง้ำจนเกินตัว กลับมีรูปทรงกลมกลึงได้ขนาดชวนมองอย่างยิ่ง ช่วงเอวยังเพรียวบาง กะประมาณแล้วอย่างมากก็น่าจะสัก 19 นิ้วได้ เรียวขาทั้งสองข้างก็ตรงยาวได้สัดส่วน ผิวกายก็ขาวกระจ่างละลานตา ทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนโปร่งบางไปหมด ทว่ากลับไม่ได้ดูผอมแห้งแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเข้าที่เข้าทางสมส่วนพอดิบพอดี ยิ่งรวมเข้ากับใบหน้าเรียวเล็กละเอียดอ่อนน่ารักชวนทะนุถนอมแบบนี้ด้วยแล้ว ก็กล่าวได้ว่าเป็นสาวงามชั้นเลิศคนหนึ่งอย่างแท้จริง!
ซูเจี๋ยนได้แต่ครุ่นคิด : ‘นี่แหละที่ฉันฝันหาทั้งวันทั้งคืน สเปคฉันเลย!’
น่าเศร้าที่ดูเหมือนสวรรค์จะรักเขามากเกินไปหน่อย ตอบสนองความต้องการให้เขาอย่างถึงอกถึงใจ ถึงขั้นที่ว่าดูเหมือนจะตอบสนองให้เกินความต้องการไปนิด
ซูเจี๋ยนบิดเอวหมุนกายชื่นชมเรือนร่างตัวเองอยู่หน้ากระจกอย่างไม่อาจตัดใจอยู่พักใหญ่ สีหน้าสลับสับเปลี่ยนไปมา เดี๋ยวๆ ก็ดูเหมือนภาคภูมิใจ เดี๋ยวๆ ก็ดูหดหู่ละห้อยใจ
หลังจากชื่นชมตัวเองอยู่นาน จู่ๆ ซูเจี๋ยนก็พลันนึกขึ้นมาได้ : แม่สาวน้อยซูหน้าตาก็ดีแถมทรวดทรงก็อกเป็นอกเอวเป็นเอวซะขนาดนี้ ตอนนี้ยังต้องมาอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ถ้าหากอันอี่เจ๋อเกิดชอบเธอขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ หลังผ่านไปหนึ่งปีเจ้าคนแซ่อันนี่มิกลืนน้ำลายตัวเอง บิดพลิ้วไม่ยอมหย่าให้หรอกหรือ?
นึกได้แบบนี้แล้วซูเจี๋ยนก็เริ่มกังวลขึ้นมา แค่สองคนนี้แต่งงานกันหลอกๆ ก็ยากมากพออยู่แล้ว เขาอุตส่าห์มองเห็นวันเวลาที่จะได้หลุดพ้นไปอย่างยากลำบาก เรื่องน่ากลัวแบบนั้นจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด!
ดังนั้น หลังจากอาบน้ำอย่างทุลักทุเลเสร็จ ซูเจี๋ยนก็รีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกมาเคาะประตูห้องอันอี่เจ๋ออย่างใจร้อน
ประตูเปิดออก แวบแรกที่ซูเจี๋ยนมองเห็นก็คือแผงอกกว้างอันเปลือยเปล่าของอันอี่เจ๋อ
ซูเจี๋ยน : “……”
เห็นได้ชัดว่าอันอี่เจ๋อเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวหัวจรดเท้ามีแค่ผ้าเช็ดตัวพันห่อท่อนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่เพียงผืนเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มกำลังใช้มือขยับผ้าเช็ดตัวอีกผืนเช็ดเส้นผมเปียกชุ่มบนศีรษะตัวเอง พลางก้มลงมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า : เส้นผมยาวเหยียดยังเปียกชื้นทิ้งตัวระเกะระกะปกคลุมทั่วไหล่บ่าบอบบาง ท่อนบนสวมใส่ไว้เพียงเสื้อยืดสีขาวตัวหนึ่ง ซ้ำยังถูกหยดน้ำจากเส้นผมซึมลึกลงไปเป็นวงกว้างแนบเนื้อ เผยให้เห็นส่วนสัดโค้งนูนกลมกลึงที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้าได้เลือนราง ไม่จำเป็นต้องเพ่งมองก็เห็นได้ชัดเจนว่าหญิงสาวไม่ได้สวมใส่ชุดชั้นใน
ประกายวาววับสายหนึ่งวาบผ่านในดวงตาคมกริบของอันอี่เจ๋อ ทว่าคิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากันน้อยๆ : “มีอะไร?”
