หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้นั่งลง แต่กลับกัดฟันกรอด พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “หากเรื่องที่พวกเจ้าจะพูดวันนี้ไม่สำคัญ ข้าจะสั่งให้คนเอาพวกเจ้าไปทิ้งไว้นอกวัง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา มองหัวหน้าขันทีเล็กน้อย

 

 

หัวหน้าขันทีตัวสั่นอีกครั้ง รีบสั่งคนให้ไปเอาผลไม้และของหวานมาถวาย ทั้งหมดนี้เขาได้มองข้ามการมีตัวตนอยู่ของหวงฝู่ซวิ่นไป ราวกับว่าหวงฝู่อี้เซวียนเป็นนายใหญ่ของตงกงอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ นำผลไม้และของหวานวางไว้ตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อเห็นนางกินอย่างพึงพอใจ จึงได้หันไปคุยกับหวงฝู่ซวิ่นว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”

 

 

ความโกรธของหวงฝู่ซวิ่นถึงขีดสุดแล้ว อีกไม่นานคงจะระเบิดออกมา เมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีว่า “รีบพูดมา!”

 

 

มองคนที่ถวายการรับใช้เล็กน้อย หวงฝู่อี้เซวียนเอนไปพิงเก้าอี้ด้วยความสบายใจ พูดว่า “พวกเรามาวันนี้ เพราะว่ามีเรื่องดีๆ อยากให้พี่ใหญ่ไปทำ แน่นอนว่า พวกเราไปทำเองก็ได้ แต่ว่า โยวเอ๋อร์เห็นว่าท่านเป็นพี่ใหญ่ ปกติแล้วดูแลเราอย่างดี จึงได้มอบโอกาสสร้างชื่อเสียงให้ท่านไป”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นไม่เชื่ออย่างแน่นอน จึงถามด้วยเสียงต่ำว่า “อย่ามาพูดมาก รีบบอกมาว่าเรื่องอะไร”

 

 

“เรื่องเป็นเช่นนี้ ช่วงนี้โยวเอ๋อร์มีความคิดแปลกๆ อยากจะจัดงานหาคู่ให้กับทหารพิการทางเป่ยเฉิง ดังนั้น…”

 

 

“พวกเจ้าจึงนึกถึงข้า?” หวงฝู่ซวิ่นพูดรอดไรฟัน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “นี่เป็นโอกาสดีที่ท่านจะได้สร้างชื่อเสียง พวกข้าคิดไปคิดมา คิดว่าอย่างไรก็ให้พี่ใหญ่ไปทำเหมาะสมกว่า”

 

 

ทำท่าทางใหญ่โต ก็เพื่อเรื่องเท่านี้เองหรือ ให้ไท่จื่ออย่างเขาไปเป็นแม่สื่อแม่ชัก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะไม่ให้คนเขาเยาะเย้ยเอาเหรือ หวงฝู่ซวิ่นทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ชี้นิ้วไปที่ประตูวัง “พวกเจ้าไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไปยิ่งไกลยิ่งดี ต่อไปอย่าให้ข้าเห็นหน้าพวกเจ้าอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังกินผลไม้อยู่สำลักออกมา ไอสองสามที

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรีบทุบหลังให้นางเบาๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เหตุใดจึงไม่ระวังเช่นนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา เงยหน้ามองหวงฝู่ซวิ่น ด้วยสีหน้าใสซื่อ “ท่านแน่ใจหรือว่าจะให้เราไสหัวไป”

 

 

‘แน่ใจ’ คำพูดติดอยู่ที่ปาก แต่หวงฝู่ซวิ่นไม่กล้าพูดออกไป รีบพิจารณาเรื่องที่สองคนนั้นพูดอีกที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่ได้สนใจคำตอบของเขา หันไปหาหวงฝู่อี้เซวียน “อี้เซวียน เห็นทีท่านพี่คงจะไม่เห็นค่าของโอกาสที่จะสร้างชื่อครั้งนี้ พวกเราไปกันเถิด”

