หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 975 ตำแหน่งมาถึงมือ
กลุ่มฝุ่นลุกฮือบนลานประลอง
เหล่าผู้ชมเงียบเสียงลงอย่างผิดปกติ เนื่องจากต่างตะลึงกับฉากตรงหน้า แววตาไม่อยากเชื่อพล่านออกมา
พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินที่ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดจะเปิดไพ่ตายที่ซ่อนไว้ในมือจัดการส่งเจียงย่าที่เพิ่งกระโจนเข้าร่วมการประลองหลุดวงโคจรไปเลย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจเท่านั้น!
หลังจากสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ฟื้นจากความตกใจ พวกเขาก็มองหน้ากัน แววตาแต่ละคนเคร่งเครียดอย่างที่สุด ขณะนี้ถ้าใครยังบอกว่ามู่เฉินเป็นมนุษย์อ่อนแอ พวกเขาก็โง่เกินไปแล้ว
วิธีการที่เขาใช้เผชิญหน้ากับฉิงเฉวียนและเอาชนะเจียงย่าแบบม้วนเดียวจบ ล้วนทำให้พวกเขารู้สึกเย็นสะท้านในใจ
บนแท่นหินเมื่อเหล่าผู้อาวุโสเห็นฉากนี้ก็เงียบกริบลง แม้แต่ผู้อาวุโสที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวซึ่งพูดจากระแทกแดกดันมู่เฉินก็มีสีหน้าเขียวสลับขาว ไม่สามารถหาช่องกัดอีกฝ่ายได้อีก
เฮ้อ!
จิ่วโยวรู้สึกโล่งใจ หัวใจได้รับการปลอบโยน ดูเหมือนมู่เฉินเตรียมการมาอย่างดีก่อนจะมาที่เผ่าวิหคโลกันตร์ อย่างน้อยนางก็ไม่เคยเห็นค่ายกลทรงพลังทั้งสองมาก่อน
ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของมู่เฉินก็เติบโตขึ้นอีก โดยบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นหกแล้ว ซึ่งทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อจ้องมองร่างสูงโปร่งอ่อนเยาว์ นางก็รู้สึกซับซ้อนในใจ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรเด็กหนุ่มที่ระมัดระวังภายใต้แรงกดดันของนางได้มาถึงจุดที่เขาสามารถยืนเคียงข้างกับนางได้แล้ว
บางทีอีกไม่นานชายคนนี้ก็จะก้าวนำนางไป
แค่คิดถึงเรื่องนี้ จิ่วโยวก็แอบเหลือบมองบิดาที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายยังคงไม่เผยอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าขณะมองการประลองนี้ ทว่าเนื่องจากความเข้าใจในตัวบิดา นางจึงรู้สึกได้ว่าสายตาของเทียนฮวงเหมือนจะเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกลงไปบ้าง
เห็นได้ชัดว่าการประลองของมู่เฉินในครั้งนี้ไปได้สวยจนถึงจุดที่แม้แต่คนที่เข้มงวดอย่างเทียนฮวงยังรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่สามารถวิจารณ์อะไรได้
ภายใต้สายตาจ้องมองมามากมาย
มู่เฉินยืนตระหง่านบนร่างเทพสุริยะมองไปที่เจียงย่าที่ถูกซัดกระเด็นออกไปจากลานประลองด้วยแววตาผิดคาด
พลังของค่ายกลดาบบงกชไพลินเกินความคาดหมายนัก นี่เป็นค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ที่สามารถคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกได้มาก แต่สำหรับเจียงย่าที่เป็นจอมยุทธ์แตะขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ความแข็งแกร่งของเขามากยิ่งกว่าขั้นหกระยะปลายสุดทั่วไป ดังนั้นก่อนหน้านี้มู่เฉินจึงไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเจียงย่าได้ด้วยกระบวนท่าเดียวหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ดีเกินกว่าที่เขาคาดไว้อย่างชัดเจน
ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวของค่ายกลระดับนี้ก็คือต้องใช้เวลาในการสร้าง แต่ความสามารถถือว่าทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งยวด กระทั่งค่ายกลระดับตี้ยังได้ถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพลังของค่ายกลระดับเทียนจะน่าตกใจขนาดไหน?