ซูเจี๋ยนไม่ได้รับรู้ถึงปัญหาเกี่ยวกับรูปลักษณ์วาบหวิวของตนเองในยามนี้เลยแม้แต่น้อย ในสมองของเขาตอนนี้มีแต่ความอิจฉา! อิจฉาไอ้เจ้าคนโป๊เปลือยตรงหน้า! แม่มเอ๊ย! ตอนเจ้าอันอี่เจ๋อมันใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ยังดูไม่ค่อยออกเท่าไหร่ แต่ทำไมตอนถอดเสื้อผ้ามันถึงหุ่นดีขนาดนี้! กล้ามแขนนั่นมันอะไร! กล้ามอกนั่นก็ด้วย!! แถมยังมีกล้ามท้องแปดลูกนั่นอีก!!! เจ้าหมอนี่มีหน้าตาแบบนั้นตั้งแต่เกิดมาแล้วก็แล้วไปเถอะ นี่ยังถึงขนาดมอบเรือนร่างสูงโปร่งกำยำอย่างกับนายแบบมาให้มันอีก! มีอะไรดีๆ ก็ประเคนใส่ให้มันซะหมด! องค์เทพบิดร ท่านจะลำเอียงอะไรขนาดนี้!
ซูเจี๋ยนไล่สายตาไปตามหยดน้ำที่หล่นลงมาจากปลายผมของอันอี่เจ๋อ ไหลกลิ้งเป็นทางลงมาตามลำคอแกร่ง แล้วก็หยดลงมาเกาะพราวอยู่ที่แผงอกกว้างและหน้าท้องหนั่นแน่น ดวงตาทั้งคู่จ้องมองเรือนร่างสมบูรณ์แบบกึ่งเปลือยตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความอิจฉาริษยาเต็มขั้น
เพียงแต่ภาพฉากทุกอย่างนี้ พอมองดูจากมุมมองของอันอี่เจ๋อ ก็กลับกลายเป็นว่า : สาวน้อยร่างบางตรงหน้าเบิกตากลมโต จ้องมองมาที่เรือนร่างของเขาอย่างไม่อาจละสายตาได้ แววตานั้นกวาดมองสำรวจไปทั่ว ยิ่งมองก็ยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็มาหยุดชะงักแน่วนิ่งอยู่ที่ตรงท้องน้อยของเขา จากนั้นใบหน้าเรียวเล็กน่ารักนั้นก็ค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมาอย่างช้าๆ
อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมานานขนาดนี้ นี่กลับเป็นครั้งแรกที่อันอี่เจ๋อรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองหนักหน่วงถี่กระชั้นขึ้นมาเล็กน้อย
ส่งผลให้น้ำเสียงของชายหนุ่มที่เรียบเฉยเย็นเยียบอยู่เป็นนิจ พลันเจือปนความอ่อนโยนสายหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว : “เจี๋ยนเจี่ยน?”
