“อูยซี้ด” ฉินฮ่วนไม่ทันระวังโดนบาดแผลเข้า เขาซูดปากออกมาอย่างลืมตัว
บ้าเอ๊ย เขาสบถออกมา
จากนั้นหยิบมือถือออกมากดหลายครั้ง แล้วยกขึ้นแนบหู
“ตู้ดๆๆ …” โทรศัพท์มีคนรับสายแล้ว
“ผู้กำกับ ตัดบทของนางเอกทิ้งเดี๋ยวนี้เลย!” เขาพูดเสียงเย็น
ผู้กำกับพูดจากปลายสายอีกด้านอย่างระวัง เกรงว่าจะล่วงเกินเขา “ทั้งหมดเลยหรือครับ?”
“อื้ม ทางที่ดีอย่าให้เกิดข้อผิดพลาดได้ล่ะ”
“ได้ครับ รับรองผมจัดการให้เรียบร้อยแน่”
หลังวางสายแล้ว ฉินฮ่วนก็เอาแต่สบถว่า นังนางเอกนั่นช่างกล้า…กล้าดีมาทำให้เขาเป็นแบบนี้ ดูซิว่าฉันจะทำยังไงกับมัน ฉินฮ่วนกัดฟันกรอด เขาโกรธจัดแต่ไม่ลืมส่งข้อความเตือนผู้กำกับให้จัดการให้เรียบร้อย บอกว่าถ้าทำได้ดีจะมีรางวัลให้
ด้านผู้กำกับพอวางสาย เห็นว่าตั้งนานขนาดนี้แล้วเซียวจิ่งสือยังไม่ได้ออกหน้าเรียกร้องความยุติธรรมให้หลินหว่าน คงจะไม่สนใจเธอแน่แล้ว จึงตัดสินใจได้ ยิ้มแค่มุมปากอย่างมุ่งร้าย จากนั้นพอคิดว่าฉินฮ่วนเป็นนายทุนที่หนุนหลังไป๋เจี๋ย ย่อมไม่สามารถจะล่วงเกินเขาได้ ผู้กำกับนึกในใจว่า “ถึงยังไงซะเขาก็ทำตามที่ผู้ลงทุนสั่ง เซียวจิ่งสือรู้หรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย อีกอย่างมีเขาคอยหนุนอยู่นี่นา! งั้นก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีก” ถึงตอนนี้ข้อความของฉินฮ่วนก็ส่งมาถึงพอดี ผู้กำกับยิ่งแน่ใจ ถึงยังไงซะเขาก็ยังต้องเห็นแก่ผลประโยชน์มาก่อน มีหรือไม่มีหลินหว่านก็ไม่ต่างกันหรอก
วันรุ่งขึ้น เริ่มการถ่ายทำ
“เตรียมพร้อม แอ็กชั่น!”
……
“คัท!” “คัท!” “คัท!”
ผู้กำกับแกล้งพูดอย่างโมโหว่า “ไม่ได้ๆ คุณทำอะไรเนี่ย บทง่ายๆ แค่นี้ยังแสดงได้ไม่ดีอีก เอาใหม่!”
เจียงเหวินนักแสดงที่ร่วมแสดงกับหลินหว่านก็เริ่มรำคาญ “แสดงให้ดีหน่อยไม่ได้รึไงนะ ต้องถ่ายใหม่ไปกี่รอบแล้ว? ฉันก็เหนื่อยมากด้วย! ถ้าเธอแสดงได้ไม่ดีอีกเป็นได้เห็นดีกันแน่! ฉันจะบอกให้นะ ฉันก็มีคนหนุนเหมือนกัน ฉันไม่กลัวเธอหรอก!”
“เอาใหม่!”
หลินหว่านเองก็อับจนใจไปด้วย เธอมองดูสีหน้าที่หงุดหงิดงุ่นง่านไม่ได้ดั่งใจของนักแสดงร่วมกับเธอ ทั้งไม่อาจลงมือต่อหน้าธารกำนัลได้ ได้แต่โกรธจนหน้าแดง ปากก็พึมพำโทษว่าหลินหว่าน
หลังจากหลินหว่านโดนเทคไปหลายรอบ ก็เป็นฝ่ายเดินเข้าหาผู้กำกับ “ผู้กำกับคะ ฉากนี้ฉันแสดงไม่ดีตรงไหนคะ? ถึงขนาดต้องเทคกันขนาดนี้เลยหรือคะ?”