ความสามารถของค่ายกลนั้นอาจเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแท้จริงยังต้องจ่ายราคามหาศาลเมื่อเผชิญกับมัน
ความคิดนี้วาบผ่านในใจ มู่เฉินสงบใจลงอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับไปมองฉิงเฉวียนด้วยสายตานิ่งเรียบ
ตอนนี้โซ่มากกว่าครึ่งที่ผูกติดอยู่กับร่างฉิงเฉวียนขาดกระจุยไปแล้ว วิหคน้ำแข็งอเวจีก็เริ่มหลุดเป็นอิสระเช่นกัน พลังโจมตีของค่ายกลตาข่ายฟ้าไม่แข็งแกร่ง ประโยชน์หลักก็คือการเหนี่ยวรั้ง นอกจากนี้ค่ายกลก็ไม่สามารถปราบฉิงเฉวียนได้นานนัก เนื่องจากอีกฝ่ายก็แตะระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้วและค่ายกลตาข่ายฟ้าก็อยู่ในระดับตี้ขั้นสูงเท่านั้น
ทว่าในการต่อสู้ช่วงเวลาเท่านี้ก็เพียงพอที่จะสังหารคู่ต่อสู้ได้นับร้อยนับพันครั้งแล้ว…
เมื่อสัมผัสถึงสายตาของมู่เฉินที่จ้องมองมา ฉิงเฉวียนก็อดสะดุ้งไม่ได้ แม้ตอนนี้อีกฝ่ายจะมีท่าทางสงบ แต่เขาก็รู้สึกกลัวจากใจ
“ตอนนี้เหลือแค่เราสองคนแล้ว”
มู่เฉินยืนอยู่บนหัวของร่างเทพสุริยะพลางยิ้มให้ฉิงเฉวียนจากนั้นก็กระทืบเท้า ร่างใหญ่โตระเบิดแสงสีทองน่าตื่นตาอีกครั้ง ดวงตะวันสีทองห้าดวงปะทุขึ้น ของเหลวสีทองไหลมารวมที่ฝ่ามือก่อร่างเป็นหอกทองคำขนาดพันจั้ง
หอกถูกยกขึ้นอย่างช้าๆ ชี้ไปทางฉิงเฉวียนพร้อมแรงกดดันน่ากลัวเล็ดลอดออกมา
เมื่อฉิงเฉวียนเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
“โทษนะ”
มู่เฉินยิ้ม ไม่ได้ให้เวลาฉิงเฉวียนในการดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของค่ายกลตาข่ายฟ้า หอกถูกกำแน่น เขาออกกระบวนท่าโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวทันที เพื่อยุติการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว
ตู้ม!
สิ้นเสียงพูดร่างเทพสุริยะก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งออกไป ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็พุ่งเข้ามาใกล้ฉิงเฉวียน จากนั้นหอกทองคำก็แทงลงอย่างไร้ปรานี
ระลอกคลื่นสีทองผันผวนไปมา ทำให้กระทั่งมิติยังแตกร้าวภายใต้หอก รอยลึกถูกทิ้งไว้บนพื้นดินเบื้องล่าง
แสงสีทองขยายตัวอย่างรวดเร็วในดวงตาของฉิงเฉวียน เขากัดฟันกระทืบเท้า วิหคน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าก็ร้องเสียงแหลมคมพลางพ่นน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มออกมา
อ็อก!
ฉิงเฉวียนพ่นเลือดกลั่นออกจากปากพร้อมกับแสงหลิงวูบไหวหลอมรวมเข้ากับน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นอุณหภูมิในบริเวณนี้ก็ลดลง แสงสีน้ำเงินเข้มระเบิดออกก่อตัวเป็นกระดองเต่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยอักขระน้ำแข็งโบราณที่เบื้องหน้าฉิงเฉวียน
“ปราการเต่าดำ!”
ตู้ม!
เมื่อกระดองเต่าสีน้ำเงินเข้มก่อตัวขึ้นเบื้องหน้า หอกทองคำก็มาถึง พลังทำลายล้างกระทบกันจังใหญ่
ปัง!