อันที่จริงซูเจี๋ยนยังไม่อยากจะยอมรับชื่อเล่นนี้ แต่พอนึกถึงว่าต่อจากนี้ทั้งสองคนยังต้องสวมบทบาทเป็นคู่รักต่อหน้าบุคคลอื่น หากไม่ฝึกเรื่องคำเรียกหาให้คุ้นชินไว้ก่อนก็คงไม่ดีแน่ อีกทั้ง ‘เจี๋ยนเจี่ยน’ นี้ก็ยังฟังดูดีกว่า ‘เมียจ๋า’ หรือ ‘คุณภรรยาครับ’ เป็นไหนๆ ดังนั้นเขาจึงฝืนข่มอาการขนลุกขนพองทั้งร่างลงไปอย่างสุดความสามารถ ซูเจี๋ยนเงยหน้าขึ้น ทางหนึ่งก็ค่อนขอดอยู่ในใจเงียบๆ ว่าทำไมเจ้าอันอี่เจ๋อคนนี้ถึงชอบวางท่าเป็นคุณชายนักหนาก็ไม่รู้ อีกทางหนึ่งก็เอ่ยปากขึ้น : “ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“ว่ามาสิ”
ซูเจี๋ยนมองสบตาอันอี่เจ๋อตรงๆ : “จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นมาได้น่ะ ในเมื่อเราแต่งงานกันปลอมๆ ก็เท่ากับว่าสักวันย่อมต้องแยกย้ายกันไปคนละทางแน่นอนอยู่แล้ว เพราะงั้นเราควรมาทำสัญญากันหน่อยดีมั้ย ว่ายังไงก็จะไม่รู้สึกชอบหรือหวั่นไหวต่อฝ่ายตรงข้ามเด็ดขาด”
อันอี่เจ๋อไม่ได้ตอบรับทันที
ซูเจี๋ยนโห่ร้องอยู่ในใจ : ดูสิดู! เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ตัวดีอะไรเลยจริงๆ ยังดีที่ฉันนึกเรื่องนี้ออกมาได้ก่อน ระวังป้องกันได้ทันเวลาพอดี……
“ฉันไม่มีทางชอบเธออยู่แล้ว”
ซูเจี๋ยนแข็งค้างไปทั้งร่าง
อันอี่เจ๋อยังกล่าวเสริมมาอีกประโยคด้วยน้ำเสียงแผ่วทุ้ม : “เพราะงั้นเธอสบายใจได้เลย”
บัดซบ! นี่มันก็เป็นคำตอบที่ตัวฉันเองอยากจะได้ยินอยู่แล้วชัดๆ แต่ทำไมพอไอ้เจ้าอันอี่เจ๋อมันพูดออกมาแบบนี้แล้วฉันถึงรู้สึกหงุดหงิดชะมัด!
ซูเจี๋ยนเค้นเสียงพูดอย่างโมโหโทโส : “งั้นคุณก็จำคำที่ตัวเองพูดไว้ให้ดีๆ ด้วยล่ะ!”
อันอี่เจ๋อผงกศีรษะเบาๆ : “ได้”
ซูเจี๋ยนยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าได้ฟังคำตอบที่ตนอยากได้ยินแล้ว ซูเจี๋ยนก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ให้ทรมานตัวเองนานไปกว่านี้ ดังนั้นจึงไม่พูดจามากความอีก หมุนกายกระโดดโหยงๆ จากไปทันที
“อุ๊ก——อ๊า!”
ก้าวออกไปยังไม่ถึงสองก้าว เท้าของซูเจี๋ยนก็งอพับ ล้มกองลงกับพื้นโดยสวัสดิภาพ
อันอี่เจ๋อรีบพุ่งกายเข้าไปพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้น : “ล้มไปกระแทกโดนตรงไหนบ้าง เจ็บรึเปล่า”
ป๊ะป๋าร้องเสียงหลงซะขนาดนี้ จะไม่เจ็บได้ยังไงล่ะหา! ซูเจี๋ยนตวัดสายตามองอันอี่เจ๋ออย่างหงุดหงิด น่าเศร้าที่สภาพร่างกายยามนี้เป็นหญิงสาวบอบบางคนหนึ่ง น้ำตาใสๆ พลันรื้นขึ้นมาเต็มเบ้าตาอย่างไม่อาจควบคุม ปิดบังความโกรธเกรี้ยวในแววตาไปจนหมด ที่อันอี่เจ๋อมองเห็นก็มีเพียงความเจ็บปวดของคนงามเท่านั้น : “เจ็บสิ….”
