ตอนที่ 288 อย่ามีข้อผิดพลาด

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ปัง! โต๊ะข้างกายของราชเลขาหลินพังลงจริงๆ แตกกระจายอยู่เต็มพื้น

 

 

คนในห้องต่างตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน

 

 

“ลูกอกตัญญู เจ้าควรพูดเช่นนี้หรือ” ราชเลขาหลินกล่าวด้วยความโกรธ

 

 

ฮูหยินร้องอย่างตกใจ “เยียนเอ๋อร์ รีบขอโทษท่านพ่อเร็วเข้า”

 

 

หลินหันเยียนยังคงปากแข็ง

 

 

ราชเลขาหลินโกรธเสียจนมือไม้สั่นไปหมด สั่งด้วยเสียงโกรธว่า “เอาลูกอกตัญญูคนนี้ไปไว้ที่เรือนของนาง ไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามให้นางออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว”

 

 

“นายท่าน!” ฮูหยินอยากจจะห้าม

 

 

ราชเลขาหลินโกรธยิ่งกว่าเดิม “มีแม่ตามใจจนลูกเสียคน นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเจ้าตามใจจนเคยตัว หากไม่ให้นางสำนึกผิด น่ากลัวว่านางจะกล้าทำเพื่อผู้ชายจนไม่เห็นหัวพวกเราอีกเลย” พูดจบ ก็ตวาดหงเอ๋อร์และสาวใช้ข้างกายว่า “ยืนซื่ออยู่ทำไม อยากถูกโบยหรืออย่างไร”

 

 

ทั้งสองกลัวจนตัวสั่น รีบเดินไปหาหลินหันเยียน พยุงนางขึ้นมา

 

 

หลินหันเยียนไม่ขัดขืน นางยืนขึ้น พูดคำขาดไปว่า “ท่านพ่อ ต่อให้ลูกตายก็จะต้องได้แต่งงานกับพี่อวี้”

 

 

ราชเลขาหลินโกรธเสียจนแทบจะลมจับ

 

 

ฮูหยินรีบโบกมือให้หงเอ๋อร์ “รีบพาคุณหนูไปสิ”

 

 

หงเอ๋อร์และสาวใช้อีกคนออกแรง ดึงหลินหันเยียนออกไป

 

 

ราชเลขาหลินโกรธเสียจนหายใจแทบไม่ออก

 

 

“นายท่าน เยียนเอ๋อร์ยังเด็กนัก ไม่เข้าใจโลก ท่านจะโกรธนางถึงเพียงนี้ไปใยกัน”

 

 

ราชเลขากดความโกรธไว้ไม่ไหว ตวาดว่า “เพื่อการหมั้นหมายของนาง ข้าต้องถูกผู้อื่นเยาะเย้ยเอาเท่าใด บัดนี้ว่าจะหาคนที่ทำให้พอใจได้ นางกลับยอมแพ้ จะไปแต่งกับซู่จื่อ”

 

 

ฮูหยินปลอบใจว่า “แต่ไหนแต่ไร เรื่องการหาคู่ครองคือคำสั่งของพ่อแม่ คำของแม่สื่อแม่ชัก หากไม่มีการอนุญาตจากพวกเรา ต่อให้นางมีความคิดเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ใด อีกอย่าง นางโตมากับเจ้าคนไร้ประโยชน์นั่น มีความรักต่อกันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ต่อไปนี้พวกเราดูแลให้เคร่งครัดเสียหน่อย ไม่ให้พวกเขาต้องพบกันอีกก็พอแล้ว”

 

 

ราชเลขาหลินสงบอารมณ์ลงได้บ้าง “ในเมื่อนางมีความคิดเช่นนี้แล้ว เกรงว่าพวกเราจะห้ามไม่อยู่”

 

 

“อย่างนั้นจะไปยากอะไรกัน จากวันนี้เป็นต้นไป เราส่งคนไปเฝ้านางไว้ หากนางไม่ยอม ก็อย่าได้ออกจากจวนไปไหนอีกเลย” ฮูหยินกล่าว

 

 

ราชเลขาถอนหายใจยาวเหยียด พยักหน้า “ก็ต้องเป็นเช่นนั้น ให้คนไปเฝ้าให้ดี อีกไม่กี่วันการสอบจอหงวนก็จะเสร็จสิ้นแล้ว อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้”

 

 

ฮูหยินตกลง สั่งให้คนเก็บกวาดเศษไม้ที่อยู่บนพื้นออกไป

 

 

ราชเลขาหลินถอนหายใจยาวเหยียด คิดถึงต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด กัดฟัดพูดว่า “ใช่ ต่อจากนี้นางจะต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อจวนราชเลขาของเรา”

 

 

 

 

ณ จวนอ๋อง

 

 

หลังจากหลินหันเยียนจากไปแล้ว ในใจของพระชายาก็ทรมานยิ่งนัก นางนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปยังเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากด้านใน ความทุกข์ในใจได้สลายหายไป อารมณ์ดีขึ้นมา เดินเข้าไปด้านใน

 

 

แผนการณ์ของหญิงทั้งสามคน อย่าคิดว่าเป็นหญิงมีอายุรวมไปถึงเมิ่งเชี่ยนโยวที่ทำตัวเป็นเด็กตั้งแต่ท้อง พลังของพวกนางเยอะเหลือเกิน ต่อให้หวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ดีเพียงใดก็รับไม่ไหว เขายืนขึ้น ทำความเคารพจากนั้นก็ ‘หนี’ ออกไป

 

 

จากนั้นก็จงใจสั่งให้คนไปส่งข่าวให้หวงฝู่อวี้ที่อยู่ด้านนนอก กว่าหวงฝู่อวี้จะตามมานั้น ก็ไร้ซึ่งเงาของหลินหันเยียนเสียแล้ว

 

 

เขาร้อนใจ รีบมาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากด้านใน จึงได้ถอยฝีเท้าออกมา

 

 

แต่ก็ยังอดไม่ไหว ยืนรายงานอยู่ด้านหน้าประตู “เสด็จแม่ อวี้เอ๋อร์มีเรื่องมาหาท่าน”

 

 

ในห้องเงียบลง น้ำเสียงชัดเจนของพระชายาดังออกมา “ตอนนี้แม่ไม่ว่าง มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันตอนค่ำเถิด”

 

 

หวงฝู่อวี้อ้าปาก แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

 

หลังจากกลับมายังเรือนของตน รอคอยอย่างร้อนใจ สั่งให้คนไปคอยดูพระชายาเอาไว้ ถ้าหากนางกลับเรือนของตนแล้วให้รีบมารายงานแก่เขาทันที

 

 

เวลาผ่านไปทีละน้อย ในที่สุดก็ได้ข่าวว่าพระชายากลับเรือนเสียที หวงฝู่อวี้เดินกึ่งวิ่งไปยังเรือนของนาง เพื่อถามเรื่องของหลินหันเยียน

 

 

พระชายาเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังโดยไม่ปิดบัง พูดว่า “อวี้เอ๋อร์ แม่รู้ดีว่าเจ้าไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับเยียนเอ๋อร์แล้ว จึงได้ไม่ตอบตกลงนาง แต่ก็ไม่ได้หักหน้านาง สัญญาว่าให้เวลานางสองสามวัน เจ้าวางใจเถิด ดูจากนิสัยใจคอของสองสามีภรรยาหลินนั่น ไม่มีทางตกปากรับคำนางเป็นอันขาด รอเวลาผ่านไป แม่จะไปทำเรื่องหมั้นหมายให้เจ้าทันที ถึงตอนนั้นต่อให้เยียนเอ๋อร์เสียใจก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าหมั้นหมายไปแล้ว นางจะทำอย่างไรได้”

 

 

หวงฝู่อวี้อ้าปาก แล้วปิดลง และเปิดปากอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ในที่สุดก็พูดออกมาว่า “เสด็จแม่ อย่างไรเยียนเอ๋อร์ก็เป็นเด็กที่ท่านเห็นนางโตขึ้นมา ท่านไม่มีความรู้สึกกับนางเลยหรือ”

 

 

พระชายาเบิกตาโต ถามด้วยความสงสัยว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

 

 

หวงฝู่อวี้รู้ตัวว่าตนใจร้อนเกินไปแล้ว จึงรีบตอบว่า “เสด็จแม่ ความหมายของลูกคือ…”

 

 

คืออะไร เขาเองก็พูดไม่ออก เพราะเขาเองเป็นคนพูดว่าหลินหันเยียนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนเอง แล้วเขาจะพูดอะไรได้

 

 

พระชายารอคำตอบของเขา เมื่อเห็นเขาไม่พูด จึงได้ถามย้ำว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

 

 

หวงฝู่อวี้กล่าวขอโทษ “ไม่มีอะไรขอรับ เสด็จแม่ อวี้เอ๋อร์ใจร้อนไปเอง ท่านอย่าถือสาลูกเลย”

 

 

มองเขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย พระชายาไม่ได้ถือสาอะไร “ข้าได้นำเวลาตกฟากของเจ้าและแม่นางผู้นั้นไปให้ซินแสดูแล้ว อีกไม่กี่วันคงรู้ข่าว สองสามวันนี้เจ้าอย่าไปไหนไกล รอฟังข่าวจากข้า”

 

 

หวงฝู่อวี้ตอบรับด้วยความเคารพ หันหลังกลับเรือนของตนไป นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องของตน ถึงขนาดบ่าวรับใช้เชิญไปกินข้าว เขาก็ยังปฏิเสธว่าตนไม่หิว

 

 

ทุกคนเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ได้สั่งคนไปเรียกเขามาอีก

 

 

ช่วงวันนั้น หวงฝู่อวี้ออกไปตอนดึกดื่นและกลับเข้ามายามเช้าเสมอ หลินหันเยียนก็ไม่ได้มาที่จวนอีกเลย

 

 

หวงฝู่อวี้ทนไม่ไหว จึงได้สั่งคนแอบไปสืบมา จึงได้ทราบว่าหลินหันเยียนถูกกักบริเวณ ในใจจึงรู้สึกแย่ยิ่งนัก ดังนั้น เมื่อพระชายามาพูดคุยเรื่องกำหนดวันหมั้นหมายให้เขานั้น น้ำเสียงของเขามิได้มั่นใจเช่นเคย ปฏิเสธไปว่า “เสด็จแม่ ลูกเพิ่งจะรับทอดกิจการมา งานยุ่งเหลือเกิน วันหมั้นหมายเราเลื่อนไปก่อนเถิดนะขอรับ”

 

 

พระชายาขมวดคิ้วลง ถามว่า “อวี้เอ๋อร์ วันหมั้นหมายนี้เราได้ตกลงกันตั้งนานแล้ว เจ้ามาเปลี่ยนใจตอนนี้ แล้วแม่จะมีหน้าไปพบอีกฝ่ายได้อย่างไร”

 

 

“เป็นความผิดของลูกเองขอรับ ทำให้เสด็จแม่ต้องกังวลใจ แต่ว่าลูกไม่มีเวลาจริงๆ รอให้ช่วงนี้สะสางงานเรียบร้อยแล้ว ลูกจะเชื่อฟังเสด็จแม่อย่างดี”

 

 

พระชายาถอนหายใจยาวเหยียด พูดว่า “อวี้เอ๋อร์ มิใช่ว่าแม่บังคับเจ้า แม่เองรู้สึกผิดมากแล้ว หากว่ายังเลื่อนไปอีก…”

 

 

หวงฝู่อวี้รีบตัดบทนาง “เสด็จแม่ ลูกไม่มีเวลาจริงๆ เอาอย่างนี้เถิด ลูกสัญญา ลูกขอเวลาหนึ่งเดือนลูกจะทำงานให้เสร็จ ถึงเวลานั้น ท่านจะวางแผนอย่างไรก็ได้”

 

 