ผู้กำกับหน้าขึง “แสดงได้ไม่ดี ก็ต้องเทคใหม่สิ หรือคุณไม่อยากแสดงแล้ว? ถ้าไม่อยากแสดงก็เชิญไสหัวไปได้เลย! ทีมงานเราไม่ต้อนรับคุณ!” ฮึ ดูซิว่าเธอจะทำยังไง ก็เทคไปจนกว่าเธอจะยอมไปนั่นล่ะ
หลินหว่านยังข่มใจทน เธอเชื่อว่าจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้
“ช่างแต่งหน้า เติมหน้าซิ!”
“ฮู่ว์” หลินหว่านพ่นลมจากปาก ไม่รู้ว่าฉากนี้จะถ่ายกันนานแค่ไหน
ตอนนั้นเอง คนงานในกองถ่ายคนหนึ่งรีบร้อนมาพูดกับผู้กำกับว่า “ผู้กำกับครับ ช่างแต่งหน้าไม่พอ เกรงว่าไม่สามารถแบ่งให้คุณหลินได้ แล้วตอนนี้ทุกคนก็ยุ่งมาก ไม่มีใครว่างเลยด้วย ยิ่งฝั่งเจียงเหวิน ด้านนั้นระบุว่าไม่ยอมให้หลินหว่านยืมช่างแต่งหน้าของเธอด้วย พวกเธอเป็นดาราใหญ่กันทั้งคู่ ล่วงเกินไม่ไหวหรอกครับ” ผู้กำกับหันมามองหลินหว่าน ท่าทางอึดอัดขัดเขิน “เอายังงี้แล้วกัน บทของเธอก็เลื่อนไปถ่ายทีหลังแล้วกัน รอให้ช่างแต่งหน้าวางค่อยเติมหน้าให้ แล้วเธอค่อยแสดง เป็นไง?”
หลินหว่านที่ด้านข้างพอได้ยินคำนี้ก็ไม่โกรธ พูดเสียงเรียบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำเองได้ ในเมื่อพวกเขาไม่ว่าง ฉันทำเองก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าจะทำเองไม่เป็นซะหน่อย” ผู้กำกับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “อย่างนั้นก็ได้ ลำบากเธอแล้ว” ทำไมหลินหว่านจะอ่านใจผู้กำกับไม่ออก เธอกัดฟันไม่พูดอะไร พอเดินถึงข้างกายเจียงเหวิน ก็เข้าไปกระซิบที่ข้างหูเธอว่า “เธออย่าเห็นว่าฉันรังแกง่าย เธอมันก็แค่เด็กเส้นเท่านั้นเอง” ทางหนึ่งก็ใช้แป้งของช่างแต่งหน้าเธอรองพื้นแต่งหน้า ด้านเจียงเหวินก็สีหน้าเขียวคล้ำอยู่บ้าง เล็บจิกเข้าที่ใจกลางฝ่ามือ ขณะที่ด่ากราดหลินหว่าอยู่ในใจ หลินหว่านแกล้งทำเป็นไม่เห็น พอแต่งหน้าเสร็จก็จากไป สายตาของเจียงเหวินจ้องตามเธอไปตลอด ร่างของหลินหว่านที่เดินจากไปสั่นกระตุกขึ้นด้วยอาการขนลุกขนพองไปตามทาง
หลังจากพักผ่อนแล้ว “เอาล่ะ ถ่ายต่อได้”
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร และไม่รู้ว่าผู้กำกับสั่งคัทไปกี่รอบ จนถึงพักเที่ยง นักแสดงอื่นพากันได้กล่องอาหารแล้ว มีเพียงหลินหว่านเท่านั้นที่ผู้กำกับบอกว่ากล่องข้าวไม่พอแล้วจึงไม่ได้ทานอาหาร หลินหว่านประท้วงอย่างอดไม่ได้
ข้าวไม่พออะไรกัน นี่จงใจแกล้งเธอกระมัง ต้องการให้เธอออกจากกองถ่าย?
“ผู้กำกับคะ คุณมีอคติอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ? หรือจะบอกว่า คุณได้รับคำสั่งจากใครกัน?” เธอเข้ามาพูดกับผู้กำกับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ใช่แล้วจะเป็นไง ไม่ใช่แล้วจะเป็นยังไง? เธอดูตัวเองซิ ไม่มีช่างแต่งหน้ามาแต่งหน้าให้ แล้วยังไม่มีข้าวกินอีก สวรรค์กำหนดมาให้เธออยู่ในกองถ่ายนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว แถมยังแสดงได้ไม่ดีอีก เทคไปตั้งมากขนาดนี้ เอางี้ เธอก็ไปเก็บข้าวเก็บของซะแล้วไปได้แล้ว” พูดจบ ผู้กำกับยังเหล่ตามองเธออีก ขณะที่ในใจคิดว่า “เธอจะทำอะไรฉันได้? ฉันมีฉินฮ่วนหนุนซะอย่าง ส่วนเซียวจิ่งสือนั่นก็ไม่โผล่มาหรอก เขาไม่สนเธอแล้วนี่ ดูว่าเธอยังจะหยิ่งได้ไปถึงไหน”
“เรื่องนี้ฉินฮ่วนให้คุณทำใช่ไหม?” หลินหว่านพูดฉีกขึ้น
ผู้กำกับนึกประหลาดใจ เธอรู้ได้ไงเนี่ย? เขากระแอมสองที แต่จะพลาดไม่ได้จึงแกล้งพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ใช่ แล้วจะทำไม? ใครใช้ให้เธอไปล่วงเกินเขากันเล่า? ผมก็ต้องทำเพื่อทีมงานกองถ่ายของเราเหมือนกัน”
“ฮึ คิดไม่ถึงว่าผู้กำกับใหญ่สวีของพวกเราก็เป็นแค่คนที่เห็นแก่ผลประโยชน์เหมือนกัน ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ใครยังจะกล้ารับแสดงหนังคุณอีกหือ ช่างเถอะ หนังแบบนี้ ฉันไม่แสดงก็ได้!”
หลินหว่านก้าวพรวดๆ ออกไปจากกองถ่ายด้วยความโกรธ ถึงแม้เมื่อครู่เธอจะพูดกับผู้กำกับอย่างแข็งกร้าวขนาดนั้น แต่ปากก็ยังไม่วายบ่นกระปอดกระแปดว่า “อะไรกัน จงใจแกล้งกันชัดๆ ยังมีหน้าบอกว่าสวรรค์กำหนดอีก ที่แท้ผู้กำกับก็เป็นคนแบบนี้เอง! เมื่อก่อนฉันมองคนผิดไปจริงๆ”
ในหัวผุดภาพของเซียวจิ่งสือขึ้นมา นายนั่นไม่รู้ว่ารู้เรื่องนี้รึยังสิ หรือว่าเขามีเรื่องอะไรจึงไม่ได้ออกหน้าช่วยเรา? หัวสมองคิดจนวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด ช่างเถอะๆ ไม่คิดแล้ว กลับบ้านพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้ก็เป็นวันใหม่อีกวัน
ส่วนผู้กำกับที่หน้าเขียวคล้ำอยู่ด้านหลังนั้น หลินหว่านไม่ได้เห็น แต่แค่คิดก็สะใจสุดๆ แล้ว
หลินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก เธอมานั่งคิดดูก็พบว่า คนในกองถ่ายนี่แต่ละคนล้วนไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมันกันทั้งนั้น การที่ตัวเองออกมาซะได้ ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีก็ได้? แต่ที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ ผู้กำกับจะพูดจากดูถูกเธอโดยไม่ดูอะไรเลยแบบนี้ ซึ่งนั่นก็ไว้ว่ากันทีหลังแล้ว
หลินหว่านเดินลากฝีเท้าหนักอึ้งไปตามถนนเพียงลำพัง สายลมพัดผ่านใบหน้าเธอมาเบาๆ แต่กลับไม่อาจพัดเอาความเหนื่อยล้าของเธอไปได้ เห็นแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก เรื่องหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกันในกองถ่ายบางครั้งก็ทำให้เธอเหนื่อยล้าทั้งกายใจ แต่เธอจะหาใครมาช่วยแบ่งเบาได้บ้างนะ เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง หลินหว่านเรียกรถแท็กซี่ข้างทางแล้วกลับบ้าน