อันอี่เจ๋ออุ้มร่างบอบบางไปวางบนโซฟาอย่างทะนุถนอม : “ให้ฉันดูซิ เจ็บตรงไหนบ้าง”
ซูเจี๋ยนชี้ไปที่ขาข้างปกติด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย ขาเขาหักจนอยู่ในสภาพเข้าเฝือกหนาเตอะไปแล้วข้างหนึ่ง อีกข้างที่เหลืออยู่นี้ไม่อาจปล่อยให้หักได้เด็ดขาด มิฉะนั้นแม้แต่กระโดดแบบกระต่ายขาเดียวก็คงทำไม่ได้แล้ว ได้แต่ต้องนั่งรถเข็นหมุนไปหมุนมาอยู่อย่างเดียว
อันอี่เจ๋อเพ่งมองรอยช้ำบนหัวเข่าบอบบางของซูเจี๋ยนอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง : “ไม่น่าเป็นอะไรมาก เดี๋ยวนวดยาหน่อยก็น่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้ว”
หลังพูดจบ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
ซูเจี๋ยนห้อยขานั่งนิ่งอยู่บนโซฟา มองดูเขาหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาเปิดออก แล้วก็มองเขาบีบครีมนวดแก้ฟกช้ำออกมาจากหลอด ทาลงบนรอยฟกช้ำที่หัวเข่าตัวเอง
“ซี๊ด—”
“ทนหน่อยนะ เดี๋ยวทายาเสร็จก็ไม่เจ็บแล้ว”
ซูเจี๋ยนนั่งนิ่งอย่างเชื่อฟัง มองอันอี่เจ๋อโค้งกายลงป้ายยาใส่แผลให้ตนอย่างเอาใจใส่ จู่ๆ อารมณ์ความรู้สึกก็กลายเป็นซับซ้อนสับสนขึ้นมา
เขารู้สึกขึ้นมาว่า หลังจากรู้ว่าตัวเองได้แต่งงานปลอมๆ กับอันอี่เจ๋อ เจ้าศัตรูหัวใจที่ตนเองเกลียดชังแทบตายคนนี้ ก็เหมือนจะค่อยๆ…..มองดูแล้วสบายตาขึ้นมาทีละนิด
“อัน….อี่เจ๋อ”
อันอี่เจ๋อเงยหน้าขึ้นมามอง
ซูเจี๋ยนเอียงหน้าหลบทันที ไม่ยอมสบตากับเขา ปากก็กล่าวออกมาอย่างอึดอัดขัดเขิน : “ขอบ…ขอบคุณนะ!”
อันอี่เจ๋อมองดูใบหน้าเรียวเล็กแดงก่ำและแพขนตายาวที่สั่นระริกของอีกฝ่าย เงียบงันอยู่นาน ก่อนจะเปิดปากเอ่ยขึ้น : “ฉันจะอุ้มเธอกลับห้อง”
“เอ๋?” ซูเจี๋ยนเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิวขึ้นมา ถูกอันอี่เจ๋ออุ้มไว้ในอ้อมแขนเรียบร้อยแล้ว
ท่าอุ้มเจ้าสาวอะไรนี่ ไม่เห็นจำเป็นต้องเจอบ่อยขนาดนี้ก็ได้มั้ง! แม้จะรู้ว่าขาตัวเองเจ็บอยู่ทั้งสองข้างจนไม่อาจกระโดดกระต่ายขาเดียวได้ จึงได้แต่ต้องอาศัยอันอี่เจ๋อให้พากลับไป แต่ซูเจี๋ยนก็ยังรู้สึกเสียหน้ามากอยู่ดี จึงได้แต่อยากจะมุดหน้าหนีไปให้พ้นๆ สถานการณ์น่าอับอายที่ต้องเผชิญอยู่
ดังนั้น ผ่านไปไม่นานอันอี่เจ๋อก็ได้รู้สึกถึงใบหน้าเล็กๆ ร้อนผ่าวที่บดเบียดซุกแนบเข้ามาตรงแผงอกเปลือยเปล่าของตัวเอง
ประกายตาของอันอี่เจ๋อกลายเป็นเข้มสนิทลึกล้ำขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
ชายหนุ่มอุ้มซูเจี๋ยนเข้าไปในห้อง แล้ววางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา สายตาเจ้ากรรมก็ชำเลืองไปเห็นบางอย่างเข้าโดยไม่ตั้งใจ เพราะขยับจัดท่าทางอย่างไม่ระวัง ชั้นในสีขาวสะอาดจึงโผล่วับแวมออกมา แต่คนบนเตียงกลับยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวแม้แต่นิดเดียว อันอี่เจ๋อเบี่ยงสายตาหลบเล็กน้อย กล่าวขึ้นเสียงทุ้ม : “ฉันไปแล้วนะ”
ซูเจี๋ยนยังรู้สึกอับอายขายหน้าที่ถูกอุ้มมาด้วยท่าอุ้มเจ้าสาวแบบนั้นอยู่ ดังนั้นที่อันอี่เจ๋อได้ยินจึงมีเพียงเสียงหวานใสที่ครางอุบอิบในลำคอด้วยความประหม่า : “อืม”
อันอี่เจ๋อชะงักค้างไปเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนกายกลับแล้วจากไป
……………………………….