พระชายาดีใจ แต่ว่ากลับเผยสีหน้าลำบากใจออกมา ครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า “ก็ได้ แม่ให้เวลาไม่เกินหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้นแม่จะทำทุกอย่างให้ลูกหมั้นหมายให้ได้ ถึงจะต้องมัดลูกมาก็ตาม”

 

 

หวงฝู่อวี้ถอนหายใจ “ขอบพระคุณเสด็จแม่ ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วันก็ถึงวันสอบจอหงวน ก่อนหน้าหนึ่งวัน ตระกูลเมิ่งต่างกรูกันมา ส่งเมิ่งเหรินเข้าสนามสอบ เห็นเขาเดินเข้าไปแล้ว จึงได้หันหลังกลับ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนตามมา ทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้า เดินทางข้ามผ่านเมืองอย่างช้าๆ

 

 

นานแล้วที่ไม่ได้ออกมาด้านนอก เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่จะเปิดม่าน มองออกไปด้านนอก มองผู้คนเดินไปมา ฟังเสียงคนค้าขายตะโกนเรียกลูกค้า ความคิดที่ผุดขึ้นมาหลายวันก่อน บัดนี้ได้ผุดขึ้นมาในหัวนางอีกครั้ง จึงได้หันไปบอกหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความตื่นเต้นว่า “อี้เซวียน ข้าคิดออกแล้วว่าวันนั้นข้าจะพูดอะไร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบข้างหูเขา บอกความคิดของตนให้เขาฟัง ถามอย่างรอคอยว่า “เจ้าคิดว่าความคิดนี้เป็นอย่างไร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนคิดเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “ดีมาก แต่ว่าอย่างนี้เจ้าจะเหนื่อยเกินไปหรือไม่”

 

 

สายตาเข้าเล่ห์ของเมิ่งเชี่ยนโยวฉายเข้ามาเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า “เราไม่ได้ไปเยี่ยมพี่ใหญ่นานแล้ว ควรไปหาเขาบ้างใช่หรือไม่”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนข้าใจความหมายของนางทันที ยิ้มออกมา สั่งโจวอันว่า “หยุดรถ”

 

 

โจวอันหยุดรถ หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้า ไปบอกเมิ่งซื่อว่าตนและเมิ่งเชี่ยนโยวมีธุระต้องไปทำ

 

 

เมิ่งซื่อกำชับซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่วางใจ ให้เขาดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวให้ดี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ จากนั้นก็กลับขึ้นมาบนรถม้า สั่งให้โจวอันไปส่งที่ตงกง

 

 

แผลที่ขาของหวงฝู่ซวิ่นดีขึ้นนานแล้ว บัดนี้กำลังจัดการเรื่องในวังที่ฮ่องเต้สั่งให้เขาทำอยู่ที่มุมร่มในบริเวณเรือนของตน เมื่อได้ยินว่าทั้งสองมาหา เขาไม่ชายตาขึ้นมามองก็พูดว่า “ข้าไม่พบ เจ้าพวกคนใจดำ จะต้องมาคิดบัญชีกับข้าเสียทุกที”

 

 

พูดจบ น้ำเสียงขบขันของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังออกมา “อี้เซวียน มีคนกำลังให้ร้ายพวกเราอยู่”

 

 

ถึงแม้นางจะพูดด้วยรอยยิ้ม และหวงฝู่ซวิ่นกลับรู้สึกถึงความหนาวเย็น ตัวสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เงยหน้าขึ้น เห็นทั้งสองเดินใกล้เข้ามาเรื่อย

 

 