 

 

“เดี๋ยวก่อน!” ไม่รอให้หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ หวงฝู่ซวิ่นรีบเปิดปากห้ามเขา “พวกเจ้าอธิบายทีว่าเรื่องนี้มีผลดีกับข้าอย่างไร”

 

 

“มีผลดีแน่นอนเจ้าค่ะ ทหารพวกนั้นพิการก็เพื่อบ้านเมือง พี่ใหญ่ออกหน้าไปจัดหาคู่ครองให้พวกเขา เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สถาปนารัฐอู่มา ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ประชาราษฎร์ต่างจะก็จะชื่นชมไท่จื่ออย่างท่านเป็นแน่”

 

 

ที่พูดก็ฟังดูมีเหตุผลดี หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า “พูดต่อ”

 

 

“ข้อดีประการที่สองคือ สามารถบอกคนในรัฐอู่ได้ว่า ผู้ใดที่เสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง ราชวงศ์ก็มิได้หลงลืมเขา เช่นนี้ การเกณฑ์ทหารในภายหน้าก็จะง่ายขึ้น”

 

 

“ประการที่สาม ท่านทราบดีว่าน้าของพวกเรา ท่านแม่ทัพฉู่รักพลทหารราวกับลูก หากท่านทำเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องซาบซึ้งในตัวท่านแน่ ถึงตอนนั้นก็จะยิ่งเต็มใจทำเพื่อท่าน แล้วท่านจะลังเลอยู่ใย”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า สีหน้ามีความสุขไม่น้อย “น้องสะใภ้พูดไม่ผิดเลย มีข้อดีมากโขอยู่ ดูทีข้าจำต้องทำแล้ว?”

 

 

“ก็ไม่แน่เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “หากท่านพี่ไม่ยินดี พวกเราทำเองก็ได้ ข้าพูดตรงๆ อันที่จริง เรื่องนี้ข้าคิดจะทำด้วยตัวเอง เพราะอย่างไรข้าก็เป็นคนของโรงงาน พวกเขาก็เคยช่วยเหลือข้ามามากมาย แต่อี้เซวียนเกรงว่าข้าจะเหนื่อยเกินไป จึงได้นำโอกาสดีนี้มาให้พี่ใหญ่ หากท่านไม่เห็นด้วยก็มิเป็นไร อย่างมากข้าก็เพียงยอมเหนื่อยเสียหน่อยเท่านั้น”

 

 

“ไม่ต้องๆๆ” หวงฝู่ซวิ่นห้ามนาง “เสด็จอาและเสด็จอาสะใภ้รอผู้สืบสกุลให้จวนอ๋องมานานแล้ว หากเจ้าต้องเหนื่อยเพราะเรื่องพวกนี้แล้วเกิดอะไรขึ้น พวกท่านคงได้มาทำลายตำหนักของข้าเป็นแน่ เรื่องนี้ให้ข้าทำเองเถิด พวกเจ้าคิดแผนอยู่เบื้องหลังก็พอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย “ข้ารู้ดีว่าพี่ใหญ่จะต้องยอม ร่างกายข้าไม่ค่อยสะดวก ไม่ควรโหมงานหนัก วางแผนต่างๆ ก็คงทำมิได้ แต่หากต้องการคนเมื่อใด ก็ขอให้พี่ใหญ่รีบบอกพวกเราเถิด พวกเราจะมาทันที”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกอีกครั้งว่าตนตกหลุมพรางของทั้งสองอีกแล้ว ทั้งที่เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวเองที่ออกความคิดจะให้หาคู่ให้ทหารผ่านศึก แต่กลับผลักความรับผิดชอบให้เขา ส่วนนางก็สบายไป แต่ว่าเรื่องนี้เป็นผลดีกับเขาหลายประการ เขาจึงไม่ได้ว่าอะไร

 

 

เมื่อนำเรื่องนี้ทิ้งให้หวงฝู่ซวิ่นดูแลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับไปจวนอ๋องอย่างสบายใจ

 

 

หลังจากนั้นสามวัน เมิ่งเหรินออกมาจากสนามสอบด้วยสีหน้าหมองคล้ำ แต่กลับดูสดชื่นมาก เมื่อทุกคนเห็นดังนั้น ใจที่กังวลอยู่ก็วางใจลง ไม่ได้ถามอะไรมาก กลับหนานเฉิงไปด้วยความยินดี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็มาด้วย เมื่อเห็นสีหน้าเขาก็ใจชื้นขึ้นมา ไม่ได้กลับไปยังหนานเฉิงด้วย แต่ไปดูที่โรงงานตามคำขอของเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ขณะที่กำลังหันหลังกลับมานั้น ก็เห็นฮั่วเซียงหลิงยืนอยู่หน้าประตูสนามสอบ มองมาด้านในสนามสอบ ครู่ใหญ่ จึงได้เห็นว่าสามีของนางก็เดินออกมาจากสนามสอบเช่นกัน

 

 

ฮั่วเซียงหลิงเดินออกไปต้อนรับด้วยความยินดี รับผ้าห่มและของใช้สำหรับการสอบจากมือเขามากับมือ สีหน้าของฝ่ายชายเหนื่อยล้า แต่ก็ยังยิ้มให้ฮั่วเซียงหลิง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นภาพทั้งหมด หรี่ตาลงไม่ได้พูดอะไร หันหลังเดินขึ้นรถม้าไป

 

 

โจวอันควบรถม้าไปยังเป่ยเฉิง แต่เดินทางมาได้ไม่ไกล ก็รายงานด้วยเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ ข้าเห็นคุณชายหลิวขอรับ” พูดจบ เกรงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดจึงได้เสริมอีกคำว่า “เป็นคุณชายที่ท่านให้พวกเราไปปล้นครั้งก่อนขอรับ”

 

 

เป็นลูกเขยที่ราชเลขาหลินเตรียมหาเอาไว้ เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านออก แต่แห็นเพียงแผ่นหลังของเขาเดินเข้าร้านอาหารไป ขมวดคิ้ว ถามว่า “เขาเข้าร่วมการสอบจอหงวนด้วยมิใช่หรือ เหตุใดจึงได้สบายใจเช่นนี้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่งการทันที “รีบไปดู ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

 

ด้านนอกมีเสียงตอบรับ ตามไปยังร้านอาหาร

 

 

รถม้าไม่ได้หยุดวิ่ง ตรงไปยังโรงงานทันที

 

 

คนในโรงงานทักทายนางด้วยความยินดี เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มทักทายทุกคน

 

 

เมื่อเมิ่งฉีได้ยินดังนั้น จึงได้รีบร้อนตามมา ต่อว่านาง “เหตุใดไม่อยู่ในจวนดีๆ ออกมาที่นี่ทำไมกัน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่รอง ข้าขลุกอยู่ในจวนทั้งวัน อึดอัดจะตายไป”

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เคร่งขรึมขึ้นมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สังเกตเห็น แต่เมิ่งฉีเห็นเข้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจรู้สึกสบายใจกว่าที่เคยถามว่า “จะไปเดินดูโรงงาน หรือว่าจะไปพักเสียหน่อย”

 

 

“ไม่มาเสียนาน ข้าอยากไปเดินดูที่โรงงานเสียหน่อย”

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า พูดว่า “อี้เซวียน ข้าพาน้องเล็กไปเดินดูเสียหน่อย เจ้าไปพักเถิด”

 

 

พูดจบ ไม่รอให้เขาตอบ ก็พาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปทางโรงงาน

 

 

ตนถูกรังเกียจหรือ หวงฝู่อี้เซวียนลูบจมูกตนเอง เดินไปพักอย่างเสียไม่ได้

 

 