หลังอันอี่เจ๋อออกไปแล้ว ซูเจี๋ยนก็นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง รู้สึกเบื่อหน่ายแทบตาย คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ค่อยๆ กระถดตัวไปจนถึงคอมพิวเตอร์ด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
ขณะที่กำลังกวาดตาอ่านไปตามเว็บบอร์ด จู่ๆ ก็ชำเลืองไปเห็นหัวข้อเกี่ยวกับการแปลงเพศเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ซูเจี๋ยนเหม่อลอยไปทันที
ใช่แล้ว ถึงตอนนี้เขาจะกลายร่างเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังมีวิธีแปลงเพศกลับไปเป็นผู้ชายอยู่นี่นา!
ดังนั้น ซูเจี๋ยนจึงเริ่มทำการค้นคว้าหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยความตื่นเต้นกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม
หลังจากมองหาอยู่พักใหญ่ ความกระตือรือร้นก็ค่อยๆ จางหาย กลายเป็นเยือกเย็นลงอย่างช้าๆ
ถึงอย่างไร ด้วยเหตุผลด้านสรีระร่างกายแต่กำเนิด การแปลงเพศย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
แน่นอนว่า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ร่างกายที่มีอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ร่างของเขาจริงๆ
แท้จริงแล้วน้องสาวแซ่ซูที่เป็นเจ้าของร่างนั้นตกตายไปแล้ว หรือว่าเป็นเหมือนเขาที่แค่ฟื้นตื่นขึ้นมาในร่างของคนอื่น เขาไม่อาจรับรู้ได้เลย แต่ในเมื่อเขามายึดครองร่างของสาวน้อยแซ่ซูคนนี้แถมยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็ถือเป็นโชควาสนามากแล้ว เขาสมควรจะทะนุถนอมร่างกายของน้องสาวซูคนนี้ให้ดีๆ ไม่อาจล่วงล้ำทำลายตามใจชอบได้
อีกทั้งสาวงามแซ่ซูคนนี้ก็ยังมีเพื่อนมีครอบครัวของตัวเอง เขาจำต้องใส่ใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นด้วย
ซูเจี๋ยนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปิดคอมพิวเตอร์ ล้มตัวลงนอนกลับลงไปบนเตียงอีกครั้ง
มาถึงขั้นนี้ จากรูปการณ์แล้ว โอกาสที่เขาจะได้กลับไปเป็นผู้ชายอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น เขาก็ต้องยอมรับความจริง
จากนี้ไป เขาได้แต่ต้องใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
จากนี้ไป เขาไม่ใช่ซูเจี๋ยนคนนั้นอีกแล้ว
จากนี้ไป เธอก็คือซูเจี๋ยน
——————
แฟนเพจ ‘Akanirawan’ https://bit.ly/3gBu94T
ได้รับลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย