พอกลับถึงบ้าน หลินหว่านมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยสุดๆ ถอดรองเท้าทิ้งลงกับพื้น รองเท้าแตะก็ไม่ใส่ มาถึงก็ทุ่มตัวลงบนโซฟา คลำหารีโมทเปิดดูทีวี กดไปช่องหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาเธอค่อยๆ หรี่ปรือลง แล้วนอนหลับไป คงจะเหนื่อยเกินไปนั่นเอง ในห้องจึงเหลือเพียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเธอ
กว่าเธอจะรู้สึกตัวงัวเงียตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ด้านนอกฟ้ามืดแล้ว ภายในห้องเงียบสนิทมืดมิดไปหมด หลินหว่านลุกขึ้นจะคลำหาสวิตช์ไฟ “โอ๊ย เจ็บ” หลินหว่านอุทานออกมา แม้แต่กำแพงก็ไม่เป็นใจกับเธอ วันนี้มันวันอะไรกันแน่นะ ซวยซะจริงเลย
ในที่สุดก็เจอ “แชะ” ไฟสว่างขึ้นตามเสียง ตามมาด้วยเสียงท้องร้อง “จ๊อกๆๆ” หลินหว่านทำท่าเซ็ง หิ้วท้องมาทั้งวันท้องจะไม่ร้องได้ไง? เธอหยิบมือถือขึ้นมา เตรียมจะโทรสั่งอาหาร ปากก็พึมพำว่าจะสั่งอะไรดีนะ? หมี่? ข้าว? หรือว่าอาหารสำเร็จรูป? สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า “อะไรก็ได้ ขอที่กินง่ายอยู่ง่ายสบายหน่อยก็แล้วกัน”
ตอนนั้นเองก็มีข้อความจากเวยปั๋วเด้งขึ้นมาหลายข้อความ เธอคลิ้กขึ้นมาดู จึงเห็นว่าผู้กำกับใหญ่สวีของเราลงประกาศฉบับหนึ่งในเวยปั๋วเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในกองถ่ายวันนี้ บอกว่าวันนี้ระหว่างอยู่ในกองถ่ายนักแสดงหลินหว่านไม่มีช่างแต่งหน้ามาคอยเติมหน้าก็ด่าว่าผู้กำกับ แล้วยังแย่งตัวช่างแต่งหน้าของเจียงเหวินมาใช้อีก พักเที่ยงก็ทำกล่องข้าวหกเลอะเทอะ ไม่ได้กินข้าวก็หาว่าผู้กำกับไม่ให้กิน ถือตัวว่ามีเซียวจิ่งสือหนุนหลัง เที่ยววีนนักแสดงอื่นไปทั่ว แล้วยังด่าผู้กำกับอีก ล่วงเกินนายทุนฉินฮ่วน ระหว่างการแสดงติดเทคหลายครั้ง เรียกตัวมาคุยหลายครั้งยังไม่ปรับปรุงตัว เอาแต่โทษว่าเป็นหน้าที่ของผู้กำกับ ด้วยสาเหตุทั้งหมดนี้ ทางกองถ่ายจึงพิจารณาว่าขอปลดหลินหว่านออกจากการมีส่วนร่วมในการแสดงหนังเรื่องนี้ อีกทั้งไม่ว่าจ้างให้เธอแสดงอีก
ถึงกับมีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยเขียนข้อความลงในบล็อกด้านล่างว่า
[ไสหัวไป!]
[ชิ! อย่างเธอนี่ไม่น่าจะอยู่ในวงการหรอก]
[ทีแรกยังนึกชอบเธออยู่เลย ที่แท้ก็เป็นคนแบบนี้เอง]
[หลินหว่านนี่ยังไงก็ไม่วายแพศยาเลยนะ! หึหึ!]