คลื่นกระแทกที่อธิบายไม่ได้ระเบิดขึ้น ทำให้พื้นดินด้านล่างแตกออก จุดที่หอกและกระดองเต่าปะทะกันก็ราวกับมีดวงตะวันลุกโชติขึ้น
เมื่อดวงตะวันพวยพุ่ง หอกทองคำในมือของร่างเทพสุริยะก็ปรากฏรอยแตกปกคลุม ในที่สุดก็ทนรับแรงต้านไม่ไหวสลายลง
ทว่าขณะที่หอกทองคำพังทลาย กระดองเต่าน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มก็พังทลายลงเช่นกัน
ทันทีที่คลื่นพลังสองสายสลายไป ดวงตาของมู่เฉินก็วาบแสง อึดใจร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นลำแสงยิงออกไปพุ่งผ่านคลื่นกระแทกรุนแรง
ช่วงเวลาที่ร่างมู่เฉินพุ่งออกไป พันธนาการรอบตัวฉิงเฉวียนก็แตกเป็นเสี่ยงจากคลื่นกระแทก จากนั้นเขาก็รีบถอยโดยไม่ลังเล เวลาเดียวกันธนูน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาอีกครั้ง
เมื่อคันธนูปรากฏขึ้น เขาก็ดึงสายจนตึงเปรียะ การเคลื่อนไหวของเขาไหลลื่นราวกับสายน้ำซึ่งรวดเร็วมาก มากขนาดที่เกิดภาพมายาขึ้นจากการเคลื่อนไหว ลูกศรโลหิตขนาดใหญ่ควบแน่นบนคันธนู กำจายรังสีที่สามารถตรึงอากาศเอาไว้ได้เลย
เอี๊ยด
นิ้วของฉิงเฉวียนดึงสายสุดแรง เตรียมจะยิงลูกศรออก ทว่าก่อนที่สายธนูจะถูกปล่อยดวงตาของเขาก็หดเกร็งลง เพราะเขาเห็นมิติมีความผันผวนเบื้องหน้า นิ้วเรียวที่เปล่งประกายด้วยแสงหลิงปรากฏตรงหน้าเขาโดยไม่มีสัญญาณใดๆ และสัมผัสเบาๆ ที่กึ่งกลางคิ้วของเขา
นิ้วของเขาซึ่งกำลังจะปล่อยสายธนูก็แข็งค้าง
ร่างมู่เฉินปรากฏตัวต่อหน้าโดยนิ้วมือแตะที่กึ่งกลางคิ้วฉิงเฉวียนพลางมองมาอย่างสงบไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้สนใจลูกศรที่อยู่ห่างจากตัวเพียงไม่กี่ชุ่น
ฉิงเฉวียนตัวแข็งทื่อขณะมองมู่เฉิน ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน ขณะนี้มือของเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะสายตาของมู่เฉินบอกได้ว่าทันทีที่เขาปล่อยลูกศรออกไป นิ้วมือของมู่เฉินก็จะแทงทะลุกะโหลกระเบิดสมองของเขาก่อน
ไม่มีความลังเลแน่นอน
นอกลานประลองผู้คนนับไม่ถ้วนก็ตกใจเมื่อเฝ้าดูฉากนี้ พวกเขาถึงกับกลั้นหายใจ ใครจะคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะอันตรายเช่นนี้
ภายใต้สายตาจ้องมองมานับไม่ถ้วน การเผชิญหน้าบนลานประลองกินเวลาหลายสิบวินาที ก่อนที่ฉิงเฉวียนจะไม่สามารถทนแรงกดดันได้อีกต่อไป เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ลูกศรในมือก็ค่อยๆ จางหายไป
“เจ้าชนะแล้ว”
ฉิงเฉวียนจ้องไปที่มู่เฉิน ขณะที่พูดออกมาอย่างขมขื่น เขารู้ว่าแม้การเผชิญหน้าครั้งนี้จะดูเหมือนไม่สามารถระบุผู้ชนะได้ ทว่าเขารู้ว่าทันทีที่เขาปล่อยสายธนู มู่เฉินก็จะฆ่าเขา
ถ้านี่เป็นศึกมรณะแท้จริง มู่เฉินฆ่าเขาไปนานแล้ว
พอได้ยินคำพูดของฉิงเฉวียน รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็หดมือกลับมาช้าๆ “ขอบคุณ”
น้ำเสียงของเขาอบอุ่นบวกกับรอยยิ้มพิมพ์ใจบนใบหน้าหล่อเหลาดูไม่เป็นอันตรายเลย แต่ฉิงเฉวียนที่ประสบกับความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินด้วยตัวเอง ก็รู้ซึ้งว่าภายใต้รอยยิ้มที่ไม่เป็นอันตรายนั้นมีวิธีเด็ดขาดและเฉียบคมเพียงใด
มนุษย์ที่สามารถสร้างพันธะโลหิตกับองค์หญิงน้อยจิ่วโยวก็ไม่ไร้ประโยชน์และอ่อนแออย่างที่ทุกคนคิด วิธีการที่เขาครอบครองไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจินตนาการได้
นอกจากนี้ฉิงเฉวียนยังมีความรู้สึกว่ามู่เฉินไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดในการเผชิญหน้าเมื่อครู่ ซึ่งทำให้เขารู้สึกเย็นเยือกในใจ ถ้ามู่เฉินเทหมดหน้าตักโดยไม่ยั้งแล้ว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
ชายคนนี้สุดยอดแท้จริง
ฉิงเฉวียนถอนหายใจ แม้แต่คนที่ภูมิใจในตัวเองแบบเขายังต้องประเมินมู่เฉินเช่นนี้
ขณะที่ฉิงเฉวียนกำลังถอนหายใจในใจ มู่เฉินก็ถอยห่างออกไปสองก้าว ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วนที่จ้องมอง เขาก็เงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับเทียนฮวงซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานด้วยรอยยิ้มบาง
“ท่านประมุขเทียนฮวง ข้าคงต้องขอรับตำแหน่งสุดท้ายไปนะขอรับ”