เมิ่งฉีพาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินชมรอบๆ โรงงานด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็ให้นางรีบกลับไปพักเร็วๆ

 

 

อาจจะเป็นเพราะตั้งท้องเด็กถึงสองคน เดินวนรอบหนึ่ง ก็ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกเหนื่อยมาก จึงไม่ได้ปฏิเสธ เดินตามเขามายังห้องพัก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องอย่างเบื่อหน่าย เมื่อได้ยินเสียงของทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้ยืนขึ้น เดินไปต้อนรับที่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวที่ท่าทางเหนื่อยล้า จึงได้รีบไปพยุงนางมานั่งบนเก้าอี้ รินน้ำให้นาง ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เล็กน้อย”

 

 

“พักเสียหน่อยเถิด อีกครู่ค่อยกลับบ้าน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ดื้อรั้น พยักหน้าตกลง หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเล็กน้อย

 

 

ด้านนอกมีเสียงรายงานของโจวอันลอยเข้ามา “ซื่อจื่อ คนที่สั่งให้ไปสืบเรื่องมาแล้วขอรับ”

 

 

“ให้เข้ามาได้!”

 

 

องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้ามา รายงานด้วยความอ่อนน้อมว่า “ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ ข้าน้อยพบเรื่องแปลกๆ ขอรับ”

 

 

“พูดมา”

 

 

“เหมือนกับว่าคุณชายหลิวผู้นี้มิใช่คุณชายหลิวขอรับ”

 

 

เขาพูดวกไปวนมา เมิ่งฉีไม่เข้าใจ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับหรี่ตาลง พูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้”

 

 

“หลายวันก่อน ตอนทำการปล้นคุณชายผู้นั้น ข้าน้อยเองก็ได้ไปด้วย ท่าทางของคุณชายผู้นั้น ดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีความรู้ แต่คุณชายที่พบวันนี้กลับ…” พูดถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้วลง คิดครู่หนึ่งจึงได้พูดว่า “กริยาแข็งกระด้าง ราวกับว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาอย่างไรอย่างนั้น ต่างจากคุณชายที่เราไปปล้นวันนั้นราวฟ้ากับเหว แต่ว่าพวกเขาหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าเป็นคุณชายหรือไม่ขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “คุณชายผู้นี้ไม่ใช่คุณชายหลิวคนนั้น น่าสนุกเหลือเกิน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไปสืบเรื่องมา ว่าคุณชายผู้นั้นยังอยู่ที่จวนราชเลขาหรือไม่ ไปดูว่าเจ้าดูผิดหรือไม่”

 

 

องครักษ์ตอบรับ เดินจากไป

 

 

เมิ่งฉีฟังไม่เข้าใจความ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เร่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำมากขึ้น จากนั้นก็สั่งว่า “เรื่องพวกนี้ให้อี้เซวียนมาทำเถิด เจ้าสนใจแค่ดูแลร่างกายของเจ้าเองก็พอแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ไปที่ร่างกายที่เริ่มอวบอ้วนของตน บ่นว่า “พี่รอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงได้อ้วนเป็นแม่หมูแน่”

 

 

ช่วงนี้นางไม่ค่อยแพ้ท้องแล้ว ความสนใจของเมิ่งซื่อและพระชายาก็มารวมอยู่ที่ตัวของนาง ทุกวันไม่เพียงแต่คอยทำอาหารมาให้นาง แต่ยังให้นางดื่มยาบำรุงมากมาย เอามาให้นางดื่มแทบทุกชั่วยาม นางดื่มจนจะอาเจียนออกมาอยู่รำไร แต่หากไม่ดื่ม พระชายาและเมิ่งซื่อก็จะคอยบ่นอยู่ข้างหูนางไม่หยุด แล้วยังมีภรรยาของเมิ่งต้าจินคอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ นางไม่ดื่มก็ต้องดื่มลงไปจนได้ หนำซ้ำทั้งสามยังมาจ้องนางจนกว่าจะดื่มจนหมด ไม่มีแม้แต่โอกาสให้หวงฝู่อี้เซวียนดื่มแทนนางเลย