……
คำพูดดูถูกเหยียดหยามมากมายนับไม่ถ้วน
“บัดซบ!” หลินหว่านเขวี้ยงมือถืออย่างโมโห ไม่มีกะใจจะกินข้าวแล้ว ผู้กำกับคนนี้นี่เกินไปแล้ว ปากว่าฉันก็แล้วไปเถอะ ยังรู้จักกลับดำให้เป็นขาวซะอีก! รู้แบบนี้แต่แรกตอนอยู่ในกองถ่ายน่าจะด่าซะให้สะใจ ชิแย่งตัวช่างแต่งหน้า ด่าผู้กำกับ เธอเป็นคนแบบนั้นที่ไหนกัน เรื่องเก๊ๆ แบบนี้พวกชาวเน็ตก็ยังเชื่ออีก ไร้สติกันซะจริงเลย
แต่ที่หลินหว่านยังใจชื้นก็คือยังมีชาวเน็ตที่พอมีสมองอยู่บ้างช่วยเธอพูดว่า
[พวกเราเชื่อว่าหว่านหว่านไม่ใช่คนแบบนั้น!]
[ชาวเน็ตและมือโพสต์ทั้งหลาย พวกคุณฉลาดกันหน่อยได้มั้ย?]
[จนป่านนี้แล้ว พวกคุณยังไม่รู้อีกเหรอว่าหว่านหว่านเป็นคนยังไง?]
……
ดูท่าว่าเป็นติ่งเธอแน่เลย หลินหว่านรู้สึกขอบคุณพวกเขาอย่างมากจริงๆ
ตอนนั้นเอง มือถือของหลินหว่านก็ดังขึ้น เป็นสายจากอวิ๋นซีผู้จัดการส่วนตัวของเธอ
“ฮัลโหล หว่านหว่าน เธอเห็นบทความบนเวยปั๋วแล้วหรือยัง ไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่สนใจหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ทำด้วย ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวนี่ สบายใจได้”
“งั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังติดต่อทางบริษัทอยู่ดูว่าจะแก้ได้ไหม เธอเองก็ต้องระวังนะ ไม่แน่ว่าจะมีพวกตากล้องดักรออยู่ข้างนอก ระหว่างนี้ก็อย่าออกข้างนอกล่ะ”
“ได้ค่ะ ฉันทราบแล้ว” หลินหว่านวางสายไป คิดในใจว่าไม่สั่งอาหารแล้ว ดูว่าที่บ้านมีอะไรกินได้บ้างก็แล้วกัน
สุดท้ายได้ขนมปังมาหลายชิ้นกับนมขวดหนึ่ง นั่งดูหนังการ์ตูน “Boonie Bears” ดูท่าหว่านหว่านของเราก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวนะ แถมยังดูไปหัวเราะไปอีก ราวกับทิ้งเสียงก่นด่าในเวยปั๋วไปไม่รกสมองอีก
เซียวจิ่งสือยังไม่มีข่าวอะไรเลย หรือว่าเขาไม่สนเธอแล้ว?
อีกด้านหนึ่ง อี้อวิ๋นฉังพอทราบว่าผู้กำกับลงเวยปั๋วป้ายสีหลินหว่านก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เธอหยิบมือถือออกมา พลิกค้นดู สุดท้ายโทรไปสายหนึ่ง
“ฮัลโหล?” เสียงผู้ชายที่ปลายสายดังมา
“คุณฉินฮ่วนหรือคะ? ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับคุณค่ะ พรุ่งนี้ร้านกาแฟที่ถนนเฉาหยาง จะรอนะคะ”
แน่นอนว่าฉินฮ่วนเดาได้ว่าเป็นใคร อี้อวิ๋นฉัง? ฉันก็อยากจะดูซิว่าเธอจะมาไม้ไหน
วันรุ่งขึ้น ภายในร้านกาแฟถนนเฉาหยาง
อี้อวิ๋นฉังมาถึงแต่เช้า รออยู่ที่นี่ เธอเลือกที่นั่งติดริมหน้าต่าง สั่งกาแฟใส่น้ำตาลถ้วยหนึ่ง แล้วรอการมาถึงของฉินฮ่วน ไม่นานนัก เงาร่างสูงก็ปรากฏขึ้นที่หน้าร้านกาแฟ ชายคนนั้นกวาดตาเข้ามาในร้านรอบหนึ่ง สุดท้ายสายตามาหยุดอยู่ที่หญิงสาวที่กำลังดื่มกาแฟ เขาเดินตรงเข้ามาหาเธอ
ใช่เลย คนคนนี้ก็คือฉินฮ่วน
พนักงานเข้ามาบริการที่ด้านข้าง “ไม่ทราบคุณจะดื่มอะไรดีคะ?”
“คาปูชิโนที่หนึ่ง ขอบคุณ”
“บอกมาซิว่า เธอต้องการอะไร” พอได้กาแฟแล้ว ฉินฮ่วนค่อยถามเธอเสียงเรื่อยๆ
“คุณคงรู้เรื่องที่เมื่อวานผู้กำกับสวีโพสต์เวยปั๋วเล่นงานหลินหว่านแล้วกระมัง ตอนนี้เธอออกมาข้างนอกไม่ได้แล้วแน่ๆ ด้านเซียวจิ่งสือก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว งั้นคุณก็…”
“นั่นผมรู้อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงคิดจะให้ผมฉวยโอกาสแทรกเข้ามาเป็นมือที่สามงั้นสิ? ฮึ เรื่องนี้ผมจะไม่รู้ได้ไง ถ้าไม่ใช่เพราะหลินหว่านนั่น ผมคงไม่ถอดเธอจากบทหรอก”
“คุณนี่ฉลาดซะจริงเชียว ตอนนี้เป็นช่วงตกต่ำของหลินหว่าน งั้นคุณใช้โอกาสนี้เข้าไปช่วยเธอ ให้เธอเชื่อในตัวคุณก็ได้แล้วนี่ ถึงตอนนั้นเธออาจยอมเป็นคนของคุณก็ได้ ว่าไงล่ะ?” อี้อวิ๋นฉังวางแก้วชาในมือลง มองดูฉินฮ่วนด้วยสีหน้าที่ปิดรอยยิ้มไม่มิด
ฉินฮ่วนไม่ได้พูดอะไรอีก สายตาจ้องจับอยู่นอกหน้าต่าง คิดในใจว่า ‘ความคิดของอี้อวิ๋นฉังนี่ก็ไม่เลว ตอนนี้ถ้าเราไปช่วยหลินหว่าน ไม่แน่ว่าอาจจะ…’ ดังนั้นแล้ว ความคิดชั่วร้ายก็บังเกิดขึ้น
หลังจากฉินฮ่วนออกมาแล้ว ก็ไปยังคอนโดที่พักของหลินหว่าน เขาหยิบมือถือขึ้นมา แล้วพิมพ์ตัวอักษรลงบนหน้าจอ
“ติ๊ง” หลินหว่านหยิบมือถือขึ้นดู ฉินฮ่วน? เขาหาฉันทำไมนะ
‘ผมอยู่หน้าบ้านคุณ รีบเปิดประตู ไม่อย่างนั้นผมจะเรียกพวกปาปารัสซี่มาให้หมด’
ทำไงได้ หลินหว่านเปิดประตูแล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ฉินฮ่วนคุณมีเรื่องอะไรเหรอ? หรือยังทำร้ายฉันไม่พอรึไง?”
“ผมแค่มาช่วยคุณน่ะ” ฉินฮ่วนยิ้มมุมปาก “ขอแค่คุณยอมเป็นของผม รับรองว่าคุณยังมีบทในหนังเรื่องนั้นอยู่”
“หึหึ ฝันไปเถอะ ชาตินี้ทั้งชาติคุณก็อย่าได้หวัง!” พูดจบ หลินหว่านก็เขวี้ยงหมอนบนโซฟาเข้าใส่ฉินฮ่วน
“หลินหว่าน พูดดีๆ ไม่ชอบอยากเจอไม้แข็งใช่ไหม ตอนนี้ไม่มีใครช่วยคุณแล้ว ตั้งหลายวันแล้วเซียวจิ่งสือยังไม่ออกมาทำอะไรเลย คุณก็ไม่ได้สำคัญกับเขาสักเท่าไหร่นี่ เอาอย่างนี้ ผมให้เวลาคุณสามวัน ลองคิดให้ดีนะ” พูดจบ ฉินฮ่วนก็ออกจากบ้านไป
หลินหว่านยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่พึ่งเข้าเกาะกุมหัวใจ เธอยังจะทำอะไรได้อีก แต่เธอจะไม่ยอมก้มหัวให้กับฉินฮ่วนอย่างเด็ดขาด