น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็เต็มไปด้วยความล้อเล่น แต่ว่าการล้อเล่นนี้กลับทำให้หวงฝู่ซวิ่นกลับรู้สึกสยดสยองยิ่งกว่าเดิม “เจ้าจะให้ข้าจัดการกับเขาอย่างไรหรือ บอกข้ามา ข้าจะทำให้ได้เลย”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโยนของในมือใส่พวกเขา “พวกเจ้าทั้งสอง พอได้แล้ว ว่างนักหรือจึงได้มาโอ้อวดความรักถึงวังของข้า หากมิใช่เห็นแก่ว่าน้องสะไภ้กำลังมีครรภ์อยู่ ข้าคงจะสั่งให้คนมาโบยพวกเจ้าเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจออกมา “อี้เซวียน ดูทีท่านพี่คงจะแค้นที่เจ้าทำร้ายเขาครั้งก่อน เห็นทีเรื่องเช่นนี้พวกเราคงจะทำไมได้อีกแล้ว”

 

 

น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนอ่อนโยน และแฝงไปด้วยความกังวล “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรื่องวันนี้เราก็อย่าพูดไปเลย ไปกันเถิด อย่าให้เขาทำให้เจ้าโกรธขึ้นมาอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างว่าง่าย “ได้ พวกเรากลับกันเถิด”

 

 

พูดจบ ขณะที่ทั้งสองกำลังหันหลังเดินกลับนั้น

 

 

หวงฝู่ซวิ่นหัวเสียแทบแย่ ทั้งสองมาอย่างไม่บอกไม่กล่าว เพื่อมาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนทำให้เขามึนงงไปหมด จากนั้นก็จากไปอย่างไม่ลังเล แม้จะรู้ดีว่าทั้งสองจงใจเช่นนั้น แต่หวงฝู่ซวิ่นก็อดไม่ได้ พูดเสียงดังว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ตกลงพวกเจ้าจะทำอะไรกัน”

 

 

ทั้งสองทำหูทวนลม ย่างกรายออกไปอย่างช้าๆ

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโกรธมา ตะโกนว่า “หยุดพวกเขาไว้”

 

 

หัวหน้าขันทีและขันทีผู้น้อยรีบมาขวางพวกเขาเอาไว้ ขันทีกล่าวว่า “ซื่อจื่อ ได้โปรดหยุดด้วย”

 

 

ทั้งสองหยุดฝีเท้าลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบอย่างใจเย็นว่า “พี่ใหญ่ เจ้าอยากจะทำอะไรกันแน่”

 

 

“อย่ามามารยากับข้า” หวงฝู่ซวิ่นยืนขึ้น พูดเสียงดังว่า “รีบไสหัวมานี่ บอกข้าว่าพวกเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว มองนางอย่างเชื่อฟัง “เจ้าว่าทำอย่างไรดี ข้าจะเชื่อฟังเจ้า”

 

 

“พี่ใหญ่เป็นถึงไท่จื่อ คำสั่งของเขาพวกเราจะไม่ฟังได้อย่างไรกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าบอกเขาไปเถิด อย่างไรเสียเราอุตส่าห์เดินทางมาถึงนี่ ข้าเองก็เหนื่อย ถือว่าได้พักเสียหน่อย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรีบพยุงนางไว้ “เหนื่อยแล้วหรือ เหตุใดเจ้าไม่รีบบอก มานี่ รีบนั่งลงก่อน”

 

 

พูดจบ ก็มองขันทีเล็กน้อย

 

 

ขันทีแข้งขาอ่อนแรง แทบจะทรุดลงกับพื้น ตกใจเสียจนรีบวิ่งไปนำเก้าอี้มา วางไว้ใต้ร่มเงา ใช้ชายเสื้อเช็ดเก้าอี้ให้สะอาด จากนั้นก็พูดอย่างประจบว่า “พระชายาซื่อจื่อ เชิญนั่งเถิด”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนแทบจะเตะขันทีให้กระเด็น เจ้าคนใจเสาะ เพียงสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ทำเขากลัวได้ถึงเพียงนี้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวให้นั่งลง จากนั้นขันทีก็นำเก้าอี้มาอีกตัว วางไว้คู่กัน

 

 

ทั้งสองนั่งลง เห็นหวงฝู่ซวิ่นยืนอยู่ หวงฝู่อี้เซวียนจึงทำตัวเป็นเจ้าบ้านเสียเอง พูดว่า “พี่ใหญ่ เชิญนั่งเถิด