 

 

เมิ่งฉีหลุดหัวเราะออกมา “อย่าไปคิดเช่นนั้นเลย สะใภ้บ้านอื่นไม่มีโอกาสเช่นนี้หรอกนะ”

 

 

ในขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวบ่นนั้นก็ยังแอบชื่นชมหวงฝู่อี้เซวียน “ข้ายอมไม่มีดีกว่า ข้าขอเพียงได้กินข้ามต้มที่อี้เซวียนทำให้ทุกวันก็พอใจแล้ว”

 

 

คำนี้ทำให้อี้เซวียนมีความสุขเหลือเกิน ใบหน้ามีรอยยิ้มเผยออกมา แต่เมิ่งฉีคิดว่ารอยยิ้มของเขานั้นแสบตาเหลือเกิน จึงตอบไปว่า “วันๆ กินแต่ข้าวต้ม ไม่ต้องรอถึงตอนที่เจ้าคลอดออกมา เจ้าเองคงจะผอมจนดูไม่ได้แล้วล่ะ อย่างไรเสียดื่มยาบำรุงก็ดีกว่า”

 

 

รอยยิ้มของหวงฝู่อี้เซวียนหายไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะในใจ แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ชมหวงฝู่อี้เซวียน พี่รองก็ไม่ชอบใจ หากชมพี่รอง อี้เซวียนก็ไม่พอใจ นางมิรู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดี

 

 

บรรยากาศแปลกๆ ลอยอยู่เต็มห้อง

 

 

เสี่ยวซือวิ่งเข้ามา ทำลายบรรยากาศนี้ ถามด้วยความแปลกใจว่า “นายหญิง ท่านมาแล้วหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “ข้ามาเยี่ยมโรงงานน่ะ”

 

 

“เขียงในโรงงานกุนเชียงถึงเวลาเปลี่ยนแล้วขอรับ เมื่อครู่ข้าไปดูมา ว่ามีที่ใดที่ทั้งถูกและดีบ้าง” เสี่ยวซืออธิบาย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “หลังจากอวี้เอ๋อร์ไปแล้ว ก็คงเหลือเพียงเจ้าช่วยงานพี่รองแล้ว ลำบากเจ้าด้วย”

 

 

เสี่ยวซือโบกมือ “นายหญิงพูดอะไรกันขอรับ นี่เป็นหน้าที่ของบ่าว ไม่ลำบากเลยขอรับ”

 

 

“ดีแล้ว ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างดี รอถึงตรุษจีนแล้ว ข้าจะมอบอั่งเปาซองใหญ่ให้เจ้า”

 

 

เสี่ยวซือคำนับ ขอบคุณด้วยความดีใจ “ขอบคุณขอรับนายหญิง”

 

 

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เป็นเรื่องที่ข้าควรทำ หากโรงงานนี้ไม่มีเจ้า อาจจะ…” พูดถึงตรงนี้ ในหัวก็มีความคิดหนึ่งฉายขึ้นมา เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ผู้จัดการอัน ปีนี้ท่านอายุเท่าไรกันแล้ว”

 

 

นางเปลี่ยนหัวข้อเร็วเกินไป เสี่ยวซือชะงักไปเล็กน้อย ถึงได้ได้สติกลับมา ตอบตามจริงว่า “เรียนนายหญิง ปีนี้บ่าวมีอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีแล้วขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดพูดออกมาว่า “ดีเหลือเกิน”

 

 

เมิ่งฉีและเสี่ยวซือผู้นั้นมองนางด้วยความประหลาดใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจจุดประสงค์ของนาง จึงได้ยิ้มและส่ายหน้า

 

 

แต่สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถามว่า “ผู้จัดการอัน ข้าหาคู่ให้เจ้าสักคนเป็นเยี่ยงไร”